ตอนที่ 394 ต่งช่วงสี่และเสิ่นหวั่ง
พอได้ยินชื่อ หวังทงก็อึ้งไป ส่งสายตาเป็นคำถามมองซ้ายมองขวา ทุกคนสีหน้าก็งุนงง
องครักษ์เสื้อแพรเป็นหูเป็นตาแทนโอรสสวรรค์ มีกระจายกำลังในทุกพื้นที่ นอกจากเขตปกครองเหนือใต้ที่เป็นพื้นที่ล่อแหลมแล้ว แต่ละมณฑลก็มีสาขาสำนักองครักษ์เสื้อแพรตั้งอยู่ การมาเยือนของนายกองพัน ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติอยู่
แต่หวังทงถือว่าเป็นผู้มาใหม่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันหลายพันคน ที่เขารู้จักก็มีแค่โจวหลินปิ่งซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาตอนอยู่ที่เมืองหลวงเท่านั้น และยังจบกันด้วยความไม่ลงรอย ที่เทียนจินยังจัดการเก่อลี่ไปอีกหนึ่งนาย คนอื่นๆ แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่รู้จัก ไม่ต้องกล่าวถึงการไปมาหาสู่
“จริงหรือเท็จกัน?”
หวังทงไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา พอเอ่ยถามเช่นนี้ ซุนต้าไห่สีหน้าฝืดเฝื่อน ตอบกลับไปว่า
“ใต้เท้ายังคิดเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็สงสัย จึงได้ตรวจป้ายประจำตำแหน่งของเขาแล้ว เป็นของนายกองพันประจำซานตงจริง ทำเอาเสียมารยาทไปมาก แต่ใต้เท้าต่งกลับไม่ถือสา ไม่ได้เอาเรื่องอันใดข้าน้อย”
นายกองร้อยตรวจหลักฐานนายกองพัน สงสัยสถานะว่าจริงหรือเท็จ นับว่าเป็นเรื่องล่วงเกินโดยแท้ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นี้ หวังทงก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก แม้ว่ายังเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องใด หากยังคงกล่าวออกไปว่า
“ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน เจ้าเชิญใต้เท้าต่งไปยังห้องรับรอง ยกน้ำชามาต้อนรับด้วย”
ซุนต้าไห่รับคำออกไปเชิญ หวังทงเข้าไปเปลี่ยนชุด ทั้งหนึ่งแสน ทั้งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรซานตง วันนี้เกิดเรื่องที่ทำให้น่าตกใจและงุนงงหลายเรื่องมากไปสักหน่อย
หวังทงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง ในสมองเรียบเรียงเรื่องราวใหญ่น้อยรอบหนึ่ง ดูว่าตนเองเปิดช่องโหว่อันใดไปหรือไม่ หรือว่ามีอันใดที่คิดไม่ถึง แสนตำลึงกับการปรากฎตัวครั้งแรกของคนจากซานตง
***********
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง หลังจากที่หวังทงเดินเข้าไปในห้องรับรอง ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาให้ห้วงความคิดก็คือประโยคนี้ ในห้องรับรองนอกจากซุนต้าไห่แล้วยังมีคนผู้หนึ่งนั่ง ผู้หนึ่งยืน
คนที่นั่งน่าจะอายุราว 35-36 สวมชุดแบบลัทธิเต๋าสีฟ้าอ่อน ยิ้มจิบชา อีกคนที่ยืนดูแล้วหมือนคนรับใช้ ก้มหน้ำทิ้งมือแนบกายยืนอยู่ด้านหลัง
ที่เรียกว่าชุดแบบลัทธิเต๋านั้นก็มิใช่ชุดนักพรต นี่เป็นชุดแบบปกติทั่วไปที่พวกเห็นได้บ่อยที่สุดในแผ่นดินหมิง ตั้งแต่ฮ่องเต้ยันราษฎร หรือคนตระกูลใหญ่น้อยต่างก็สวมชุดเช่นนี้ไปเยี่ยมเยือนแขกในเทศกาล หรือไม่ก็รอรับแขกที่บ้าน การแต่งกายเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการเคร่งครัดในธรรมเนียม
อย่างไรก็ตามชุดสีน้ำเงินอ่อนนี้ก็เป็นแบบที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยสวมใส่กัน คนที่นั่งอยู่ยังมีกลิ่นอายท่าทีสบายๆ แบบคุณชายทั่วไป รูปร่างได้สัดส่วน หน้ำตาโดดเด่น เคยได้เห็นดาราในโลกก่อนมาไม่น้อย คนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าพวกดารานั้นเลย หรืออาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ
แหวนในมือ หยกประดับที่เอว ยังที่ที่ห้อยด้ามพัดจีบ ล้วนเป็นงานล้ำค่าปราณีตอันดับหนึ่ง คนเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ซุนต้าไห่จะรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
คนผู้นี้หากกล่าวว่าเป็นคุณชายเสเพลตระกูลผู้สูงศักดิ์จากเมืองหลวงก็ยังมีคนเชื่อ หากจะบอกว่าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรซานตง เทียบกับขุนนางบู๊พวกนั้นในเมืองหลวงและที่ต่างๆ แล้ว ไม่เหมือนอย่างมาก
หวังทงคุ้นเคยกับการมองคนก็คิดวิจารณ์อย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลจากรูปร่างหน้ำตาภายนอก คนผู้นี้ดูไปแล้ว สองแห่งที่นับเป็นจุดบกพร่องได้ก็คือ หน้ำตาซีดขาว ขอบตาดำคล้ำอยู่บ้าง ท่าทางเช่นนี้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกนิยมสุรา ทั่วไปจึงรู้สึกว่าไม่น่าสนใจนัก
เมื่อเห็นหวังทงเดินเข้ามาในห้องท่าทางองอาจ ผู้ติดตามนายกองพันต่งผู้นั้นก็อึ้งไป แม้จะรู้มาว่าหวังทงอายุยังน้อย แต่พอได้เห็นกับตา ก็ยังรู้สึกว่าหนุ่มเกินไป หากไม่ใช่เห็นซุนต้าไห่ทำความเคารพ นายกองพันต่งน่าจะไม่กล้าทักทาย
“ท่านนี้ก็คือใต้เท้าหวังกระมัง ข้าแซ่ต่งมาเยือนไม่ได้นัดหมาย เสียมารยาทแล้ว ขอใต้เท้าหวังโปรดอภัย”
นายกองพันต่งช่วงสี่ยิ้มลุกขึ้น ประสานมือคำนับ หวังทงก็คำนับตอบตามมารยาท สองฝ่ายนั่งลง ไม่รอให้หวังทงถาม นายกองพันต่งก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าหวังต้องรู้สึกงุนงงเป็นแน่ ท่านและข้าแม้เป็นทหารในสังกัดเดียวกัน แต่หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ ไม่รู้จักกัน เหตุใดอยู่ๆ จึงมาเยือนถึงจวน คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
คนนี้ช่างรู้จักเจรจา พอกล่าวเช่นนี้ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย หวังทงอดยิ้มพยักหน้าไม่ได้ ต่งช่วงสี่ก็ยิ้มกล่าวว่า
“ขอเรียนให้ใต้เท้าทราบว่า เจ้าของร้านหลูไห่ก็คือข้าน้อยเอง”
คำพูดนี้ทำให้หวังทงได้รับคำตอบที่สงสัยขึ้นมาในบัดดล แต่ยิ่งทำให้งงมากยิ่งขึ้น คิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย
“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยทำการค้าอยู่ที่ซานตงกับอีกสองสามมณฑลละแวกใกล้ๆ อาศัยทางการดูแล การค้าจึงไปได้ไม่เลว มีร้านสาขาทั้งที่จี่หนิง หลินชิง ไคเฟิงและเทียนจิน ปีก่อนใต้เท้าสร้างร้านค้าที่ริมแม่น้ำทะเล เถ้าแก่เสิ่นหงที่นี่ได้เช่าร้านไว้ร้านหนึ่งด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาข้า เดิมข้าก็คิดจะไล่เขาออก แต่คิดไม่ถึงว่าปีนี้ร้านที่เทียนจินกลับทำกำไรได้มากกว่าที่ร้านใหญ่และร้านที่หลินชิงรวมกันเสียอีก จึงได้คิดจะมาดูที่นี่”
สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้ม แต่ตาเริ่มหรี่ ตอนนี้เขายังคิดไม่เข้าใจ เหตุใดอีกฝ่ายจึงยอมเสียเงินก้อนใหญ่เช่นนี้ ต่งช่วงสี่กล่าวสัพยอกต่อว่า
“ครึ่งเดือนก่อนข้ามาเทียนจิน คิดจะเช่าอีกสักหลายร้าน แต่คิดไม่ถึงว่าจะหาไม่ได้ พี่น้องทำกำไรได้มาก จึงไม่สนใจค่าเช่าเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ตัดใจให้ค่าเช่าอีกสี่เท่า แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมยกให้ พอเห็นว่าเป็นที่ต้องการเพียงนี้ ลองคำนวณดู ร้านค้าที่แม่น้ำทะเล ทุกเดือนแค่ค่าเช่าก็เป็นตัวเลขที่น่าตื่นตะลึงแล้ว ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนเอง วันหน้าพ่อค้าเหนือใต้ทั่วแผ่นดินก็ย่อมมาที่นี่ ร้านค้าตอนนี้ก็ไม่พอกับความต้องการแล้ว หากได้สร้างอีกสักแห่ง ค่าเช่าย่อมสูงลิ่วเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงว่าค่าเช่าจะขนาดไหน”
ต่งช่วงสี่พูดจนคอแห้ง ยกจอกชาขึ้นจิบ กล่าวต่อว่า
“ร้านประกันภัยนี้เก็บเงินจากทุกคน ยังมีใต้เท้าหวังหนุน มีเงินมีแรงก็เอามาลงบุกเบิกพื้นที่เทียนจิน ใช่ว่าจะมีเงินทองไหลมาเทมาราวสายน้ำหรอกหรือ ยังไม่รวมว่าหากปล่อยกู้ได้ดอกเบี้ยจะกำไรมั่นคงอีกเท่าไร หากทำต่อไปเรื่อยๆ วันหน้าก็จะไปถึงขั้นไหนกัน คิดแล้วก็น่าตกใจอย่างมาก”
สุดท้ายก็กล่าวสรุปว่า
“หากไม่ใช่ว่าตอนนี้มีเงินในมือจำกัด ครั้งนี้ก็คงได้ลงให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยแล้ว!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังทงเลือนหายไป กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“บอกว่าลงหนึ่งแสนก็ควักออกมาได้ ใต้เท้าต่งช่างกล้าได้กล้าเสีย ไม่ทราบว่าใต้เท้าต่งทำการค้าอันใดกัน?”
“ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว ทำการค้ายาสมุนไพรเท่านั้น หลายเมืองในหลายมณฑลเจ็ดส่วนล้วนเป็นกิจการของข้าเอง”
ยาสมุนไพรก็คือยาที่ยังไม่ผ่านการดำเนินการใดๆ ต้องซื้อกลับบ้านไปเคี่ยวก่อนจึงจะดื่มเป็นยาได้ ไม่มีผู้ใดอยากป่วย แต่ทุกคนพอป่วยแล้วก็จะไปหาหมอจัดยา ไม่อาจไม่ซื้อ ไม่ว่าแพงสักเท่าใดก็ต้องทนเพื่อชีวิต ดังนั้นจึงทำกำไรสูงมาก
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแค่หนึ่งมณฑล แม้ว่าระดับจะไม่เกินระดับห้า แต่ก็มีหน้าที่ดูแลราษฎรและขุนนางทั้งมณฑล อำนาจมากไม่น้อย
นอกจากนี้นายกองพันยังบอกว่ายังมีการค้าในซานตงและเขตปกครองเหนือใต้กับเหอหนาน ย่อมร่ำรวยมาก แต่ความร่ำรวยระดับนี้แค่คุยทั่วไปก็ควักออกมาหนึ่งแสน ก็ไม่น่าเป็นไปได้นัก
หวังทงนิ่งฟังต่งช่วงสี่กล่าวจบ เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าต่ง เรื่องที่เรียกประชุมวันนี้ ที่เทียนจินหรือใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้ข่าวข้าจะทำอันใด เสิ่นหงที่ได้รับเชิญก็น่าจะไม่รู้ แม้ว่าคิดได้ตอนนั้น เขาเป็นแค่เถ้าแก่สาขาตัวเล็กๆ สามารถตัดสินใจวางเงินหนึ่งแสนได้ด้วยตนเองหรือ หากบอกว่าใต้เท้าต่งก็อยู่ด้วย หวังทงมองจากที่สูงไป ข้างกายเถ้าแก่เสิ่นก็มิได้มีใต้เท่าต่ง ใต้เท้าต่งโดดเด่นเพียงนี้ หากหวังทงเคยเห็นสักครา จะจำไม่ได้ได้อย่างไร?”
งานประชุมวันนี้ พ่อค้าที่มาล้วนสวมชุดที่ค่อนข้างเคร่งขรึมให้เกียรติ แต่งกายสีเข้มเป็นหลัก อย่างไรก็เป็นงานทางการ หากมีชุดสีอ่อนอย่างต่งช่วงสี่ปรากฎขึ้น กอปรกับท่าทางหล่อเหลา ท่ามกลางฝูงชนย่อมกระทบสายตาเป็นแน่ และหวังทงยังเพ่งมองไปเป็นพิเศษอีกด้วย
พอกล่าวจบ ต่งช่วงสี่ก็มีสีหน้านิ่งงัน ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็เงยหน้าสบตา ทำเอาหวังทงอึ้งไป คนผู้นี้หน้ำตาคุ้นอยู่บ้าง ราวกับว่าเคยเห็นอยู่ข้างกายเสิ่นหง และสายตาคนผู้นี้ก็เฉียบคม ดูเป็นคนจริง
หวังทงยิ้ม เอี้ยวตัวไปหยิบโคมไฟข้างกายมา ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าต่งตอนเข้ามาแปลกใจหรือไม่ ฟ้ายังไม่มืดก็จุดโคมไฟแล้ว ที่จริงโคมไฟนี่ไม่ใช่เพื่อส่องแสง แต่เพื่อไว้จุดไฟ”
ขณะที่พูด หวังทงก็ล้วงเอาปืนสั้นกระบอกหนึ่งออกมาจากช่องลับข้างเก้าอี้วางลงบนโต๊ะ ปากกระบอกปืนถูกปิดด้วยกระดาษ ไกปืนกับเชือกชนวนนั้นติดตั้งพร้อมสรรพ ยิงได้ตลอดเวลา ต่งช่วงสี่กับชายรับใช้จ้องปืนสั้น สีหน้าแปรเปลี่ยน หวังทงกล่าวต่อว่า
“เห็นทหารที่อยู่ด้านนอกประตูหรือไม่ แม้ว่ายืนอยู่ไกล แต่มองเห็นชัดตลอดเวลา หากผิดธรรมเนียมก็ขอบอกท่านทั้งสองได้ว่า ข้าแค่ยกมือขึ้นโบก ก็จะมีทหารกรูเข้ามาทันที ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดทำการอันใดเป็นแน่”
หวังทงดูเหมือนจะเปลี่ยนประเด็นสนทนา แนะนำการป้องกันของตนเอง ทว่าต่งช่วงสี่กับผู้ติดตามนั้นสีหน้าย่ำแย่เต็มทน ต่งช่วงสี่พยายามฝืนยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ไยจึงกล่าวเช่นนี้?”
“ไม่มีอะไร วันนี้ใต้เท้าต่งมาได้น่าแปลกอยู่ แต่ข้าเองก็พูดตามจริง หากใต้เท้าต่งไม่กล่าวถึงเจตนาที่มาให้กระจ่าง เกรงว่าคงไม่ได้กลับซานตงแล้ว!”
นายกองพันกับนายกองพันคุยกัน เหลวไหลอย่างที่สุด แต่คนที่ฟังกลับไม่กล้าว่าเหลวไหล ต่งช่วงสี่อึ้งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก็หันกลับไปมองคนด้านหลัง หวังทงสังเกตเห็นว่าคนด้านหลังพยักหน้า ต่งช่วงสี่จึงได้หันกลับมายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง หนึ่งแสนไม่ใช่ล้อเล่น เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดข้า แต่เป็นพ่อบ้านรองของร้านเราเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ คนรับใช้ด้านหลังก็ก้าวออกมา คุกเข่าลงคำนับ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าน้อยเสิ่นหวั่ง คำนับใต้เท้าหวัง”