Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 429

ตอนที่ 429 สงครามหลั่งโลหิต

“สามพันห้าถึงสี่พัน ทหารม้าจำนวนมากอย่างนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นหมื่นครัวเรือนถึงจะมีกองกำลังเช่นนี้ได้ หากจากหนิงเซี่ยตะวันตกมาทางตะวันออก ก็น่าจะมีแต่ข่านอันต๋า[1]เท่านั้นที่จะมีกำลังเช่นนี้ได้”

ถานเจียงสังเกตการณ์อยู่บนหลังคารถ กล่าวไปหวังทงก็จ้องมองไป สบถด่าเสียงเย็นเยียบว่า

“ยังตั้งท่าโจมตีอย่างสบายอารมณ์เสียด้วย!!”

**********

ทหารพวกนอกด่านบนหลังม้าพักม้าอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยวิ่งมาด้านหน้า วิ่งมาได้หลายสิบก้าว จากนี้ม้าก็ค่อยๆ เร็วขึ้น บนหลังม้ามองเห็นพลธนูด้านหลังแผ่นไม้กำลังชะโงกมองมา

ม้าวิ่งเร็ว โอกาสที่จะถูกยิงโดนก็น้อยลง นั้นก็แค่แผ่นไม้หนาบังไว้ชั้นหนึ่ง ไปถึงตรงนั้นฟันทิ้งแล้วบุกเข้าไปก็แล้วกัน

หัวหน้าด้านหน้าออกคำสั่ง พลม้าด้านหลังก็คิดเช่นนี้ วิ่งไปได้หลายสิบก้าว พลธนูก็คว้าธนูขึ้นมา รอให้ระยะห่างพอประมาณก่อน ค่อยยิงธนูเข้าไปก่อน เห็นว่าทหารหมิงมากันไม่น้อยไม่ใช่หรือ ค่ายใหญ่เช่นนี้ ด้านในพื้นที่น้อยย่อมเบียดเสียด

พอเห็ระยะห่างไม่ถึงร้อยก้าวก็มีธงแดงชักขึ้น ทหารม้าไม่ได้สนใจ บางทีอาจเป็นพวกหมิงนั่นหลงอยู่ตรงนั้น

ราวหนึ่งร้อยก้าว หลายคนขึ้นสายธนูน้าวพร้อม

“จุดไฟ!!”

ฝั่งตรงข้ามตะโกนดังออกมา พวกนอกด่านรู้ภาษาชาวฮั่นไม่มาก แต่ก็มีบ้างที่ฟังออก พอได้ยิน “จุดไฟ” ก็ฟังเหมือนเรียกกินข้าว……

ในชั่วพริบตานั่นเอง พวกนอกด่านที่อยู่แถวหน้าก็เหมือนได้ยินเสียงกลองหนังวัวใบใหญ่ของพวกเขาดังขึ้น นอกจากกลองใบใหญ่ที่ใหญ่กว่าคนแล้ว ของอื่นๆ ย่อมไม่มีทางมีเสียงดังเช่นนี้

เสียงหวีดดังผ่ากลางอากาศ อีกฝ่ายไม่ได้ยินธนูมา เหมือนกับมีควันสีขาว……

ม้ากำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว แต่พลบนหลังม้าและม้าอยู่ๆ ก้เหมือนถูกค้อนเหล็กฟาดเข้ากลางอากาศ ส่งเสียงร้องดังโหยหวนไปทั่ว

มีคนถูกยิงร่วงจากหลังม้าทันที มีคนศีรษะแตกเป็นเสี่ยงๆ มีคนที่ม้าหงายหลังล้มตึงทับคนเอาไว้ข้างใต้

ปืนใหญ่! แต่ปืนใหญ่ขนาดเล็กของพวกหมิงยิงไกลเช่นนี้ได้อย่างไร ด้านหลังเป็นพวกตนเอง ด้านหน้าเป็นปืนใหญ่ มีคนถืออาวุธบนหลังม้าตะโกนดังว่า

“ปืนใหญ่สุนัขหมิงยิงหมดแล้ว ทุกคนบุกเข้าไป……”

ไม่อาจหยุดม้าได้จริงๆ หันหลังกลับคงได้ถูกคนด้านหลังเหยียบเอา แต่จะบุกเข้าไปต่อก็เริ่มลังเลครู่หนึ่ง หากยังคงบุกขึ้นไป

เข้าใกล้อีกหลายสิบก้าวแล้ว ทหารมองโกลมือไม้ก็เริ่มลนลานหากยังจำได้ว่าต้องขึ้นสายธนู แต่อีกฝ่ายบนหลังแผ่นไม้ก็ยืนขึ้นบนรถขึ้นสายพร้อมเตรียมยิงเรียบร้อย

เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว! เสียงลูกธนูดังแหวกอากาศมา หลายร้อยดอกยิงข้ามมา ธนูของพวกหมิงยิงได้ระยะไกล อีกฝ่ายวิ่งเร็ว ก็เท่ากับวิ่งชนธนู ม้าล้มลง คนร้องโหยหวน พากันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

หากสามารถวิ่งมาถึงจุดนี้ได้ ก็หยุดไม่อยู่แล้ว คนด้านหลังบางทีอาจหยุดม้าไว้ได้ คนที่เหลือนอกจากบุกขึ้นไป ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เช่นนั้นก็ย่อมถูกพวกเดียวกันเหยียบย่ำตาย

ทำไมยังมีคนตาสีฟ้า คนตาสีฟ้าราวสิบคนยืนอยู่หลังแผ่นไม้ ในมือถือท่อนเหล็ก ท่อนเหล็กมีด้ามไม้เสียบ ปัง ปัง ปัง!ดังขึ้น

เสียงดังคมชัดกว่าปืนใหญ่และลูกธนู มีคนร้องโหยหวนร่วงจากหลังม้าอีก พวกทหารมองโกลคิดหันหลังกลับ ทุกคนคิดหนี แต่ตอนนี้ระยะใกล้กันมาก

ปืนใหญ่กำลังล้างกระบอกเสร็จ บรรจุดินปืน ปืนเล็กก็ต้องล้างปากประบอกเติมกระสุนใหม่ แต่ธนูไม่ต้อง ระยะยิงธนูเป็นพวกศัตรูพอดี ยิงออกไปแรงเจ็ดส่วนก็ย่อมยิงถูก

ทหารมองโกลแถวหน้ารถถูกปืนและธนูกวาดเรียบ คนด้านหลังไม่มีผู้ใดคิดยิงธนูโต้คืน คิดแต่รีบหมอบกายลงให้ต่ำที่สุด หลบอยู่ด้านหลังม้าและเพื่อนทหารด้วยกัน พยายามเอาชีวิตรอด

ระยะทางใกล้กันมาก หลังจากพลธนูแต่ละคนยิงธนูสามสี่ดอกออกไป ก็รีบกระโดดลงจากรถ พวกมองโกลสามารถบุกเข้ามาในระยะสามสิบก้าว

ตอนนี้แม้แต่ความเร็วม้าก็เร่งไม่ขึ้น ต้องหลบซากศพและซากม้า ต้องมีพื้นที่ให้ม้าเปลี่ยนทิศได้สะดวก ความเร็วม้ายังต้องบังคับให้ดี

แต่ระยะใกล้แค่นี้ จะต้องบุกเข้าไปสังหารสุนัขหมิงหลังแผ่นไม้ให้ได้ ทหารมองโกลไม่น้อยกัดฟันเร่งม้าบุกเข้าไป แผ่นไม้สูงเท่าคน ก็แค่กระโดดข้ามไป

หากเข้าใกล้ไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นของลอดออกมาจากซอกหลืบ กระบอกปืนดำเมี่ยม นี่เป็นปืนเสือหมอบของพวกหมิง……

ปืนเสือหมอบบรรจุเศษเหล็ก ยิงออกไป ไกลสุดห้าสิบก้าว สามสิบก้าวสังหารคนได้ ทิศทางที่พวกมองโกลบุกเข้ามา มีปืนเสือหมอบห้ากระบอกเรียงแถวรออยู่

เศษเหล็กความเร็วสูงลอยมาสร้างตาข่ายแห่งความตายผืนใหญ่ พวกนอกด่านที่ขี่ม้าเข้ามาในรัศมีย่อมถูกยิงเป็นรูพรุนไปทั้งคนและม้า

ทว่าระยะห่างไม่กี่ร้อยก้าวที่ผ่านมา ทหารนอกด่ากลับรู้สึกว่าตนเองกำลังวิ่งเข้าไปบนเส้นทางแห่งความตาย แต่ละย่างก้าวล้วนมีเพื่อนทหารล้มตายอนาถ ไม่รู้กว่าก้าวต่อไปจะเป็นตนเองหรือไม่

อย่างไรก็ตามก็ถือว่ามาถึงด้านหน้าแล้ว หากทะลุผ่านรถใหญ่นั่นไปได้ก็พ้นรัศมีธนู ราวกับว่าไม่มีการโจมตีอื่นอีก ปีนข้ามแผ่นไม้ไปเข้าสังหาร สุนัขหมิงนอกจกาปืนแล้วยังจะสามารถต่อสู้อันใดได้ ขอเพียงเข้าประชิด พวกมันย่อมไร้ความกล้าต่อสู้ ย่อมแตกพ่ายกระเจิง

“พี่น้องเราไม่อาจตายฟรี บุกเข้าไปสังหารสุนัขหมิงแก้แค้นให้ทุกคน!!”

มีหันหน้าผู้หนึ่งกำลังตะโกนดัง แผ่นไม้ด้านหน้ายังพอมีเนินอยู่ วิ่งเข้าไปสองก้าวแล้วเหยียบข้ามไป พวกทหารมองโกลหลบลูกธนูมาได้ บ้างก็ถือดาบ ถือขวานหรือไม่ก็ทวนสั้น ตะโกนบุกเข้าไป

ร่างกายส่วนบนเพิ่งพ้นจากแผ่นไม้ คิดจะดูสุนัขหมิงสีหน้าตื่นตกใจด้านหลังแผ่นไม้สักหน่อย กลับเห็นเพียงแถวเรียงเรียบร้อย บางทีก็อาจมีสีหน้าเด็กหนุ่มที่ตื่นกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน

ทว่าเด็กหนุ่มพวกนี้แม้ว่าตื่นกลัว หากไม่หันหน้าวิ่งหนีลนลาน กลับตะโกนทวนคำสั่งเสียงดัง ยกทวนแทงเข้าใส่

คนเพิ่งเงยหัวขึ้นมา ยังไม่ทันได้หลบอันใด ก็มีคนเอาโล่ไม้กับทวนยาวแทงเข้าใส่ ไม่มีทางหลบได้

กว่าจะปีนข้ามไม้มาได้ ร่างกายถูกทวนแทงอย่างไม่ปราณี เสียงร้องโหยหวนยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ก็ล้มหงายออกนอกรถไป

“ปัง~~

เสียงดังราวกับกลองหนังวัวใบใหญ่ดังขึ้นอีก พวกทหารมองโกลสองในสามล้มลงข้างทาง ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดัง ทุกคนก็ย่อมหนาวเหน็บ ความกล้าหาญหดหาย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำ ตะโกนสุดเสียงหันหลังวิ่งทันที ทุกตนจึงได้พากันวิ่งกลับฐานที่ตั้งกันหมด

**************

พวกมองโกลสวมชุดเกราะที่ตอนแรกยังมีรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้าที่เอาแต่ชะเง้อมองมา พอเห็นทหารตนกรูกันกลับมาก็เริ่มได้สติ

เขาสะบัดหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสะบัดแส้ใส่คนข้างๆ ไปทีหนึ่ง สองตาแดงก่ำตวาดด่าเสียงดังลั่นว่า

“ปาเอ่อหู่ นี่หรือพวกไม่เคยออกรบของเจ้า สุนัขหมิงที่มาเดินเล่นบนทุ่งหญ้าของเจ้า เมื่อครู่ลูกหลานเราตายไปสี่ร้อยเชียวนะ พระเจ้า กลับไปจะรายงานใต้เท้าน่าจี๋เท่ออย่างไร จะรายงานท่านข่านอย่างไร”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าปาเอ่อหู่รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่พอถูกแส้ตวัดฟาดใบหน้า เลือดไหลซึม แม้แต่จะเช็ดก็ยังไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้ากล่าวว่า

“ใต้เท้าปู้ป๋อ ใต้เท้าน่าจี๋เท่อต้องการชุดเกราะและอาวุธ แต่ข้าน้อยคิดว่า ใต้เท้าคิดไม่ถึงว่าทหารหมิงจะร้ายกาจเพียงนี้ ช่างไอ้พวกที่สละชีพไปเถอะ รีบถอนกำลังกลับกันเถอะ!!”

ทันทีที่กล่าวจบ ปู้ป๋อผู้นั้นก็ชักดาบออกมาฟันเขาร่วงจากหลังม้า ปู้ป๋อตามลงมาด้วย หยิบดาบและแส้ฟาดใส่หน้า ปาเอ่อหู่ผู้นั้นกุมหัวส่งเสียงร้องดัง ทหารติดตามปู้ป๋อเห็นท่าไม่ดี ก็รีบเข้ามารั้งไว้

ปู้ป๋อด่าเสียงดังหยาบคายว่า

“ถอนกำลังกลับ กลับไปก็ให้ข้ารับผิดชอบ ใต้เท้าน่าจี๋เท่อนั้นก็จะเอาผิดกับข้าคนเดียว เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ!!”

ปู้ป๋อดิ้นรนสะบัดตัว สะบัดแส้ไปอีกสองสามทีใส่ปาเอ่อหู่ ตวาดดังว่า

“รวบรวมกำลัง เตรียมโจมตีอีกรอบ เขมือบพวกสุนัขหมิงให้ได้ ก็จะมีความดีความชอบ เขมือบไม่ได้ ใต้เท้าน่าจี๋เท่อหรือแม้แต่ท่านข่านคงไม่ไว้ชีวิตแน่ รีบไปสิ……”

กล่าวยังไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงเฮดังด้านหลังขัดจังหวะ มือปู้ป๋อที่จับดาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ กัดฟันด่าว่า

“ตอนนี้ได้ใจไปก่อนเถอะ อีกสักเดี๋ยวจะเฉือนเนื้อพวกเจ้าโยนให้สุนัขป่าให้นกอินทรีกิน……”

*****************

“เจ้าลูกหมา อย่าได้ดีใจกันเร็วไป ตั้งสติให้ดี รบพวกมองโกลเสร็จ กลับเทียนจินข้าจะมีรางวัลให้ บันทึกความชอบใหญ่ให้พวกเจ้า!!”

หวังทงเห็นทหารพากันโห่ร้องตะโกนดีใจ ก็หัวเราะดังอยู่บนหลังคารถม้า ทหารด้านล่างตอบรับพร้อมหัวเราะเสียงดัง เร่งให้นายทหารเตรียมการต่อ

“ปืนนี่มันใช้การได้ดีจริง……”

เขาชื่นชมขึ้น ถานเจียงด้านข้างก็รับคำขึ้นเบาๆ ว่า

“นายท่าน ปืนต่างชาติยิงหนึ่งที พวกพลธนูยิงได้สามดอกนะ บนสนามรบนี้ ความเร็วช้าตัดสินความเป็นความตายนะนายท่าน!”

“พลธนูยิงได้เร็วอย่างมากสุดก็ 11 ดอก จากนั้นก็ต้องพักครึ่งชั่วยามขึ้นไป แต่ปืนไฟไม่ต้อง อย่างมากก็แค่ใช้ผ้าเปียกเช็ดปากกระบอก จะว่าไป พลธนูฝึกนานปีกว่าจะใช้การได้ แต่ปืนไฟฝึกเท่าไรใช้การได้”

หวังทงตอบด้วยรอยยิ้ม นี่เป็นปัญหาด้านความคิดที่ต่างกัน ถานเจียงได้ยินหวังทงถามกลับก็อึ้งไป เหมือนกำลังคิดอยู่

“ใต้เท้า พวกมองโกลแบ่งเป็นสามกอง ไปทางเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตก กำลังจัดทัพ……”

ทหารด้านบนตะโกนลงมา ทหารด้านล่างเริ่มสังเกตเห็น หวังทงหันไปมอง ยิ้มกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“พวกมันคิดว่าปืนเราหันหัวไม่ได้หรือ!”

พลทหารด้านล่างกับคนงานรีบเข้ามาเข็นรถปืน จากนั้นก็ออกแรงเข็นไปทิศทางที่พวกนั้นจะเข้าโจมตี

นอกขบวนรถมีเสียงเป่าเขาสัญญาณดังขึ้น……

———————-

[1] ผู้ปกครองเผ่ามองโกลที่มีชื่อเสียงในช่วงศตวรรษที่ 16 สมัยราชวงศ์หมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version