Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 327

ตอนที่ 327 ทังซานแจ้งข่าวลับ กองพันยืมม้า

ตั้งแต่ทังซานติดตามหวังทงก็มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น

เมื่อก่อนเป็นแค่หัวหน้าเรือ ต้องเผชิญคลื่นลมบนท้องทะเล ยังต้องคอยรับคำสั่งจากเจ้าของเรือและพี่ใหญ่บนเรือ เป็นบุคคลตัวเล็กๆ ที่ไร้ค่า

หากยามนี้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเรือที่เข้าเทียบท่าทำการค้าหาเลี้ยงชีพ มีผู้ใดบ้างไม่รู้จัก ‘ท่านซาน’ ที่พูดจามีน้ำหนัก สินค้าต้องถูกเก็บภาษีสองส่วนได้กำไรน้อยลงไม่น้อย ตอนขึ้นเรือมาตรวจสินค้า คนที่คำนวณราคาสินค้าหากดูแลกัน เงินก้อนนี้ก็ลดลงไม่น้อย

แม้ไม่ได้ขนของต้องห้าม แต่เพื่อให้ได้กำไรมากอีกหน่อย ทุกคนก็มักแอบซ่อนสินค้าเอาไว้บางส่วนเพื่อจะได้เสียภาษีน้อยลงบ้าง

ผู้ดำเนินการเรื่องพวกนี้ก็คือทังซาน เขาใช้ชีวิตบนเรือมานานหลายปี สายตาย่อมแหลมคม ซ่อนอย่างไรก็ย่อมปิดบังสายตาเขาไม่ได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น คนเรือที่เมื่อก่อนรู้จักทังซานก็ยังงง เมื่อก่อนทังซานไม่ค่อยเอาไหน แต่ตอนนี้กลับทำงานไม่ไว้หน้าผู้ใด ทำการตรงไปตรงมา ทุกคนล้วนแอบยัดเงิน คิดขอให้เขาเปิดทาง แต่เขาไม่เคยรับไว้

ทุกคนต่างแอบด่าทังซาน บอกว่าเมื่อก่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขบนทะเลมาด้วยกัน ตอนนี้ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย ช่างเป็นตัวชั่วร้ายที่อาศัยบารมีขุนนางมาข่มผู้อื่นเสียจริง

ด่าก็ส่วนด่า พอเห็นหน้าก็ต้องยิ้มร่าเรียกว่า ‘ท่านซาน’ พอตรวจเก็บภาษีเสร็จ ยังต้องมอบของขวัญติดไม้ติดมือให้ไปอีกด้วย

พวกเก็บภาษีการค้าทางทะเลกลุ่มนี้ หวังทงให้ผลประโยชน์ไว้ไม่น้อย ขณะเดียวกันยังมีระเบียบที่เข้มงวด หากผิดกฎเล็กน้อยก็จะถูกตัดหัว

ทังซานรู้ว่าเงินทองใดเป็นเงินทองระยะยาว รู้ว่าอะไรไม่ควรละโมบ จึงจัดการได้ดีมาโดยตลอด กอปรกับเขาเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อย่างแท้จริง ทุกคนจึงยิ่งเชื่อใจและเคารพเขามากขึ้นเรื่อยๆ

สองฝั่งแม่น้ำทะเลมีคนนาวาสุคนธ์มากมายใช้แรงงานอยู่ หลายบ้านมีลูกสาวน้องสาวก็คิดจะให้พวกนางได้แต่งกับคนดีมีฐานะ ดีกว่าลำบากกันอยู่ที่นี่

ทังซานมีฐานะ เงินทองก็ไม่น้อย จึงเป็นที่หมายตา หลายวันนี้มีคนมาเป็นแม่สื่อถึงที่ไม่ขาดสาย เลือกจนตาลาย เมื่อก่อนหากินบนท้องทะเล ได้แต่หานางรำมาร้องเพลงขับกล่อมไปวันๆ ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ มาถึงที่เช่นนี้

แต่ทังซานเองก็มีความปรารถนาประการหนึ่ง นั่นก็คือได้ตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่ง ทุกวันนี้มีพนักงานตรวจเก็บภาษีราว 50 คน มาจากหน่วยการบัญชีเดิม 15 คน ยังมีอีก 20 ที่เป็นชาวเรือทะเลที่มาขอพึ่งบารมีหวังทงเหมือนกัน คนที่เหลือก็เป็นคนเก่าคนแก่ของกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน

คนเหล่านี้ล้วนมีสถานะราษฎรทั่วไป แม้แต่คนที่เคยเป็นคนกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินพวกนั้นก็ล้วนถูกถอดรายชื่อออกจากบัญชีทหารแล้ว ก็หมายความว่า ตอนนี้ทุกคนเป็นเพียงผู้ช่วยงานนายกองพันหวังเท่านั้น

แม้ว่าทังซานจะได้ชื่อตำแหน่งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแม่น้ำทะเล แต่ตำแหน่งนี้ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการและไม่มีสถานะ

หลายวันก่อน พานหมิงที่รับหน้าที่ควบคุมการทำงานของชาวนาวาสุคนธ์ก็คิดอยากจะเปิดร้านค้าริมฝั่งของตนสักร้าน ดังนั้นจึงเชิญทังซานมาเลี้ยงเพื่อเชื่อมสัมพันธ์

การคุยสัพเพเหระในงานเลี้ยงทำให้รู้ว่าอย่าคิดว่าเป็นแค่ภาระงานหนักดูแลผู้ใช้แรงงานพวกนี้เท่านั้น แต่พานหมิงมีตำแหน่งเป็นพลทหารอยู่ในระบบกองพันองครักษ์เสื้อแพร ดำรงตำแหน่งขุนนางแท้จริง

การมีตำแหน่งเช่นนี้ทำให้ทังซานรู้สึกอิจฉา หลายครั้งคิดจะเสนอตนเองสักครั้งแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย พานหมิงสร้างผลงานใหญ่ในการปราบจลาจลชาวนาวาสุคนธ์เมืองเทียนจินครั้งนี้ ได้รับตำแหน่งนี้ก็สมควร ทังซานมาจากฐานะเชลย ยามนี้ได้ขั้นนี้ก็นับว่าเป็นเพราะหวังทงให้โอกาส ไม่มีความดีความชอบใดให้เอ่ยอ้างได้

ดังนั้นตั้งแต่งานเลี้ยงวันนั้น ทังซานก็ยิ่งทำงานรอบคอบขึ้น ขึ้นเรือไปตรวจสินค้าก็ตรวจอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้มีการลักลอบขนสินค้าแม้แต่น้อย และยังจับตาลูกน้องอย่างใกล้ชิด คอยผลักดันให้ทุกคนทำงานขันแข็ง

แม้จะลงแรงเก็บภาษีจริงจัง แต่เพราะเรือทะเลเข้ามาน้อยลงเรื่อยๆ สินค้าน้อย ภาษีก็ย่อมได้น้อยตาม เงินภาษีลดลง ก็ยิ่งไม่มีผลงานให้กล่าวอ้างอันใด

แต่ทังซานอย่างไรก็รอนแรมกลางทะเลมานานหลายปี เรื่องราวต่างๆ ก็พบเห็นมามาก แม้ว่าใกล้วันปิดท่าเรือเข้ามาทุกที แต่ก็ยังไม่ถึง เรือน้อยลงเรื่อยๆ ต้องมีเหตุเบื้องหลังซ่อนอยู่เป็นแน่

เขาเองก็เป็นคนของกองพันองครักษ์เสื้อแพร การจะสอบถามข่าวคราวก็ย่อมสะดวก ไปที่ท่าเรือคลองส่งน้ำมารอบหนึ่งก็พอเดาได้หลายส่วน จึงรีบไปขอพบหวังทงทันที

*********

ตอนเข้าไปในห้องโถงก็เห็นหวังทงนั่งอยู่ที่นั่น ทังซานไม่กล้าก้าวเข้าไปด้านใน หากคุกเข่าลงโขกศีรษะที่หน้าประตู พูดตามตรง ครั้งแรกที่ทังซานต้องโขกศีรษะให้กับเด็กอายุ 14 ปีก็รู้สึกแปลกๆ แต่พอนานไป การโขกศีรษะนี้ก็เป็นธรรมชาติดี รู้สึกว่าควรทำเช่นนี้

“เรื่องแม่น้ำทะเล ปฏิบัติงานได้ไม่เลว ทังซานเจ้าทำงานได้รอบคอบและแข็งขันดี”

ประโยคชมเชยกล่าวออกไป ทำให้ทังซานรู้สึกเหมือนตัวจะลอย แต่ก็รีบเตือนตนเองว่าอย่าได้ลืมตัว งานนี้คิดจะไม่รอบคอบไม่แข็งขันย่อมไม่ได้ เพราะจะมีคนมาสอบบัญชีทุกสองวัน ยังมีคนปลอมเป็นพ่อค้ามาแกล้งทำเป็นติดสินบน ที่ผ่านมาผู้ที่ละโมบจนถูกตัดหัวไปไม่ได้มีแค่คนเดียว

“ขอบคุณนายท่านที่ชมเชย ข้าน้อยมานี่ก็มีเรื่องสำคัญรายงาน นายท่านสังเกตไหมว่าหลายวันนี้ภาษีเก็บได้น้อยลง”

ได้ยินทังซานกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็หยิบม้วนเอกสารมาพลิกไปมาก่อนจะถามขึ้นว่า

“ภาษีได้น้อยลง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้านี่ ใกล้หน้าหนาวแล้ว เรือก็ย่อมน้อยลง ข้ารู้ดี”

หวังทงกล่าวเช่นนี้ ทังซานก็คิดในใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“นายท่าน ข้าน้อยไม่ได้มาขอรับผิด เรือมาน้อยลง ไม่ใช่เพราะใกล้หน้าหนาวแล้วน้ำจะแข็งตัว แต่เป็นเพราะเรือไปเทียบท่าที่อื่น”

“หืม?”

หวังทงคิ้วกระตุก โน้มตัวเข้ามาฟังใกล้ๆ ทังซานกล่าวต่อว่า

“แม่น้ำทะเลเก็บภาษีสองส่วน แต่ทุกคนก็อยากได้กำไรมากอีกหน่อยก็เลยคิดหาทางลดภาษีลง ท่าเรือทะเลที่สามารถขนถ่ายสินค้าได้ก็มีมากมาย หากไม่ใช่แม่น้ำทะเล ก็ยังมีอีกหลายที่”

หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับว่า

“หากไม่ใช่เทียนจิน ละแวกนี้มีที่ไหนที่ใช้เส้นทางน้ำเข้ามาเชื่อมคลองส่งน้ำส่งของไปเมืองหลวงได้อีก นอกจากนี้หากสินค้ามากมายไม่ผ่านเทียนจินก็ย่อมไม่มีพ่อค้ามาซื้อต่อ ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางไกล ค่ารถม้าจนส่งก็เกรงว่าไม่น่าจะคุ้ม”

ต้นทุนขนส่งทางคลองส่งน้ำอย่างมากก็เป็นเพียงหนึ่งในสามของค่าขนส่งทางบก หากขนส่งทางทะเลก็นาน เส้นทางขนสินค้ามีมากมายก็จริง แต่ก็มักไม่ใช้เส้นทางบกในแผ่นดิน แม้ว่ามีทางผ่าน แต่ใช้รถม้ากับแรงงานสัตว์ขนส่ง ต้นทุนน่าจะสูงเกินไป กำไรเกรงว่าจะน้อยยิ่งกว่าน้อย

“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง เพียงแต่ไม่เพียงแต่ท่าเรือแม่น้ำทะเลนี้เท่านั้น ยังมีเส้นทางผ่านคลองส่งน้ำอีกสาย เมื่อก่อนข้าน้อยล่องเรืออยู่นั้นได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่บนเรือเล่าว่า รัชสมัยหลงชิ่ง แม่ทัพชีจี้กวงเคยประจำการที่เทียนจินระยะหนึ่ง ตอนนั้นทุกคนไม่กล้าออกไปทางแม่น้ำทะเล ก็หาเส้นทางเล็กเส้นทางอื่นกัน เล่ากันว่าห่างจากแม่น้ำทะเลออกไปทางใต้ไปสามสิบลี้หรือไม่ก็สี่สิบลี้มีที่หนึ่ง…”

“ที่ไหนกัน?”

หวังทงรุกถาม สีหน้าทังซานลำบากใจ ส่ายหน้าไปมา เห็นสีหน้าหวังทงเปลี่ยนไป ก็รีบพูดขึ้นว่า

“นายท่าน อยากรู้เรื่องนี้ก็ไม่ยาก ให้ข้าน้อยไปจับคนจากคลองส่งน้ำมาสักสองสามคน”

เห็นหวังทงยังไม่เข้าใจนัก ทังซานก็โขกศีรษะกล่าวว่า

“เรือลำใดมีสินค้าตะวันตกมาก ย่อมมาจากทางใต้”

หวังทงจึงได้เข้าใจ ยิ้มกล่าวว่า

“ต้าไห่ ส่งสี่คนไปกับทังซาน ไปบอกกับจางซื่อเฉียงที่คลองส่งน้ำ บอกว่าเป็นภารกิจข้าสั่งมา”

ซุนต้าไห่ด้านนอกรับคำเสียงดัง ทังซานรีบลุกไปดำเนินการ

ทังซานจากไป หวังทงตกอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่งก็หันไปกำชับกับซุนต้าไห่ที่เดินเข้ามาว่า

“ตามถานปิงกับถานเจี้ยนมา ให้ไปรอรับคำสั่งที่ค่าย เชิญหัวหน้าเหรินสำนักอาวุธปืนไฟมาด้วย ให้ไปรอข้าที่จวน เตรียมม้า ข้าจะออกนอกเมืองไปพบใต้เท้าอวี๋!”

ซุนต้าไห่หันหลังเดินออกไป จางซื่อเฉียงนิสัยค่อนข้างเงียบและละเอียด ดังนั้นเรื่องภาษีคลองส่งน้ำจึงให้เขารับหน้าที่ดูแล ซุนต้าไห่นิสัยมุทะลุ หวังทงจึงให้อยู่รับใช้ข้างกาย นับว่าเป็นผู้ช่วยและยังได้ควบคุมใกล้ชิด จะได้ไม่ไปก่อเรื่อง

สั่งการอะไรไป ซุนต้าไห่ก็ทำได้ไม่เลว สั่งการไป ไม่นานชื่อเฮยก็จูงม้ามาที่ลานด้านหน้า หลังจากชื่อเฮยได้ผ่านความเป็นความตายกับหวังทงมาหลายครั้ง ตอนนี้สถานะก็ย่อมไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเลี้ยงม้าอยู่เรือนด้านหลัง แต่เงินเดือนเกือบเท่ากับนายกองร้อยเลยทีเดียว หวังทงออกไปทำธุระข้างนอกก็จะให้ชื่อเฮยตามไปเป็นกลุ่มอารักขาด้วย

ขี่ม้าออกไป ในเมืองขี่ม้าเร็วนักไม่ได้ ทว่าพอทุกคนเห็นคนในชุดองครักษ์เสื้อแพรออกมา ไม่มาขุนนางหรือชาวบ้านก็ต้องหลีกทาง บารมีหวังทงไม่น้อย พอจะออกนอกประตูเมือง ทหารเฝ้าประตูเห็นกองกำลังมาแต่ไกลก็รีบหลีกทาง ไม่กล้าถามให้มากความ

***********

ตอนนี้ค่ายสำรองเจ็ดค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำทะเล ยังมีอีกหกค่ายอยู่ที่ค่ายฝึก ทุกสามวันผลัดเวรกันเดินตระเวนยามประมาณสามชั่วยาม ยุ่งยากมาก

แต่การเตรียมการป้องกันเช่นนี้ หนึ่งก็เพื่อฝึกกองกำลัง สองเพื่อให้คนในเมืองและนอกเมืองได้เห็นความน่าเกรงขามขององครักษ์เสื้อแพร กำราบพวกตัวเล็กตัวน้อยไว้ ได้ผลดียิ่ง

อวี๋ต้าโหยวยังคงกำลังวังชาดี สุขภาพก็ไม่เลว หวังทงขอให้เขามาพักที่จวนหลายครั้งก็ปฏิเสธ อวี๋ต้าโหยวบอกว่าตนเองอยู่ค่ายทหารรู้สึกอิสระกว่า ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

เมื่อก่อนหวังทงจะไปค่ายฝึกตอนบ่าย วันนี้มาตอนเช้าก็เห็นอวี๋ต้าโหยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ รายล้อมไปด้วยบรรดาขุนพลนายกองหลายสิบนาย มีคนยืนขึ้นถามคำถามอยู่เป็นระยะ อวี๋ต้าโหยวก็ค่อยๆ ตอบคำถามนั้น

พอเห็นหวังทงมา ขุนพลนายกองทั้งหลายก็ลุกขึ้นยืนตรงทำความเคารพแบบทหาร หวังทงก็ทำความเคารพตอบเช่นเดียวกัน ก่อนจะออกคำสั่งไปว่า

“กลับไปค่ายตน เตรียมตัวให้พร้อม ทุกค่ายเลือกพลทหารม้าฝีมือดีรอรับคำสั่ง!!”

เสียงรับคำพร้อมเพรียง ก่อนจะพากันรีบออกไปเตรียมการ อวี๋ต้าโหยวจึงค่อยๆ ยืนขึ้นมองบรรดานายทหารหนุ่มพวกนั้นออกไปแล้วก็ถอนหายใจกล่าวว่า

“เด็กหนุ่มพวกนี้ของเจ้าตอนนี้ไม่มีอะไรติได้ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ผ่านสมรภูมิเลือดสักเท่าไร ฝึกทหารก็เหมือนลับมีด มีดไม่ผ่านการสังหารไม่ใช่มีดดี!”

หวังทงไม่รับคำ เพียงแค่ประสานมือคำนับขอร้องว่า

“ใต้เท้า ขอท่านออกหน้าสักครา ไปค่ายกองกำลังจี้โจวประจำเทียนจินยืมม้าศึกสักหน่อย”

“เอาไปทำอะไร?”

“สังหารโจร!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version