ตอนที่ 393 ร้านประกันภัย หนึ่งแสนตำลึง
แผนการที่ยังคงอยู่บนกระดาษ วันนี้ก็แค่อธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจ ให้ทุกคนยอมรับ ที่เป็นทางการยังไม่ได้ดำเนินการสักอย่าง
หวังทงกำลังเตรียมคิดจะให้บรรดาพ่อค้ากลับไปย่อยแผนการของเขาในวันนี้ พวกพ่อค้ารายเล็กและกลางจะนำแผนนี้ไปประกาศต่อ หรืออาจต้องให้พวกเขาร่วมออกความเห็น ดูว่ามีวิธีการดีๆ อันใดอีกบ้าง หรืออาจมีอันใดยังขาดตกบกพร่อง ในโลกก่อนนั้นหวังทงก็ไม่ค่อยเข้าใจอาชีพวกนี้สักเท่าไร
คิดไม่ถึงว่า ถึงกับมีคนกระโดดออกมาตะโกนดังว่า
“ขอร่วมทุนหนึ่งแสน!”
หนึ่งแสนคือเท่าไรหรือ ก็เท่ากับภาษีเมืองระดับกลางหนึ่งปีปกติ พ่อค้าทำการค้าที่เทียนจิน พวกที่ควักเงินก้อนนี้ออกมาได้มีไม่ถึงสิบร้านค้า ในนั้นเกรว่ายังรวมร้านสามธาราของหวังทงด้วย ยังมีร้านค้าของกู่จื้อปินและร้านตระกูลจาง
เสียงตะโกนดังมาจากฝูงชน ไม่ได้อยู่แนวด้านหน้า เห็นได้ว่าพ่อค้าผู้นี้น่าจะอยู่ในอันดับธรรมดาที่เทียนจิน ในเมื่อธรรมดามาก เหตุใดจึงกล้าตะโกนออกมาว่าหนึ่งแสนตำลึง
ทุกคนมองตามไป หวังทงบนโต๊ะก็มองไปเช่นกัน เห็นเพียงพ่อค้าวัยกลางคนสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพยักหน้าอยู่
หวังทงมีสถานะอันใดในเทียนจิน หลังจากสังหารโจรสลัดก็เกรียงไกรยิ่ง บรรดาผู้คนในเทียนจินต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้าส่งเสียงหายใจดัง
หรือว่าคนตะโกนออกมานั้นเสียสติไปแล้ว ถึงกับกล้าเสียงดังกับหวังทงกลางผู้คน หวังทงไม่ได้โมโหอันใด เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ในใจคิดว่าคนผู้นี้เหตุใดจึงตะโกนเช่นนี้ออกมา
ดูแล้วก็เหมือนพ่อค้าทั่วไป สวมชุดยาวผ้าต่วน ด้านหลังมีผู้ติดตามสองคน ผู้ติดตามหน้าดำเมี่ยม ยืนอย่างสงบอยู่ข้างๆ
“เหลาเสิ่น หนึ่งแสนตำลึง ร้านหลูไห่พวกเจ้าขายทิ้งพร้อมคนงาน ได้หนึ่งแสนหรือไม่!”
มีคนส่งเสียงเย็นชาประชดขึ้น มีอีกคนที่พอมีสัมพันธ์อันดีรีบกล่าวขึ้นว่า
“เหลาเสิ่น เกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าเสียสติหรือ กล้ามาตะโกนเอะอะที่นี่ ไม่กลัวใต้เท้าถลกหนังเจ้าหรือ!”
ไม่ว่าผู้รอบข้างๆ ที่นั่นจะด่าหรือตักเตือน เหลาเสิ่นผู้นั้นก็ยังคงประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม ไม่กล่าวอันใดมาก ด้านหน้าเริ่มวุ่นวายกันแล้ว
หวังทงขมวดคิ้ว จางฉุนเต๋อที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็มองออกว่าหวังทงไม่เข้าใจ จึงรีบก้าวออกมากล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง เสิ่นหงผู้นี้เป็นเถ้าแก่ร้านหลูไห่สาขาเทียนจิน ร้านใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองจี่หนาน หากจะบอกว่าควักทีเดียวหนึ่งแสน ก็ยากที่จะเชื่อได้”
หวังทงสีหน้าเคร่งเครียด เห็นๆ ว่าบรรยากาศกำลังไปได้ดี กลับถึงหนึ่งแสนตำลึงทำเอาราวกับเรื่องตลก หากเสิ่นหงผู้นี้จงใจก่อเรื่อง ก็ย่อมให้เขารู้จักคำว่า เสียใจภายหลัง เขียนเช่นไร
“พวกเจ้าก่อเรื่องอันใดกัน ร้านเทียนจินเราย่อมไม่อาจมีหนึ่งแสนได้ แต่ร้านใหญ่ที่จี่หนานออกหน้า ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด”
บางทีอาจเพราะคนกดดันมาก เสิ่นหงจึงได้ตะเบ็งเสียงดังออกมาเช่นนี้ คนรอบข้างเงียบลง ฟังเขาพูดหนักแน่นเช่นนี้ก็มีคนด่าขึ้นเบาๆ ว่า
“หนึ่งแสนตำลึง ให้นายใหญ่เจ้ารู้ คิดต้องถลกหนังเจ้า ต่อหน้าใต้เท้าหวัง บางวาจากล่าวมั่วซั่วได้หรือ ช่างเสียสติเสียจริง!”
หวังทงมองลงมาจากที่สูง เหมือนว่าคนข้างๆ เสิ่นหงกำลังกระซิบอันใดกับเขาอยู่ เสิ่นหงเหมือนแค่คนถ่ายทอดความเท่านั้น
“ทุกท่าน คิดจะออกเงินเท่าไร คิดจะมีส่วนแบ่งในร้านนี้เท่าไร คิดว่าร้านนี้ควรดำเนินการอย่างไร ไม่ควรทำอะไร ให้กลับไปค่อยๆ คิด ไม่รีบร้อนต้องออกความเห็น รอให้ทุกคนคิดกระจ่างแล้ว ตัดสินใจแล้ว ค่อยมาพบข้าก็ไม่สาย ข้าทางนี้ได้เตรียมคนไว้พร้อมแล้ว รอทุกคนมาเยือนเท่านั้น มีวาจาบางอย่างกล่าวไว้ตรงนี้ก่อนว่า เรื่องนี้ไม่มีผิดถูก ทุกท่านวางใจได้ ทุกท่านไปทำงานของตนกันได้แล้ว ไม่รบกวนเวลาทุกท่านแล้ว สลายตัวได้!”
หวังทงไม่ต้องการให้เรื่องเสิ่นหงดำเนินการต่อไป เรื่องเหนือความคาดหมายจทำให้ทุกคนสูญเสียความมั่นใจและความไว้วางใจ
ทุกคนได้ยินดังนี้ มองหวังทงโดดลงจากโต๊ะไม้ ก็รู้ว่าเรื่องวันนี้ถึงตรงนี้เท่านั้น มีคนตะโกนดังถามว่า
“ใต้เท้าหวัง ร้านใหม่นี้ชื่ออะไร!?”
“ที่พูดมาข้างต้นมากมาย ก็เพื่อรับประกันว่าเงินทองการค้าของทุกคนจะได้รับประกัน พวกเราอยู่เทียนจิน ก็เรียกว่าว่าร้านประกันภัยเทียนจินก็แล้วกัน!”
ทุกคนไตร่ตรองชื่อนี้แล้วก็พากันปรบมือเสียงดังตะโกนว่าดีเยี่ยม ‘ประกันภัยดี’ หวังทงหันเดินกลับเข้าข้างใน อดยิ้มส่ายหน้าไม่ได้ ชื่อนี้อีกหลายปีข้างหน้าไม่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีนัก……
*************
เถ้าแก่เจ้าของร้านค้าแต่ละร้าน คนใหญ่คนโตในแวดวงการค้าเทียนจินพากันออกจากจวนหวังทงริมแม่น้ำทะเลไปราวกับปลาแย่งกันดำออก หากรอบกายเสิ่นหงกลับมีช่องว่างเว้นไว้มากมาย ทุกคนรู้สึกอยากห่างคนผู้นี้ให้ไกล คิดว่าคนผู้นี้วันนี้สติเลอะเลือนไปแล้ว ถึงกับกล้าตะโกนออกมาเช่นนี้ได้ ไม่ว่าทำหรือไม่ก็คงทำลายชื่อเสียงตนเองและเจ้านายตนไปเรียบร้อยแล้ว หากเป็นคนอื่น เจ้าตะโกนหนึ่งแสนตำลึงทุกคนคงขำกัน แต่ไปล้อเล่นกับหวังทง ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือ? หากเขามาหาถึงที่จริง หรือว่าจะมีวิธีอันใดหรืออย่างไร ทว่าสีหน้าท่าทางเถ้าแก่เสิ่นก็ช่างสบายอกสบายใจเสียจริง ยังคงเดินเล่นกลับไปกับผู้ติดตามราวกับไม่มีเหตุอันใดน่ากังวล
เมื่อเดินออกจากถนนหน้าจวนหวังทง ทุกคนก็กระจายตัวกันไป แต่ละคนกลับร้านตน ฝูงชนเริ่มเป็นปกติ เสิ่นหงเดินไปสองสามก้าว ก็หันไปทักทายทหารสองคนที่เดินลาดตระเวนอยู่ด้านหน้า
พ่อค้าในเขตแม่น้ำทะเลที่เทียนจินไม่กลัวทหารพวกนี้ ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายยิ้มพยักหน้ารับ สองฝ่ายทักทายกัน ผู้ติดตามด้านหลังเสิ่นหงก็ท่าทางนอบน้อมอย่างมาก ก้มหน้าเดินผ่านไป
ทั้งสองฝ่ายเดินสวนกันไป ทหารลาดตระเวนสองนายเดินไปได้สองสามก้าว อยู่ๆ คนหนึ่งก้หยุดฝีเท้าลง หันไปพูดท่าทางคิดหนักว่า
“เสี่ยวอู่ เถ้าแก่เมื่อครู่ ทำไมข้ารู้สึกคุ้นตาจัง?”
“พวกเราทั้งวันเห็นคนมามากมาย เดินไปเดินมา ย่อมต้องเคยเห็นเป็นแน่ จะบอกว่าคุ้นตาทำไม”
อีกคนหนึ่งหัวเราะรับคำ คนผู้นั้นยิ้มพยักหน้า เดินต่อไปข้างหน้า ไปได้สองสามก้าว ก็หยุดฝีเท้าอีก ก่อนจะกล่าวว่า
“ไม่สิ เจ้ายังจำพระรูปนั้นที่เราเข้าตรวจค้นได้ไหม ที่คิดว่าเป็นพระปลอม คิดไม่ถึงว่าเป็นพระจริง หน้ำตาเหมือนเถ้าแก่ผู้นั้น”
อีกคนเริ่มรู้สึกรำคาญ กล่าวว่า
“ข้าจำได้แค่พระปลอม พระจริงไปสนใจทำไม พระนั่นสึกมาเป็นเถ้าแก่ ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา รีบไปๆ กลับไปช้า ข้าวในโรงอาหารได้เย็นหมดกัน”
อีกคนส่ายหน้าไปมา ไม่กล่าวอันใด สองคนเดินต่อไปข้างหน้า
**************
“ส่งคนไปตรวจสอบร้านหลูไห่ วันนี้คนผู้นั้นโดดออกมา ต้องมีอันใดแน่”
พอหวังทงกลับเข้าไปในห้องด้านใน ซุนต้าไห่ส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ หวังทงเช็ดหน้าไปเสร็จก็สั่งการ ซุนต้าไห่รีบรับคำ หยางซือเฉินประคองเอกสารเดินออกมา หวังทงเดินไปกล่าวไปว่า
“นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับร้านค้าในเทียนจิน แต่วิธีคิดของข้าอาจยังไม่รอบด้านพอ เรื่องนี้ต้องหารือกับพ่อค้าทุกคนให้มากอีกหน่อย”
“นายท่านปรีชาสามารถ จะไม่รอบด้านได้อย่างไร”
หยางซือเฉินกล่าวอย่างเชื่อมั่น ขุนพลบู๊ของหวังทงอาจไม่รู้ แต่เส้นทางการค้าที่ผ่านมาทำให้หยางซือเฉินได้แต่ตะลึงอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าคิดออกมาได้อย่างไร แต่ก็ทำไปตามที่คิดมา กลับได้ผลดีเยี่ยม หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่มีอันใดรอบด้าน นั่นต้องเทวดาคิด ช่องโหว่ย่อมมีแน่นอน ท่านหยางนำเรื่องที่ข้ากล่าววันนี้ไปเรียบเรียง มีอันใดไม่เข้าใจก็ให้มาถามข้า รีบจัดการเอกสารให้ดี หาร้านพิมพ์ออกมา จากนั้นเอาไปให้ร้านในห้าสิบอันดับแรก ไปสอบถามทีละร้าน คนพวกนี้ทำการค้ามานาน คิดมากกว่าพวกเรา ละเอียดกว่าพวกเรา พวกเขาว่าอะไรก็ให้จดมาให้ละเอียด กลับมาให้ข้าพิจารณา”
ร้านประกันภัยนี้จะต้องจัดการให้รอบคอบ ทำได้ดีก็จะได้ใจทุกคน ยืมเงินต่อเงิน ทำได้ไม่ดี อาจต้องขาดทุน สุดท้ายยังต้องสูญเสียจิตใจผู้คนไปหมดสิ้น
เรื่องนี้ทำได้ดี ก็เท่ากับการปลดเปลื้องความกังวลของพ่อค้าได้อย่างเด็ดขาด ย่อมทำให้การค้าเทียนจินยิ่งเจริญรุ่งเรือง ดึงดูดพ่อค้าแดนใต้และเหนือให้หลั่งไหลมา ดึงดูดเงินทองให้ไหลมาเทมามากยิ่งขึ้น
เพราะการโจมตีของโจรสลัดทำให้หวังทงเข้าในหลักการนี้ ความเจริญรุ่งเรืองที่แม่น้ำทะเลยังเป็นสิ่งเปราะบาง แม้ว่าคนเองจะฝึกทหารมาหลากหลายรูปแบบ แต่ความเสี่ยงของพ่อค้าก็ไม่ได้ลดลง เรือพลิกคว่ำกลางทะเล เรือเจอโจรสลัดปล้นชิง ทางการไม่เคยกล่าวถึงการชดเชยอันใด หากไม่สามารถลดความเสี่ยงลง ความเจริญรุ่งเรืองนี้คงได้โรยราหายไป
หากดำเนินการร้านประกันภัยได้ดี หนึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ในธุรกิจการค้า อีกทางหนึ่งยังสามารถรวบรวมกำลังเงินทองมาพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในเทียนจินให้ดียิ่งขึ้นได้ ยังสามารถทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของหวังทง ก็หมายความว่า ร้านประกันภัยนี้จะสามารถทำให้บรรดาพ่อค้ารู้สึกรับรู้ร่วมกันและรู้สึกถึงความร่วมใจ ทำให้พวกเขาร่วมแรง ช่วยเหลือกันและกัน ดูแลกันและกัน มีผลดีต่อความเจริญอันยาวนานของเทียนจินในระยะยาว
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงด้านใน ก็เห็นชื่อเฮยและทหารติดตามหม่าซานเปียวรออยู่ พอเห็นหวังทงก็รีบคำนับรายงาน บอกว่าทำงหม่าซานเปียวได้หาม้าที่ไม่เลวพบที่อำเภอหลูหลง เมืองหย่งผิง และพ่อค้ามีม้าและวัวในมือมาก ทางเทียนจินก็กำลังต้องการมาก หม่าซานเปียวคิดจะซื้อกลับมาให้มากอีกหน่อย แต่เงินไม่พอ ส่งชื่อเฮยและอีกคนมาขอเงินกลับไป
คำขอดังกล่าว หวังทงย่อมไม่เห็นค้าน ส่งตั๋วเงินให้ทันที ส่งให้ซุนไห่นำคนไปเบิกออกมา พร้อมกับส่งทหารอีกห้านายคุ้มครองไปพร้อมกับพวกเขา กลับไปยังเมืองหย่งผิง
จัดการงานไปเสร็จ ก็จึงได้นั่งลงพัก หวังคิดถึงที่เสิ่นหงเอ่ยว่า หนึ่งแสนตำลึง ไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์ใด นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากว่าลงทุนมาหนึ่งแสนจริง ร้านหลูไห่ย่อมได้กำไรมากที่สุด
และเถ้าแก่เสิ่นผู้นั้นนับว่าเป็นพ่อค้าอัจฉริยะ จริงๆ วันนี้ควรเป็นคนที่อยู่แถวหน้า เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงกลาง กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซุนต้าไห่กลับมาพร้อมสีหน้าแปลกประหลาด เข้ามาในห้องรายงานว่า
“ใต้เท้าหวัง นายกองพันต่งช่วงสี่แห่งองครักษ์เสื้อแพรซานตงขอเข้าพบ”