Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 378

ตอนที่ 378 กล้าตักเตือน แบกกิ่งหนามขอรับผิด

เมื่อได้ยินคำว่า ‘กระหม่อมหวังทง’ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง การเคลื่อนไหวต่อมาก็คือขยี้ตา เป็นหวังทงจริงๆ แม้ว่ารูปร่างจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เป็นหวังทงจริงๆ

“เจ้ากลับมาได้อย่างไร!? ทำไมเราไม่รู้ข่าว!?”

ขณะที่กำลังตรัสอยู่ก็ทรงก้าวขึ้นหน้ามาด้วย ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกเก้าอี้กระแทกขา แต่ก็ไม่ทรงสนพระทัย เสด็จไปหน้าหวังทง ดึงตัวหวังทงขึ้นมา

ในช่วงเวลานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกราวกับกลับไปยังช่วงฤดูหนาวเมื่อสองปีก่อนที่พระองค์และจางเฉิงมาหอเลิศรสและได้พบกับหวังทง

หวังทงยังคงสูงกว่าว่านลี่ไม่น้อย ท่าทางแสดงออกก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ หลังจากทรงประคองให้ลุกขึ้น หวังทงมองว่านลี่ก็รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง ยิ้มกราบทูลว่า

“กระหม่อมว่า พระองค์สูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย ผอมลงเล็กน้อยด้วย”

ฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะเบาๆ ใช้พระหัตถ์ตบไหล่หวังทง อยู่ๆ ไม่รู้ว่าจะตรัสอะไรดี ไม่ทันสังเกตว่า พอได้พบกับหวังทง ความเครียดที่สั่งสมมานั้นลดลงไปมาก รู้สึกสบายพระวรกายขึ้นมาทันที

“กลับมาเมืองหลวงได้อย่างไร ไม่บอกกันสักคำ”

ยิ้มกันอยู่นานกว่าจะถามออกมาเช่นนี้ หวังทงยิ้มตอบว่า

“กระหม่อมอยู่เทียนจินได้ยินข่าวมาบ้าง จึงรีบกลับมา เขียนจดหมายบอกจางกงกงว่าให้ช่วยนำเสด็จฝ่าบาทออกมาที่นี่”

ฮ่องเต้ว่านลี่มองกลับไปที่จางเฉิงที่ยืนอยู่ข้างประตูพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถอยกลับไปประทับนั่ง เห็นหวังทงยังคงยืนอยู่ที่นั่นจึงตรัสว่า

“นั่งลงคุยกัน นั่งลงคุยกัน!”

“ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ มีขุนนางที่ไหนนั่งพะยะค่ะ กระหม่อมยืนทูลดีแล้วพะยะค่ะ!”

“ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตอง เราให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่ง จะได้คุยกับเรา!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเร็วมาก เห็นได้ชัดว่าทรงตื่นเต้น หวังทงจึงได้แต่ถวายคำนับก่อนลงนั่ง พอหวังทงนั่งลง น่าแปลกที่ว่านลี่อยู่ ๆ ก็รู้สึกความอัดอั้นในพระทัยกำลังจะทะลักออกมา ราวกับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นพยายามทำพระองค์ให้เข้มแข็งเพียงลำพัง แทบจะหลั่งน้ำตาหรั่งพรูออกมา แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่น้ำเสียงก็ยังเจือสะอื้น

“หวังทง เจ้ารู้ไหม ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เราทุกข์ใจมาก!”

หวังทงยิ้มฝืดในใจ สถานการณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ในยามนี้เขาพอรู้บ้าง เด็กที่ยังไม่โตและคิดว่าตนเองโตแล้ว พบของเล่นใหม่ก็มักจะเล่นจนลืมหมดทุกสิ่ง ผู้ใหญ่สั่งสอนกลับรู้สึกไม่พอใจ ต่อต้านโต้กลับ แต่พอลงมือหนักไป ก็รู้สึกอึดอัดเหมือนโดนรังแก

“เรื่องฝ่าบาทในวังนั้น กระหม่อมได้ยินมาบ้าง……”

“……เราแต่งงานแล้ว แต่เสด็จแม่กับเฝิงต้าปั้นก็ยังควบคุมเราเข้มงวด ขันทีผู้น้อยหาของเล่นมาให้เราสนุกนิดหน่อย พวกเขาก็บอกว่าเป็นสิ่งเลวร้าย เสด็จแม่……เสด็จแม่ยังบอกว่าเป็นทางไปสู่แผ่นดินล่มสลาย……ยังจะปลดเราอีก……”

สิ่งที่ควรพูดไม่ควรพูด ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนพูดออกมาหมด พรั่งพรูไม่หยุด ราวกับว่าต้องการระบำยความอัดอั้นในหลายวันนี้ออกมาให้หมด ถึงช่วงท้าย ยังตบต้นขาเสียงดัง

ตรัสมาเป็นชุดเช่นนี้ ทำเอาว่านลี่รู้สึกคอแห้ง หวังทงลุกไปรินน้ำชามาแก้วหนึ่ง ทรงเงยหน้าดื่มรวดเดียว ก่อนจะตรัสเล่าต่ออย่างร้อนพระทัยว่า

“หวังทง เรารู้ว่าเจ้ามีวิธี เราเป็นโอรสสวรรค์ เป็นรัชทายาทที่เสด็จพ่อแต่งตั้ง ผู้ใดก็ไม่อาจปลดเราได้ แม้แต่เสด็จแม่ก็ไม่ได้ หวังทง เจ้า……”

เมื่อได้ยิน หวังทงก็หรี่ตามองจางเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างระแวดระวัง รีบลุกขึ้นคุกเข่ากราบทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวาจาบางอย่างไม่รู้ว่าควรทูลหรือไม่ ขอทรงละเว้นโทษที่กระหม่อมบังอาจ”

หวังทงไม่กล้าปล่อยให้ฮ่องเต้ว่านลี่พูดต่อ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาอีก ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินคำพูดของเขาก็ตรัสว่า

“เจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เรารู้ว่าเจ้าจงรักภักดี ไม่ต้องมัวระวังธรรมเนียมนายบ่าวอันใด มีอันใดก็รีบกล่าวมา!”

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถามสักคำ ขอทรงตอบอย่างใคร่ครวญให้ดีก่อน หากว่าไทเฮาจะปลดพระองค์จริง ทรงมีหนทางรับมือหรือไม่ ทรงมีความสามารถต่อต้านขัดขืนหรือไม่?”

“เราเป็นโอรสสวรรค์ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิง สูงที่สุด……”

ฮ่องเต้ว่านลี่บ่นพึมพำไปสองสามคำ น้ำเสียงก็เริ่มเงียบลง สำนักอาชาหลวง กองกำลังวังหลวง กองกำลังเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งองครักษ์ติดอาวุธรอบพระวรกาย กองกำลังเหล่านั้นล้วนไม่อยู่ภายใต้พระบัญชาของพระองค์

สำนักส่วนพระองค์ในวัง คณะเสนาบดีนอกวัง องค์กรแกนหลักค้ำจุนราชวงศ์ทั้งสององค์กรนี้ ไม่ว่าหัวหน้าหรือแกนนำในนั้นก็ล้วนเป็นคนที่ไทเฮาส่งเลือกมาหรือไม่ก็เสนอเข้ามาทางอ้อม ขุนนางใต้หล้า ขุนนางบุ๋นบู๊ส่วนใหญ่ก็ประจำมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพระองค์สักคน

ความเย็นชาหมางเมินหลายวันมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เผชิญมาด้วยพระองค์เอง มีหรือไม่มีพระองค์ก็ไม่แตกต่าง หากจะปลดพระองค์ทิ้งจริง ว่านลี่เองก็ยังคิดไม่ออกว่าจะรับมือได้อย่างไร

คำถามนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่อาจเข้าใจอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากทรงยอมรับ มาถึงหอเลิศรส ได้พบหวังทงทำให้ทรงรู้สึกพระทัยสงบนิ่งลง

คิดตกในเรื่องนี้แล้ว ว่านลี่ก็รู้สึกหมดแรง เอนหลังพิงพนักด้านหลัง ตรัสอย่างหมดแรงว่า

“จะทำอย่างไรดี เราควรทำอย่างไรดี?”

“ฝ่าบาท เรื่องถึงที่สุดแล้วหรือยัง?”

หวังทงถามขึ้นอีก ไม่รอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตอบ หวังทงก็ทูลต่ออีกว่า

“ตามที่ฝ่าบาทตรัสมานั้น ไทเฮาหลายวันก่อนตรัสเช่นนั้นกับฝ่าบาท หากจะทรงทำจริง หลายวันก่อนก็ควรทำแล้ว เหตุใดมาถึงวันนี้จึงยังไม่ดำเนินการ เหตุใดมาถึงวันนี้ยังให้ฝ่าบาทออกนอกวังมาได้?”

การย้อนถามเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตกตะลึงอีกครั้ง หวังทงลุกยืนขึ้นกล่าวอย่างเป็นการเป็นงานว่า

“ฝ่าบาท แม่ลูกสายโลหิตเชื่อมโยงถึงกัน สอนสั่งฝ่าบาท ข่มขู่ฝ่าบาท ล้วนเป็นเพราะทรงเมตตาฝ่าบาท หากไทเฮาต้องการทำเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทจะมีวันนี้หรือ ไทเฮาทรงตรากตรำธำรงทุกสิ่งมาก็เพื่อฝ่าบาท ฝ่าบาท อย่าได้ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบผิดใจกับไทเฮาเลยพะยะค่ะ!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ขยับประทับนั่งตัวตรงขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรง ก่อนจะตรัสอย่างไร้อารมณ์ว่า

“แต่เสด็จแม่บอกว่าจะไปศาลบรรพชน ยังบอกว่าอดีตฮ่องเต้ใช่ว่ามีเราเป็นสายพระโลหิตองค์เดียว พระดำรัสนี้ตรัสออกมา จะไม่หมายความเช่นนั้นได้อย่างไร”

“ฝ่าบาท แม่ดุลูก มีอันใดกล่าวไม่ได้ มีอันใดไม่อาจกล่าว ฝ่าบาท กล่าวอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ ไทเฮาทรงเมตตารักใคร่และเอาพระทัยใส่ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องที่ใต้หล้าทุกคนล้วนเห็นกันอยู่ ฝ่าบาทอยู่วงในจึงไม่กระจ่างชัด”

ฮ่องเต้ว่านลี่กำขอบเก้าอี้แน่น บ่นว่า

“ตำหนิเราต่อหน้าเฝิงต้าปั้นกับจางจิง เราตกใจจนร้องไห้โขกศีรษะดังลั่น ไม่ไว้หน้ากันสักนิด จะให้เราอยู่ต่อในวังได้ได้อย่างไร จะให้เราบัญชาการราชสำนักได้อย่างไร ให้เราไปตำหนักฉือหนิงกงอีกครั้ง เราไม่ไป เราไม่!!”

ล้วนเป็นอารมณ์เอาชนะ หวังทงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะกัดฟันยืนขึ้นอย่างทนไม่ไหว จางเฉิงสบตาเขาแล้วกลับก้มหน้าลงอีก หวังทงเดินเข้าไปใกล้ว่านลี่ก่อนจะกระซิบว่า

“ฝ่าบาท การที่กระหม่อมกลับมาเมืองหลวงครานี้ก็เพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเกรงว่าจะทรงดึงดันต่อไป พระองค์เกรงเสียพระพักตร์ แล้วไทเฮาไม่ทรงเกรงเสียพระพักตร์หรือ หากมีคนคิดแทรกตัวเข้ามา สายพระโลหิตสืบทอดราชบังลังก์มิใช่มีแต่พระองค์พระองค์เดียวจริงๆ นะพะยะค่ะ!”

เมื่อได้ยิน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สะดุ้ง เอียงพระพักตร์ตวัดสายพระเนตรดุดันมองหวังทง หวังทงรีบคุกเข่าลง ประสานมือถวายคำนับอย่างแรงไปทีหนึ่ง

ฮ่องเต้ว่านลี่ที่วิตกกังวลมาโดยตลอด ในที่สุดก็นิ่งสงบลงได้ เงียบไปพักหนึ่งก็ตรัสขึ้นว่า

“หวังทง เจ้าว่าเราจะไปเข้าเฝ้ารับผิดกับเสด็จแม่อย่างไรจึงทำให้ทรงหายกริ้วได้ ให้ทรงยกโทษในความผิดที่เราได้ทำลงไปได้”

หวังทงนิ่งไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนกราบทูลว่า

“เรื่องนี้กระหม่อมพอมีประสบการณ์ หนึ่งควรจะจริงใจ ต้องรู้ในสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไปก่อน……”

************

“ลูกได้คิดถึงคำสั่งสอนที่เสด็จพ่อทรงสั่งสอนมา เสด็จแม่ทรงตักเตือน……คิดถึงตอนนี้ รู้สึกเสียใจที่ได้ทำผิดไป ร่ำไห้เสียใจ……ขอเพียงเสด็จแม่ให้โอกาสลูกได้แก้ไขใหม่……วันหน้าจะต้องปรับปรุงตัว ขยันในราชกิจ……”

แสงไฟในพระตำหนักฉือหนิงกงออกแบบโดยช่างฝีมือระดับสูง กลางวันสว่างมาก ไทเฮาฉือเซิ่งกำลังประทับนั่งอ่านจดหมายสำนึกผิดของฮ่องเต้ว่านลี่ที่ส่งมา

หลังจากอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบพระเนตรไทเฮาก็เริ่มแดง วางจดหมายลง ตรัสกับเฝิงเป่าข้างๆ ว่า

“ในที่สุดฮ่องเต้ก็สามารถรับรู้ถึงความปรารถนาดีของข้า ไม่เสียแรงที่ข้าได้ทำลงไป แม้ว่าอีกหลายปีข้างหน้าประวัติศาสตร์จะตำหนิ ข้าก็ยอม”

เฝิงเป่ายิ้มกล่าวว่า

“ไทเฮาไยตรัสเช่นนี้ พระเมตตาต่อฮ่องเต้ของไทเฮานั้น ใต้หล้าล้วนรู้ดี วันหน้าประวัติศาสตร์จะต้องสรรเสริญ”

หลังจากไทเฮาวางจดหมายลง ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับขอบพระเนตร ตรัสว่า

“ตอนนี้บรรดาขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กัน ท่านจางทางนั้นก็ถวายฎีกามา ฮ่องเต้เขียนบทความสำนักผิดก็เป็นสิ่งที่ควร ซุนไห่แม้ว่ามีความผิดมหันต์ แต่อย่างไรก็เป็นของไทเฮาเหรินเซิ่ง ส่งไปเฝ้าสุสานก็แล้วกัน ส่วนคนที่จะมาแทนนั้น……ฉู่เจ้าเหรินที่หนานจิงไม่เลว ให้สำนักส่วนพระองค์ส่งคำสั่งไปตามตัวกลับเมืองหลวงละกัน!”

เฝิงเป่ายอบตัวลงรับพระบัญชา ก่อนจะค่อยๆ ทูลถามว่า

“ไทเฮา ตำแหน่งที่หนานจิงว่างลง อันนี้?”

“เจ้ากับจางเฉิงปรึกษากัน สำนักส่วนพระองค์ สำนักฝ่ายในมีคนไม่น้อยที่อยู่มานาน ให้ออกไปพักผ่อนข้างนอกบ้าง”

“ไทเฮาทรงพระปรีชายิ่งแล้ว!”

เฝิงเป่าลงถวายคำนับ ด้านนอกมีคนรายงานว่าจางเฉิงขอเข้าเฝ้า พอจางเฉิงเข้ามาก็ขออภัยโทษก่อนจะเดินไปกระซิบกับเฝิงเป่า ไทเฮาขมวดพระขนงทันที บ่าวทั้งสองมีสิ่งใดต้องปิดบังกันต่อหน้าเราด้วย

คิดไม่ถึงว่าพอเฝิงเป่าฟังจบก็ยิ้มยอบกายลงทูลว่า

“ไทเฮาโปรดอย่าได้ตำหนิ รออีกสักครู่ก็จะทรงทราบแล้ว ฮ่องเต้กำลังเสด็จมาก ไม่สะดวกให้คนในวังเห็น พวกบ่าวให้ถอยออกไปแล้ว”

นางกำนัลขันทีในตำหนักฉือหนิงกงออกไปทางประตูหลัง เหลือแต่ไทเฮาฉือเซิ่งที่นั่งไม่พระทัยอยู่บนที่ประทับ ไม่นานประตูตำหนักก็เปิดออก ฮ่องเต้น้อยเสด็จเข้ามา

พอมาถึงหน้าประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ลงคุกเข่า พระวรกายด้านบนไร้อาภรณ์ ผูกกิ่งหนามมาท่อนหนึ่ง โขกศีรษะอย่างนอบน้อมกล่าวว่า

“ลูกขอรับผิดกับเสด็จแม่ ความผิดทั้งหมดที่ลูกทำไป ขอเสด็จแม่โปรดยกโทษให้ลูกด้วย”

ไทเฮาฉือเซิ่งที่ประทับนั่งอยู่นั้น พระวรกายสั่นเทา น้ำตาไหลพรั่งพรู……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version