ตอนที่ 377 เลือดใช่ว่าข้นกว่าน้ำ พบกันอีกครั้ง
ทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่พอถึงห้องบรรทมก็ทรงระเบิดพระอารมณ์ใหญ่
วันที่ 7 เดือนสี่มา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ออกประชุมถึงห้าวันติด ทุกวันเอาแต่เวียนไปมาระหว่างห้องบรรทมกับห้องทรงอักษร ไม่ได้คิดจะไปตำหนักฉือหนิงกงอีก
“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงรำคาญคำพูดกระหม่อม เสด็จไปรับผิดกับไทเฮาเถิดพะยะค่ะ ทรงเป็นพระมารดาแท้ๆ ของพระองค์ มีอันใดที่ปล่อยวางไม่ได้ ไยต้องทำถึงเพียงนี้ด้วย?”
จางเฉิงยืนอยู่ด้านข้างโต๊ะทรงอักษรของฮ่องเต้ว่านลี่ กระซิบเตือนขึ้น เดิมฮ่องเต้ว่านลี่กำลังนั่งเหม่ออยู่นั้นก็กริ้วหนักทันที ตวาดสุรเสียงดังว่า
“เราเป็นโอรสสวรรค์ เราเป็นหนึ่งในใต้หล้า ทั่วใต้หล้าต้องภักดีต่อเรา ไม่ใช่เสด็จแม่ หลายวันนี้เราฟังแต่เสียงพร่ำบ่นของฮองเฮา มาถึงห้องนี่ยังต้องฟังเจ้าบ่นอีก หรือว่ในวังนี้ไม่มีที่ให้ข้าได้นั่งสงบๆ บ้างหรือไง? ไม่ต้องพูดแล้ว!!”
จางเฉิงก้มหน้ายอบกายลง ถอนหายใจออกมา หลังจากระเบิดพระอารมณ์เสร็จ ก็ไม่ตรัสอันใดต่อ เอาแต่เหม่อลอยต่อ
หลายวันมานี้ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบสงบไปมาก ตั้งแต่กลับจากตำหนักฉือหนิงกง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ้ว หลังอภิเษกก็รู้สึกว่าพระองค์เป็นผู้ใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงว่ายังต้องถูกสั่งสอนเข้มงวด ทรงคิดว่าอย่างไรก็เป็นถึงโอรสสวรรค์ วันนี้ก็แค่ข่มขู่เท่านั้น หรือว่าสุดท้ายแล้ว จะปลดเราจริงๆ กัน
อย่างไรก็ตามหลายวันมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกกังวลอยู่มาก ในวังยังคงเป็นเฝิงเป่าที่จัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามปกติ ในราชสำนักก็มีจางจวีเจิ้งคอยจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามปกติ เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับแผ่นดินก็รายงานให้ไทเอาตัดสินพระทัย ไม่จำเป็นต้องให้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ทำอันใดแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงไม่อาจทำอันใดได้ดังเดิม ทุกวันทำไปตามกระบวนการเดิมๆ ก็ย่อมไม่รู้สึกอันใด แต่หลายวันมานี้ เพิ่งได้รู้สึกว่าตนเองนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับใต้หล้าเลย มีหรือไม่มีก็ไม่แตกต่าง
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งเหม่อก็ยิ่งกังวล แต่จะให้พระองค์ไปยอมรับผิดที่ตำหนักฉือหนิงกงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจบากหน้าไป รู้สึกว่าเสียหน้ามาก
************
“ฝ่าบาทไม่ยอมเสียหน้า เอาแต่แข็งกร้าว เราเป็นบ่าวก็ต้องตักเตือน ทำอันใดไม่ได้ เห็นแล้วก็ร้อนใจ เฝิงกงกง ไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ค่ำคืนหนึ่งในสำนักส่วนพระองค์ จางเฉิงถามเฝิงเป่าด้วยรอยยิ้มลำบากใจ เฝิงเป่ากำลังอ่านฎีกำอยู่ นวดขมับกล่าวว่า
“ไทเฮายังทรงปกติดี ทุกวันเสวยพระกระยาหารกับอ๋องลู่ แต่การแข็งกร้าวเช่นนี้ไม่เป็นการดี เป็นเช่นนี้ต่อไป ไทเฮาคงได้กริ้วหนักอีกเป็นแน่”
สองคนพากันทอดถอนใจ ตอนนั้นเอง ขันทีด้านนอกก็รายงานดังเข้ามา ก่อนจะทิ้งมือแนบกายเดินเข้ามา กระซิบรายงานเบาๆ ว่า
“เฝิงกงกง คนสำนักบูรพามารายงานว่า คณะแสดงนอกรีตหนีได้เร็วมาก คิดจะจับตัวให้ได้ก็ต้องให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียนช่วยแล้ว”
เฝิงเป่าโบกมือรำราญ กล่าวว่า
“ตามไม่พบก็แล้วไป ถือดาบไล่ล่าอย่างไรก็อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติอันใด จะทำจนประชาใต้หล้ารู้กันไปหมดหรือไง?”
ขันทีที่เข้ามารายงานรีบถอยออกไป เฝิงเป่าสบตากับจางเฉิงก่อนจะเบนสายตาออก บางเรื่องทุกคนรู้กระจ่างใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องกล่าวให้กระจ่าง
ถามเกี่ยวกับการจัดการฎีกาอีกสองสามฉบับต่อ จากนั้นจางเฉิงก็ถามขึ้นว่า
“ซุนไห่ไม่อยู่แล้ว ตำแหน่งในสำนักอาชาหลวง เฝิงกงกงมีตัวเลือกในใจเสนอไทเฮาแล้วหรือยัง”
“เรื่องสำนักอาชาหลวง ล้วนเป็นไทเฮาตัดสินพระทัย ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหรือข้าควรข้องเกี่ยว……”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงก็รีบขอรับความผิด แต่เฝิงเป่ากำลังอารมณ์ดี กล่าวต่อว่า
“ฉู่เจ้าเหรินที่หนานจิงนั่นก็เป็นคนเก่าแก่จากจวนอ๋องอวี้เราเอง อายุและประสบการณ์ก็พร้อม ครั้งนี้คงเป็นเขา”
ข่าวนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อจางเฉิงมาก แม้ไม่อาจอาจเอื้อมไปจัดการสำนักอาชาหลวง แต่ตำแหน่งขันทีที่หนานจิงนี้ก็เป็นตำแหน่งที่ดีมากอันดับต้นๆ อย่างไรก็ต้องลองคิดดู
“รีบเตือนฝ่าบาท ให้ทรงแก้ไขพระองค์ มิเช่นนั้นเรื่องดีก็กลายเป็นเรื่องร้ายแล้ว!”
เฝิงเป่ากล่าวปิดท้าย
*************
ฝ่าบาทในวังหลวงเป็นอย่างไรย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม เมืองหลวงยังคงสงบสุข ความสำราญในเมืองยังคงเดิม หอฉินก่วนมาถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี
บรรดาขุนนางในเมืองหลวงมาหาความสำราญที่หอฉินก่วน ข้างกายมีสาวงามปรนนิบัติ มักจะชอบกล่าววาจาโอ้อวด แข่งกันว่าผู้ใดรู้ความลับมากกว่า เรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ชมการแสดงนอกรีตถูกไทเฮาจับได้ สั่งสอนรุนแรง กำลังอยู่ในช่วงสำนึกผิดก็แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง
ข่าวลือซุบซิบพวกนี้ ทุกคนรู้ดีว่าอันตรายถึงประหารเก้าชั่วโคตร แต่ทุกคนก็รู้ว่าโทษมาไม่ถึงตนแน่นอน จึงกระซิบกระซาบนินทากันไปไม่หยุด
ข่าวทยอยส่งออกมาจากห้องส่วนตัวแต่ละห้อง เรือนแยกด้านนอกแต่ละเรือนก็มาสู่มือซ่งฉานฉานและคนของสำนักรักษาความสงบให้ได้วิเคราะห์กัน
คนหอฉินก่วนรู้ทั้งหมด แม่นางซ่งกลางวันจะนั่งรถออกไปร้านผ้าแพร ไปร้านตัดเสื้อ ไปร้านเครื่องหอมประทินโฉม ไปร้านเครื่องประดับ ถึงกับไปหอสุรามีชื่อในเมือง แต่กลางคืนจะอยู่แต่ในเรือนเล็กของนาง จับตาดูข่าวสารต่างๆ เอาไว้อย่างใกล้ชิด
แต่วันที่ 11 เดือนสี่ คืนนั้นนางไม่อยู่ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินี้ทำให้ทุกคนแปลกใจ พากันเดาไปต่างๆ นานา แต่ก็เดาหาสาเหตุไม่ได้
หอฉินก่วนเงินทองไหลมาเทมา ซ่งฉานฉานมีกิจการหลายอย่างในเมืองหลวงอีกมาก ที่เขตปัจจิมก็มีคฤหาสน์ข้างที่ทำการศาล ทุกคนคิดว่าเป็นที่พักตากอากาศของผู้ตรวจการซานตงเปิดในเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าครึ่งปีก่อนได้ขายต่อให้ซ่งฉานฉานไปแล้ว
คฤหาสน์นี้มีคนรับใช้เก่าแก่ค่อยปัดกวาดอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น เช้าจรดเย็นล้วนเงียบสงบ แต่คืนนี้กลับไม่เหมือนเดิม มีคนงานหนุ่มมากมาย หน้าประตูยังมีคนขับรถม้ารออยู่ คนผ่านไปมาเห็นแล้วก็บ่นสองสามคำ ที่นี่มีแต่พวกชั้นสูงพักอาศัย ที่เป็นเช่นนี้ น่าจะเพราะเจ้าบ้านกลับมาพัก หรือไม่ก็มีญาติมาพักชั่วคราวเท่านั้น
มีคนในบ้านที่แต่งตัวแบบคนงานบ้างก็นั่งบ้างก็ยืน ในห้องหนังสือมีแสงไปสว่าง
“คณะแสดงนั่นออกจากเมืองหลวงไปในวันที่ 7 แล้ว เสร็จเรื่องแล้ว”
ตอนนี้ซ่งฉานฉานที่พบกับขุนนางระดับสี่ห้าก็ใช่ว่าจะต้องปั้นหน้ายืนอยู่ด้านหนึ่ง กำลังตอบหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หนึ่งปีกว่าที่ไม่ได้พบกัน หนุ่มน้อยตอนนี้สูงใหญ่ขึ้นมาก สีหน้าท่าทางก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมาก ภายใต้แสงไฟยังคิดว่าเป็นชายวัย 30 กว่า
หวังทงถอนหายใจ กล่าวว่า
“อีกปีหนึ่งค่อยส่งเงินไป เรื่องที่พวกนางขอมาก็ให้จดเอาไว้ อีกหนึ่งปีจะจัดการให้ ให้พวกนางสบายใจได้”
หลังจากหนึ่งปีฉันจะส่งเงินสิ่งที่พวกเขาขอบันทึกไว้ข้างคุณเจ้าหน้าที่ได้รับในอีกหนึ่งปีต่อมาและพวกเขาก็มั่นใจ”
ซ่งฉานฉานกวาดตามองอีกสองคน กล่าวอย่างสงสัยว่า
“นายท่าน ข้าขอบังอาจถามสักหน่อย เรื่องใหญ่เช่นนี้ ในวังจะสืบต่อหรือไม่……”
หวังทงพลิกอ่านเอกสารจากสำนักรักษาความสงบในมือไปมา ได้ยินวาจาซ่งฉานฉาน ก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ไม่ เรื่องนี้มาถึงขั้นนี้ ข้างในปิดข่าวกันแทบไม่ทัน ไหนเลยจะสืบต่ออีก”
ในวังย่อมไม่สืบต่อ หวังทงเองก็มีข่าวของตนเอง แต่ก็ไม่อาจกล่าวให้ชัดเจนนัก หวังทงหันหน้าไปกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนว่า
“พี่หลี่ คนส่งสารเข้าวังไปแล้วหรือยัง?”
หลี่เหวินหย่วนตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้าวางใจ วันก่อนตอนบ่ายก็ส่งไปที่หอเลิศรสให้ส่งไปแล้ว คืนก่อนก็น่าจะถึงมือจางกงกงแล้ว”
หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“เดิมคิดจะพาหู่โถวมาด้วย แต่เขากำลังประจำการที่แม่น้ำทะเล ไม่อาจลามาได้ ข้าไม่อาจจัดการส่วนตัวได้ รอไว้ไหว้พระจันทร์ก็จะให้หู่โถวกลับมา”
“ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ กองทัพกฎระเบียบเข้มงวด คนอื่นอย่างไร ก็ปฏิบัติกับหู่โถวเช่นนั้น อย่าได้เอาใจจนเสียคน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เหวินหย่วน หวังทงก็หัวเราะดังลั่น ก่อนจะหันไปกล่าวกับหลี่วั่นไฉว่า
“ใต้เท้าหลี่ว์ ศาลอาญาใหญ่กับที่ทำการอื่นๆ ล้วนไปสืบมาแล้วหรือยัง ข่าวการมาเมืองหลวงของข้ามีผู้อื่นรู้หรือไม่?”
หลี่ว์วั่นไฉส่านหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ยังไม่มีข่าวอันใด ทุกวันมีคนเข้าออกเมืองหลวงมากมาย พ่อค้ามาจากเทียนจินก็มาก ไม่เป็นที่สังเกตหรอก ขอใต้เท้าวางใจได้”
หวังทงพยักหน้า มองทุกคนที่ยืนอยู่แล้วก็ตบหน้าผาก ยิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่านเชิญนั่งก่อน ทุกคนล้วนคนกันเอง เข้ามาก็เอาแต่ถามเรื่องงาน ดูห่างเหินเกินไปแล้ว”
ทุกคนหัวเราะดัง แม้แต่หลี่เหวินหย่วนที่หน้ำตาไร้รอยยิ้มก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
“จดหมายใต้เท้ามาถึงเมื่อวันก่อน ไม่มีผู้ใดคิดว่าเมื่อวานใต้เท้าก็ถึงเมืองหลวงแล้ว คืนแม่นางซ่งส่งจดหมายให้ทุกคนรู้ ทำเอาตกใจกันไปหมด”
หลี่ว์วั่นไฉนั่งลงเสร็จก็ตบพัดลงกลางฝ่ามือ กล่าวชมขึ้น
“ใต้เท้าจัดการเช่นนี้ได้ ช่างน่ายกย่อง มองผิวเผินดูใจกล้าไปหน่อย หากมองละเอียดพบกว่าปลอดภัยที่สุด ในวังนอกวังล้วนอยู่ในความคาดการณ์ของใต้เท้า ช่างยอดเยี่ยมจริง”
“ข้าอยู่เทียนจิน ห่างจากเมืองหลวงไกลเพียงนี้ ยังทำเรื่องพวกนั้น หากไม่มีฝ่าบาทคอยสนับสนุน ทุกอย่างคงพัง ความรุ่งเรืองก้าวหน้าของทุกคนก็ย่อมไม่อาจยื้อไว้ได้ ไม่อาจไม่ลงมือ ไม่อาจไม่กระทำแล้ว”
ได้ยินคำชมหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยามนี้ได้ยินเสียงข้างนอกดังมาว่า
“จดหมายจากทางนั้นมาแล้ว”
**************
เห็นชายแต่งการสามัญชนสองคนเดินออกมาจากประตูวังด้านข้างทางทิศตะวันตก ทหารยามจะเข้าไปสอบถาม แต่พอเห็นสัญญาณมือของคนด้านหลังของสองคนนั้น มองให้ดีอีกที ก็รีบถอยกลับไป
“สองปีก่อนเราถูกเสด็จแม่สั่งสอน ยังถูกท่านจางลงโทษ เราโมโหมาก แต่จางปั้นปั้นก็ยังนำเราไปเดินเล่นข้างนอก ได้พบกับหวังทงและหู่โถว”
เดินไปไม่นาน สองคนก็มาถึงถนนทักษิณ ฮ่องเต้ว่านลี่เหม่อมองดูความคุ้นเคย พลางกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกสั่นไหว จางเฉิงข้างๆ ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ฝ่าบาท ไปนั่งหอเลิศรสไหม ที่นั้นจัดการเตรียมไว้แล้ว”
ว่านหลี่พยักหน้า ทั้งสองเดินมาถึงหอเลิศรส จางเฉิงรีบก้าวเข้าไปเลิกม่านขึ้น ว่านลี่ก้าวเข้าไป หอเลิศรสสะอาดสะอ้านและเงียบสงบ หากในนั้นมีคนผู้หนึ่งอยู่ พอได้พบฮ่องเต้ว่านลี่ก็ก้มกายถวายคำนับ
“กระหม่อมหวังทง ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”