Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 379

ตอนที่ 379 ต้นเดือนห้า ณ เทียนจิน

“หวังทง เจ้าเป็นผู้จงรักภักดีข้างกายเราอันดับหนึ่ง สองปีก่อนเจ้าตักเตือนเราที่หอเลิศรส สองปีต่อมายังมาเตือนเราที่นี่อีก ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวกับเราตรงไปตรงมาเช่นนี้”

“ฝ่าบาท ตอนกระหม่อมจากเมืองหลวงไป และยังอีกหลายคราที่ได้ส่งจดหมายถึงฝ่าบาท ล้วนกล่าวไว้ชัดเจน ฝ่าบาททรงรอได้ ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ยังมีเวลาอีกมาก”

“ต่อจากนี้เราต้องอดทนรอ หวังทงเจ้าอายุเท่ากับเรา เรารอไปด้วยกัน……”

“ฝ่าบาท การมาเมืองหลวงของกระหม่อมเป็นความลับ ไม่อาจแพร่งพรายออกไป ทูลฝ่าบาทเสร็จ กระหม่อมก็วางใจ ต้องเร่งกลับเทียนจินในคืนนี้”

“จดหมายไปกลับก็ต้องสี่วันขึ้นไป หวังทงเจ้ามีวิธีให้เร็วกว่านี้ไหม”

“ขากลับนี้ ก็ใช้เส้นทางเมืองหลวงไปเทียนจิน ทุกสามสิบลี้จะมีที่พักหนึ่งแห่ง เตรียมม้าไว้เปลี่ยน หากมีข่าวด่วนก็จะเร่งเปลี่ยนม้า ไม่ถึงสองวันก็จะมาถึงอย่างรวดเร็ว”

***********

ทุกคนในเมืองหลวงต่างสรรเสริญในพระปรีชาของไทเฮาฉือเซิ่ง ต่างเห็นใจในความลุ่มหลงของฮ่องเต้ว่านลี่ หากก็ดีใจที่ฮ่องเต้ทรงกลับตัวทัน ไม่ว่าในตรอกซอกซอย ร้านค้าหอสุรานารีต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งยื่นฎีกาตำหนิรุนแรง ขุนนางในราชสำนักก็ร่วมยื่นฎีกากันว่าฝ่าบาทสามารถรู้สึกพระองค์เองในความผิดได้ อย่าได้เกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้อีก

ครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านมา ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ยอมรับการตักเตือนอย่างจริงใจ และยังมีสารสำนึกความผิด บรรดาขุนนางได้ชัยชนะงดงาม ด้วยท่าทีสำนึกผิดของฮ่องเต้ พวกเขาจึงไม่เอาเรื่องต่อ บรรดาขุนนางพากันออกมากล่าวถึงหลักคุณธรรมปราชญ์เมธี ทุกอย่างก็เงียบสงบลงไปเช่นนี้เอง

คนที่โชคร้ายเพียงคนเดียวก็คือซุนไห่แห่งสำนักอาชาหลวง ถูกส่งไปเฝ้าสุสานอำเภอเฟิ่งหยาง เมืองอานฮุย ไม่ได้ถูกประหาร แต่สำหรับขันทีคนหนึ่งแล้ว การไปเฝ้าสุสานนับว่าทรมานยิ่งกว่าตาย เท่ากับว่าชั่วชีวิตนี้มิอาจลืมตาอ้าปากได้อีกแล้ว

จนวันที่ซุนไห่ต้องออกจากเมืองหลวงไปก็คิดไม่เข้าใจว่ามาถึงวันนี้ได้อย่างไร ตนเองเอาพระทัยฮ่องเต้ แต่ละก้าวที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดขวาง เหตุใดอยู่ๆ แต่ละฝ่ายก็ออกหน้ามาจัดการพร้อมกัน ทำให้ตนเองไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก

หลังจากขันทีซุนไห่แห่งสำนักอาชาหลวงถูกปลด สำนักอาชาหลวงก็ล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง ขันทีที่ได้ตำแหน่งมาตอนซุนไห่ได้รับความโปรดปรานล้วนถูกปลดออก แต่ละฝ่ายพยายามส่งคนของตนเข้ามาแทนที่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง

ในเมื่อจะส่งคนของตนเข้ามา ก็ย่อมเป็นคนในสำนักอาชาหลวงลงมือจึงจะสะดวก ดังนั้นหัวหน้าสำนักอาชาหลวงอย่างจางจิงและผู้ช่วยอย่างหลินซูลู่ก็ย่อมได้ไปหลายตำแหน่ง

วันที่ 25 เดือนสี่ มีราชโองการให้ฉู่เจ้าเหรินขันทีประจำเมืองหนานจิงกลับเมืองหลวงมารับตำแหน่งในสำนักอาชาหลวงแทนซุนไห่ และหูจื้อจงที่ทำงานไว้ใจได้ละเอียดรอบคอบได้ไปแทนตำแหน่งที่เมืองหนานจิง

โจวอี้ที่เคยถูกปลดเพราะกระทำความผิดเบียดบังงบประมาณกองกำลังมังกรฝ่ายซ้าย แต่เพราะรู้จักแก้ไขปรับตัว ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภักดี จึงให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองในสำนักส่วนพระองค์

หลังไทเฮาทรงกริ้ว โอรสสวรรค์รู้สำนึกผิด และเกิดการเปลี่ยนแปลงในวังฝ่ายใน เหตุการณ์มรสุมผ่านพ้นไป ทุกคนก็เหมือนลืมเรื่องคณะตรวจสอบที่ส่งไปเทียนจินและรายงานที่ไม่เป็นดังเจตนารมณ์ที่ส่งไป

ผู้ที่ไม่พอใจในเรื่องนี้ พอเห็นหูจื้อจงได้เลื่อนตำแหน่ง และเห็นคนอื่นๆ ในคณะตรวจสอบยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมไม่เปลี่ยน ก็พอจะเดาท่าทีราชสำนักในเรื่องนี้ได้ ไม่กล้าหาเรื่องต่อ

***********

ในวังนอกวัง หลายคนที่พอมีสถานะอยู่บ้างต่างก็กล่าวกันว่า ว่ากันว่าเป็นพระดำรัสไทเอา แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารับรองว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

“หวังทงเป็นเด็กที่ทำงานไว้ใจได้ หาขุนนางที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทเช่นนี้ได้ยาก เข้าใจหลักการคุณธรรมใหญ่ ทูลตักเตือนฝ่าบาทด้วยความจริงใจและภักดี ไม่เลว ไม่เลว”

พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ และก็ไม่มีวิธีไปพิสูจน์แต่บอกได้เรื่องหนึ่งว่า

หลังจากเหตุการณ์นี้ มีคนพบว่า สถานะของไทเฮาฉือเซิ่งได้เลื่อนสูงไปอีกระดับ เมื่อก่อนในวังทรงเป็นใหญ่ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แต่ในวังไทเฮาเหรินเซิ่งก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง

แต่พอซุนไห่ถูกเนรเทศออกไป ในวัง 24 หน่วยงานทั้งหมดล้วนอยู่ในกำกับของไทเฮาฉือเซิ่ง ตอนนี้พระนางเป็นนายผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริงและเบ็ดเสร็จ

เนื่องจากไทเฮาเหรินเซิ่งพระวรกายอ่อนแอ จึงตัดสินพระทัยไม่พบผู้ใด เรื่องนี้ก็เหมือนบอกได้ชัดเจนแล้ว หากก็เป็นเรื่องที่รู้อยู่ แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้

***********

อย่างไรก็ตามมีกระแสหนึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนสี่ แต่ก็แอบซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจ พอถึงปลายเดือนสี่เมื่อทุกอย่างสงบลง กระแสก็ร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง

ไปร่ำรวยกันที่เทียนจิน ตอนนี้ผู้คนในเมืองหลวงไม่ว่าพ่อค้า คหบดี ขุนนางใหญ่ บัณฑิต หรือชนชั้นสูง ไปจนขันทีฝ่ายในต่างก็รู้กันว่าไปเทียนจินย่อมทำกำไรงาม ย่อมร่ำรวยใหญ่แน่นอน……

ว่ากันว่าพวกที่คิดเร็ว ดำเนินการเร็วกว่าผู้อื่น ไปเช่าร้านค้าที่ริมแม่น้ำทะเล รู้ว่าจะนำเข้าสินค้าอันใด ขายสินค้าอันใดกันแล้ว แม้ไม่ทำการค้า ร้านค้าที่เช่าเอาไว้ก็มีคนมาเช่าต่อในราคาหลายเท่าตัว นั่งเก็บเงินสบายใจ

เรื่องร่ำรวยนี้ผู้ใดก็ล้วนยินดี เรื่องดีๆ เช่นนี้ผู้ใดไม่วิ่งนำหน้า ที่บ้านมีเงินก็เตรียมเงินให้พร้อม ไม่มีเงินก็คิดหาลู่ทางกัน

ทุกคนรู้ว่าหากไปช้าย่อมคว้าไม่ได้อันใด เมืองหลวงรู้ เมืองทงโจว เมืองเซียงเหอจะไม่รู้หรือ เมืองซุ่นเทียนรู้ เมืองเหอเจียนก็รู้ หรือว่าเมืองในเขตปกครองเหนือที่เหลือจะไม่รู้ ไปช้าย่อมไม่มีอันใดให้ไขว่คว้าอีก

***********

“นายท่านช่างโชคดีจริงๆ ซุนไห่หน้ามืดตามัว ถึงกับเล่นของแบบนั้นได้ สมน้ำหน้าที่ต้องพังไม่เป็นท่า”

ในจวนหวังทงที่เทียนจิน หยางซือเฉินกล่าวอย่างยินดี ความนัยในเรื่องนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก หวังทงก็ไม่คิดจะบอก ได้แต่ยิ้มตอบไปว่า

“โชคดีจริง ๆ ถ้าสถานะซุนไห่มั่นคง เกรงว่าที่จะเล่นงานคนแรกคงเป็นข้า และคงจะไม่มีวันยอมรามือ”

หยางซือเฉินพยักหน้าเห็นด้วย ความโปรดปรานของโอรสสวรรค์ที่มีต่อขุนนางนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นดังตัวแทนของความมั่งคั่งรุ่งเรือง ไม่ว่าผู้ใดย่อมมิยินยอมแบ่งปันกับผู้อื่น โดยเฉพาะการแย่งชิงตำแหน่งที่ได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุดเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นดังมีเจ้าไม่มีข้า ไม่มีทางประนีประนอมกันได้

หวังทงเข้าใจจุดนี้ดี ดังนั้นวิธีการที่เขาใช้จึงรุนแรงฉับไว ต้องทำให้ซุนไห่ผู้นั้นไม่อาจมีหนทางกลับมาคืนชีพได้อีก ตนเองถูกขุนนางโจมตี หากยังต้องห่างเหินกับสายสัมพันธ์ในวังอีก เรื่องที่ตนทำลงไปตอนนี้ทั้งหมดไม่ช้าก็คงทำให้ตนแหลกเป็นผุยผงเป็นแน่ หวังทงเข้าใจกระจ่างในเรื่องนี้ดี

คุยเล่นไปสักสองสามคำ หยางซือเฉินก็กล่าวขึ้นว่า

“การจัดการสร้างโรงเตี๊ยมและเรื่องซื้อหาม้านั้น ได้สั่งการให้คนของร้านสามธาราไปดำเนินการแล้ว ม้ายังพอหาได้ เพราะเมืองจี้โจวทุกปีมีการค้ากับทางมองโกล แต่เรื่องโรงเตี๊ยมนั้นในเวลาอันสั้นเกรงว่าจะไม่ทัน”

“ถ้าไม่มีโรงเตี๊ยมก็ให้ไปหาบ้านชาวบ้านละแวกนั้นแทน พลส่งสารจะต้องใช้คนที่เราไว้ใจได้ดำเนินการ และยังต้องจับตาดูใกล้ชิด ไม่อาจละเลยปล่อยให้เกิดเรื่องได้”

เห็นหวังทงกล่าวจริงจัง หยางซือเฉินก็รีบรับคำ หวังทงนิ่งไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า

“การส่งจดหมายสำคัญกว่าทุกเรื่อง อย่าคิดว่าเรื่องนี้ใช้เพื่อการเมืองเท่านั้น ร้านสามธาราและการค้าอื่นในเทียนจินไม่แน่ก็อาจต้องใช้งานด้วย”

ข้อมูลข่าวสารก็คือเงินทอง มีเส้นทางข้อมูลข่าวสารฉับไว ไม่ว่าตนเองจะติดต่อกับฮ่องเต้ หรือเพื่อการค้า ก็ล้วนอำนวยความสะดวกให้มาก นับประสาอันใดกับการเกิดเรื่องมากมายในครั้งนี้ทำให้หวังทงรู้สึกถึงความยุ่งยากในการติดต่อสื่อสารที่ล่าช้า

ขณะกำลังพูดกันอยู่ จางซื่อเฉียงก็เดินเข้ามากล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าอวี๋ให้ข้าน้อยมาเรียนเชิญท่าน บอกว่าอยากจะออกไปเดินริมแม่น้ำทะเลกับท่าน”

อวี๋ต้าโหยวมาเชิญ ย่อมไม่อาจรอช้า หวังทงยิ้มลุกขึ้นกล่าวว่า

“มาคิดดู ตอนอยู่เมืองหลวงกลับมีเวลาว่างมากกว่า มาเทียนจินนี้ไม่ได้หยุดพักเลยสักนาทีเดียว พี่จางบอกผู้ติดตามทั้งหมดว่าให้เปลี่ยนชุดลำลองไป อย่างไรริมแม่น้ำทะเลก็มีกองกำลังอารักขา”

“ใต้เท้าหวังลำบากท่าน……”

หยางซือเฉินกล่าวขึ้นตามมา หวังทงโบกมือกล่าวว่า

“ไม่ลำบากอะไร แม้อยู่เมืองหลวงจะว่าง แต่ก็ไม่อิสระ อยู่เทียนจินงานยุ่งอย่างไรก็รู้สึกสบายใจ”

พูดไปก็ก้าวออกจากห้องไป หวังทงเปลี่ยนเป็นชุดยาวที่พลทหารส่งมาให้ ถามไปว่า

“ใต้เท้าอวี๋ทำไมจึงคิดไปเดินเล่นริมแม่น้ำทะเล?”

“ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจ แต่ใต้เท้าอวี๋หลายวันนี้เดินไปมาอยู่ริมแม่น้ำทะเล ดูจนละเอียด ก็ไม่รู้ว่าดูอันใด!”

**********

“ซุนไห่ล้มลง สถานะเจ้าก็มั่นคงแล้วล่ะสิ!?”

“ใต้เท้าช่างมองได้ทะลุ ไม่ต้องกังวลอันใดชั่วคราว”

แสงอาทิตย์สาดส่อง ผู้คนริมแม่น้ำทะเลมากมาย ทำให้คิดไปถึงตลาดอันรุ่งเรือง หวังทงรู้สึกมีความสุข อวี๋ต้าโหยวจิตใจแจ่มใส ร่างกายชราแต่แข็งแรง หากเดินก็ยังต้องใช้ไม้เท้า

สองคนเดินไปคุยไปสบาย ๆ เดินไปตามทิศทางที่อวี๋ต้าโหยวนำไป

พอไปถึงริมแม่น้ำทะเลจริง ๆ ก็มิได้วุ่นวายคึกคักเหมือนถนนเส้นในตลาดการค้า เพราะว่าที่แห่งนี้เป็นโกดังและที่ตั้งวางสินค้ากลางแจ้ง เป็นที่จอดเรือขนสินค้า ส่วนใหญ่เป็นพวกคนงานบนเรือ แรงงานขนของ พ่อค้ามารับสินค้าและเจ้าหน้าที่เก็บภาษี

เดินไปทางหนึ่ง อวี๋ต้าโหยวยกไม้เท้าชี้ไปกล่าวว่า

“ตอนข้ารบกับโจรสลัดที่ฮกเกี้ยน เคยปลอมตัวไปในตรอกโจรสลัด ที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าจากมหาสมุทรใหญ่ ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า แต่ไม่มีท่าเรือเหมือนของเจ้า กล่าวได้ว่าเจ้ามีความสามารถหาเงินหาทองจริง ไม่ใช่เรื่องกล่าวกันเล่นๆ”

“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว ในพื้นที่แผ่นดินหมิงไม่ขัดสนเงินทอง ไม่ขัดสนสินค้า ขัดสนแค่การติดต่อสื่อสาร และที่แลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น ท่าเรือส่วนตัวอย่างไรก็เป็นส่วนตัว ข้าเป็นขุนนางราชสำนักใช้ชื่อราชสำนักเปิดทะเล การค้าทางทะเลจะได้เชื่อมกับคลองส่งน้ำ ให้ทางใต้เชื่อมกับทางเหนือ เข้าสู่แผ่นดินด้านในเข้าไป และยังใช้สถานะทางการ ไม่ต้องห่วงเรื่องตรวจสอบ ย่อมเป็นแหล่งค้าขายศูนย์รวมสินค้าใต้หล้า”

อวี๋ต้าโหยวพยักหน้าราวกับรู้ราวกับไม่รู้ เส้นทางการค้าไม่ใช่ที่เติบโตของขุนพลสายทหาร และเขาวันนี้ ไม่ได้มากล่าวถึงเรื่องนี้ อวี๋ต้าโหยวยกไม้เท้าชี้ไปบนทะเล……

**********

ณ มุมหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำทะเล มีชายสองคนกำลังนั่งยองๆ หลบมุมลับตา ใช้ภาษาฮกเกี้ยนกระซิบกัน

“นายใหญ่กำชับว่า ทางนี้ร้านเปิดเต็มแล้ว ในร้านสินค้าเต็มร้าน ทำการค้ามาได้เกือบเดือนแล้วก็ให้ส่งจดหมายไปแจ้ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version