ตอนที่ 395 สมประโยชน์สองฝ่าย ลักลอบติดต่อโจร
ตั้งแต่ต่งช่วงสี่เข้ามาในห้องก็พบปะกับหวังทงด้วยท่าทีเสมอกัน สองฝ่ายเจรจาตามมารยาทธรรมเนียม แต่พอเสิ่นหวั่งก้าวออกมาด้วยท่าทีแบบชาวบ้านพบขุนนาง ทำให้รู้สึกแปลกอยู่บ้าง
ดูเหมือนว่าเสิ่นหวั่งที่ออกมาคำนับจะเป็นเจ้านาย ต่งช่วงสี่ที่นั่งอยู่เหมือนลูกน้อง แม้ว่าเสิ่นหวั่งจะมีใบหน้าดำ มือไม้หยาบ และดูเหมือนพวกใช้แรงงาน
“ไม่ต้องพิธีรีตอง พ่อบ้านรองที่สามารถควักทีเดียวหนึ่งแสนตำลึง แม้ว่าเป็นชาวบ้าน ข้าก็ต้องให้นั่งเสมอกัน”
หวังทงยกมือประคองขึ้น รอจนเสิ่นหวั่งยืนขึ้น หวังทงก็กล่าวว่า
“แอบซ่อนโผล่หางออกมา แม้ว่าจะเอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม พวกเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้”
ต่งช่วงสี่หัวเราะเฝื่อนๆ กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังรู้สึกไม่พอใจ ล้วนเป็นความผิดข้าเอง ขอขมาท่าน ณ ที่นี้ เดิมมาเทียนจินครั้งนี้ก็เพราะผ่านมา เดิมจะไปส่งยาที่เมืองหลวง พอดีได้รับการฝากฝังจึงได้มาจัดการเรื่องนี้”
เสิ่นหวั่งก้มหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยมีเรื่องผิดต่อใต้เท้า คิดจะทำการค้าที่เทียนจินให้ยาวนาน ดังนั้นจึงได้อยากร่วมมือกับใต้เท้า จึงได้ทำเรื่องที่น่าตกใจขึ้น แต่ขอใต้เท้าวางใจได้ หนึ่งแสนพรุ่งนี้ก็จะนำมาส่งมอบ ขอใต้เท้าโปรดนำไปดำเนินการต่อ ข้าน้อยยอมออกเพิ่มอีกหนึ่งแสน ขอใต้เท้าโปรดเปิดทางการทำการค้าที่เทียนจินให้ด้วยได้หรือไม่?”
หวังทงขมวดคิ้วและจ้องมองเสิ่นหวั่งกล่าวว่า
“ร้านหลูไห่พวกเจ้าทำการค้าที่เทียนจินมานานเท่าไรแล้ว หรือว่าข้าขวางทางพวกเจ้า การค้าไม่เหมือนเดิม ไยต้องจ่ายเงินมากมายเช่นนี้ด้วย ก่อนหน้ายังปิดๆ บังๆ ไม่ตรงไปตรงมา กล่าวเจตนาแท้จริงมาดีกว่า!”
“ช่วงก่อนโจรสลัดเข้าโจมตี เทียนจินประสบภัยไม่น้อย ได้ยินใต้เท้าจะตรวจสอบสินค้าหลายอย่างเช่นปรอท หนังกวาง ผ้าแพรต่วนและยางหางวัวไม่ใช่หรือ?”
พอได้ยินเสิ่นหวั่งกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็คิ้วกระตุก หากมองไปทางต่งช่วงสี่ ต่งช่วงสี่มีรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มที เบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาหวังทง หวังทงมองกลับไปทางเสิ่นหวั่ง ยิ้มเยือกเย็นกล่าวว่า
“ทำไม กระทบการค้าร้านเจ้าหรือ คิดไม่ถึงจริง ร้านหลูไห่การค้าใหญ่โต ถึงกับทำการค้ากับประเทศวัว ใต้เท้าต่งก็ช่างมีฝีมือไม่เบา”
ต่งช่วงสี่รีบโบกมือปฏิเสธยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังกล่าวหนักไปแล้วๆ ข้าเป็นแค่ตัวกลางเชื่อมเท่านั้น เหตุใดจะกล้าไปลักลอบติดต่อพวกประเทศวัวกัน นั่นมีโทษประหารหลายชั่วโคตรเลยเชียวนะ ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก เหตุใดจะทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้ได้”
“ใต้เท้าสร้างท่าเรือเทียนจินแห่งนี้ ลงแรงเปิดทะเลอย่างจริงจัง สร้างร้านค้าและจัดตั้งร้านประกันภัย ก็เพื่อเงินทอง เพื่อเงินทองสู่แผ่นดินหมิง เพื่อเงินทองของตนเอง ข้าน้อยมาพบใต้เท้าครั้งนี้ หนึ่งก็เพื่อขอขมา สองก็คิดจะคุยว่าวันหน้ามีอันใดสามารถร่วมประโยชน์สองฝ่ายหรือไม่!”
เสิ่นหวั่งมิได้หวาดกลัว หากยังสัพยอกต่อ แม้ว่าในวาจาจะยังมี ‘ใต้เท้า’ ‘ข้าน้อย’ ชัดเจน แต่เห็นชัดว่าสองฝ่ายวางตัวในสถานะเท่าเทียมกัน
หวังทงแตะปืนสั้น อีกมือแตะหน้าผาก ค่อยๆ ปล่อยมือจากปืน อีกมือเคาะหน้าผากเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า
“เจ้าเป็นอะไรกับราชาไตรธารา เจ้านับว่ากล้ามาก ใต้เท้าต่งช่างกล้ามาก……”
กล่าวถึงว่าขอขมา คุยไปถึงการการร่วมประโยชน์สองฝ่ายในวันหน้า ต่งช่วงสี่กับร้านหลูไห่ไม่มีสถานะพอที่จะคุย คิดไปคิดมาแล้ว ก็เป็นราชาไตรธาราแน่แล้ว
ทำไมต้องขอขมา ก็เพราะโจรสลัดโจมตีเทียนจิน การร่วมประโยชน์สองฝ่าย ราชาไตรธาราคุมเส้นทางการค้าทางทะเล หวังทงคุมท่าเรือที่เจริญที่สุดในราชวงศ์หมิงยามนี้ ประเด็นสำคัญก็คือท่าเรือนี้เป็นท่าเรือที่ทางการยอมรับ เห็นว่าน่าจะพัฒนาต่อไปได้
ถ้าสองฝ่ายร่วมมือกัน ก็ย่อมเพื่อร่วมประโยชน์สองฝ่าย ทว่าราชาไตรธาราก็ใจกล้าไม่เบา ไม่ว่าผู้ที่มาเป็นผู้ใด ต่อหน้าหวังทงก็ย่อมมีความเสี่ยงที่จะถูกรวบตัวไว้ และยังดึงเอานายกองพันต่งช่วงสี่แห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรซานตงร่วมหัวจมท้ายไปด้วย
แต่ฟังจากน้ำเสียงการถามของหวังทงแล้ว ความกังวลใจก็ลดลงไปหลายส่วน เสิ่นหวั่งโขกศีรษะต่อ กล่าวจริงจังว่า
“บนแผ่นดินหมิง ผู้ทำการหากินเลี้ยงชีพอย่างเราไหนเลยกล้าเรียกตนว่า ราชา ข้าน้อยก็คือเสิ่นหวั่ง”
“เจ้าก็คือราชาไตรธารา?”
คิดไม่ถึงว่าราชาไตรธาราจะกล้ามาถึงที่นี่ หวังทงอดหลุดเสียงถามออกมาไม่ได้ เสิ่นหวั่งหมอบลงกับพื้นไม่กล่าวอันใด หวังทงหงายหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจกล่าวว่า
“ช่างใจกล้าจริง……”
อุทานจบ อยู่ๆ หวังทงก็ยิ้มถามว่า
“เจ้ายังจำเรื่องราวของวังจื๋อได้หรือไม่ เขายิ่งใหญ่บนท้องทะเลเพียงนั้น หูจงเซี่ยนเกลี้ยกล่อมให้มอบตัว ถูกทางการประหารไป ตอนนี้เจ้ายังสู้เขาไม่ได้ ไม่กลัวว่าข้าจะจับเจ้าเข้าคุกตัดหัวทิ้งหรือ? ยังมีใต้เท้าต่งอีก เป็นหูเป็นตานำพาหัวหน้าโจรมาพบข้า ก็ช่างกล้ามาก หากถูกจับเข้าคุกพร้อมกันจะทำอย่างไร?”
สีหน้าต่งช่วงสี่ซีดเผือด เสิ่นหวั่งกลับยืดตัวขึ้นกล่าวว่า
“วังจื๋อไม่เข้าใจสถานการณ์ ถูกประหารไปก็สมควร แต่ข้าน้อยมาพบใต้เท้า ก็เพราะรู้ว่าใต้เท้าไม่สังหารข้าน้อย สังหารข้าน้อยไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับใต้เท้า ไม่สังหารกลับมีประโยชน์ใหญ่ยิ่งกว่า ขอใต้เท้าไตร่ตรอง”
หวังทงพยักหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า
“ไหนว่ามา เหตุผลที่ข้าจะไม่สังหารเจ้า!!”
“เรืออยู่บนทะเลต้องปลอดภัย จำเป็นต้องให้เงินค่าดูแลแก่ข้าน้อยเพื่อซื้อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นย่อมเสียชีวิตและเสียเรือ ข้าน้อยได้เงินนั้นแน่นอน ทะเลกว้างใหญ่ไปจรดเกาหลีนั่น ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเงินพวกนี้ เมื่อก่อนยังมีกู้เหลาหู่ที่ไม่ยอมรักษาธรรมเนียม แอบออกปล้นเรือพ่อค้าบ่อยๆ ตอนนี้ใต้เท้าปราบปรามแล้ว เขตผืนทะเลย่อมสงบสุข หากใต้เท้าสังหารข้าน้อย นอกจากข้าน้อยก็ไม่มีผู้ใดเป็นที่ยอมรับ ย่อมแตกแยก เช่นนั้นก็ย่อมไม่สงบสุข ต่างปล้นชิงกันเอง ถึงตอนนั้นแค่ร้านประกันภัย จะต้องชดใช้อีกเท่าไรกัน?”
“เอาล่ะ สังหารเจ้าเป็นภัย เช่นนั้นไม่สังหารเจ้าเทียนจินได้อันใด?”
“ใต้เท้า ทุกปีข้าอาศัยเก็บค่าคุ้มครองได้เงินมากมาย แต่ประเทศวัวไปถึงเกาหลี ไปถึงมหาสมุทรทางใต้ เป็นที่รกร้างยากจน มีเงินก็ไม่รู้เอาไปทำอันใด เงินทองกองไว้ไม่อาจต่อเป็นเงินทอง ขอเพียงใต้เท้ายอม เงินพวกนี้ก็จะไหลเข้าสู่เทียนจิน การค้าขายรุ่งเรือง แค่เก็บเงินภาษี ก็ได้ประโยชน์เท่าไรแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นแล้ว……”
วาจานี้ทำเอาหวังทงนิ่งเงียบไปนาน ไม่กล่าวอันใดอยู่นาน เสิ่นหวั่งจึงได้เงยหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยและลูกน้องรอนแรมเสี่ยงภัยกลางทะเล คิดถึงบ้านเกิดก็ไม่อาจกลับมาได้ หากใต้เท้าเมตตา พวกข้าน้อยขอใช้เทียนจินเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของชีวิต ลูกน้องข้าน้อยรอนแรมกลางทะเล ไม่ขัดสนเงินทอง แต่หากมาที่นี่ได้ แผ่นดินเทียนจินนี้ไม่รู้จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกเท่าใด”
กล่าวถึงตรงนี้ วาจาก็เริ่มหนักแน่นขึ้นมาก หวังทงยังคงเงียบ ในลานมีเสียงคนเดินมา เสิ่นหวั่งไม่ได้หันกลับไป ต่งช่วงสี่ที่มีใจระแวงแอบหรี่ตามองออกไป เห็นทหารหลายคงเข้ามาใกล้ แม้ว่ามิใช่เพื่อป้องกันในห้อง แต่ยังรู้สึกระแวงอยู่ ในห้องเงียบมาก ราวกับรอคอย ยิ่งนาน ต่งช่วงสี่ก็ยิ่งอึดอัด อดไม่ได้หัวเราะแห้งๆ กล่าวขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง ข้าขอกล่าวแทรกสักประโยค หากเป็นดังพี่เสิ่นว่าจริง เทียนจินอย่างน้อยก็จะสงบไปร้อยปี ไม่ว่าโจรสลัดใด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ารุกราน เรื่องถึงขั้นนี้ กล่าวกับใต้เท้าตรงๆ ว่า ทางซานตงก็แค่เปิดทางสะดวกให้พี่เสิ่น ให้ท่าเรือสองสามแห่งที่ไหลโจวและเติงโจว ที่ซานตงจึงไม่เคยมีโจรสลัดจู่โจม ขุนพลประจำเติงโจวยังได้รับปูนบำเหน็จจากทางการก็ด้วยเหตุนี้”
หวังทงหรี่ตามองเยียบเย็น ต่งช่วงสี่ไม่กล้ากล่าวต่อ เสิ่นหวั่งหันไปมองหวังทงที่นั่งอยู่ หมอบคำนับนอบน้อมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก
นี่เป็นปัญหายุ่งยากเสียจริง เพียงแค่เรื่องพบปะราชาไตรธาราส่วนตัวก็จะเป็นที่ครหาแล้ว ขุนนางใหญ่ในราชสำนักย่อมพร่ำบ่นไม่หยุด นับประสาอันใดกับเงื่อนไขมากมายเพียงนี้
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นประโยชน์อย่างมาก เสิ่นหวั่งกล่าวมานี้เป็นประโยชน์ใหญ่จริง มีแค่ท่าเรือ แต่ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยบนท้องทะเลได้ การค้าก็ย่อมไม่สมบูรณ์ ร้านประกันภัยเป็นเรื่องรอง ราขาไตรธารามีเรือมากมาย ยังชำนาญการค้าทางทะเล ได้เขามาร่วมด้วย ก็ย่อมราวกับพยัคฆ์ติดปีก ปักดอกไม้บนผ้าแพรงาม
เสิ่นหวั่งที่หมอบที่พื้นแม้จะนอบน้อม แต่ตัวก็สั่นไหวอยู่เล็กน้อย การสั่นไหวนี้มิใช่เพราะหวาดกลัว หากเตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา ผู้ติดตามเสิ่นหวั่งก็พร้อมล้วงลงไปในรองเท้า ในนั้นย่อมมีอาวุธ
“ใต้เท้าเสิ่น ท่านเกี่ยวข้องกับเสิ่นหวั่งได้อย่างไร?”
หวังทงที่เงียบไปนาน ในที่สุดก็ถามขึ้น บรรยากาศในห้องตึงเครียดมากขึ้น ต่งช่วงสี่ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า
“ปีที่แล้ว ข้ารับอนุมานางหนึ่ง หญิงผู้นั้นเป็นแม่หม้ายมาก่อน น้องชายนางไม่ดีนัก มักมาหาเรื่องถึงจวนหลายครั้ง กว่าจะตัดสินเนรเทศออกไปได้ เขายังกลับนำพี่น้องโจรร้ายมาแก้แค้น แม้ว่าพวกมันจะเข้ามาในเมืองจี่หนานไม่ได้ แต่เงินทองที่ข้าส่งไปที่ต่างๆ นั้นถูกปล้นไปหลายครั้ง โรงบ้านที่เมืองเหยี่ยนโจวและชิงโจวก็ถูกปล้นชิงสามครั้ง ทำให้ร้อนใจมาก ตอนนั้นพี่เสิ่นออกหน้า จัดการเรื่องนี้ ไปๆ มาๆ ……”
เห็นสีหน้าดูแคลนของหวังทง ต่งช่วงสี่ก็กระแอมไอเอ่ยว่า
“ใต้เท้าหวังไม่ต้องกังวล ข้ากล้าพาพี่เสิ่นมาพบท่าน ย่อมคิดทางไว้แล้ว ถึงตอนนั้นย่อมช่วยได้……ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อไปเยือนจวนใต้เท้าจางจวีเจิ้ง ที่จวนใต้เท้าจางนั้น ข้าพอจะกล่าวอันใดได้อยู่บ้าง”
คิดไม่ถึงเลยว่า ถึงกับเกี่ยวพันถึงใต้เท้าจางได้ นายกองพันตัวเล็กๆ เช่นนี้ ถึงกับกล้ากล่าวว่า ไปเยือน ออกมาได้
หวังทงหัวเราะขึ้น กล่าวว่า
“เสิ่นหวั่ง เจ้ากลับไปเถอะ”
ได้ยินคำขับไล่แขก เสิ่นหวั่งเงยหน้าขึ้นอย่างผิดหวัง หากหวังทงกล่าวต่อว่า
“เงินสองแสนตำลึงให้เวลาเจ้าอีกสามวัน ยังต้องนำไปเมืองหลวงอีก ให้ราชสำนักส่งหนังสือรับเงินมาก่อน”