Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 44

ตอนที่ 44 อุบายชั่วคราว

หม่าซานเปียวพูดจาใหญ่โต ระหว่างพูดคุยนั้นก็มีความดุดันแฝงอยู่ หวังทงส่ายหน้า นางหม่ากลัวว่าลูกชายตนจะเสียเปรียบไปได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่าหม่าซานเปียวก่อเรื่องหนีมาหลบในเมืองนี้ จำได้ว่าตอนที่ตนพอรู้ความได้ ดูเหมือนว่าหม่าซานเปียวก็เป็นนักเลงอารมณ์ร้อนแล้ว

นางหม่าช่วยเหลือเช่นนี้ ก็เพราะหวังลี่ออกหน้าช่วยคดีหม่าซานเปียวในตอนนั้น หวังทงรู้สึกปวดหัวจึงถามต่อว่า

“ตีจนพิการหรือ? ยังมีข้อวิวาทอะไรที่มีเรื่องไปถึงทางการไหม?”

“มีที่ไหนกัน ก็แค่กระดูกหัก เงินเดือนข้าก็ไม่เอาแล้ว ยังจะมีข้อวิวาทอะไรอีก ก็แค่พ่อบ้านโรงเลี้ยงม้านอกเมือง ดื่มเหล้ามากไปก็เลยมาหาเรื่องแสดงอำนาจที่โรงม้า หักกระดูกไปแค่นี้ถือว่ามันได้เปรียบแล้ว”

การปะทะครั้งนี้หม่าซานเปียวก็ใช่ว่าไร้เหตุผล ตอนนี้หวังทงเป็นนายกองธงใหญ่ ก็เป็นที่พึ่งพิงได้ แต่ตอนนี้ในร้านมีคนสำคัญมากเข้าออกเยอะเกินไป ท่าทางดุดันของหม่าซานเปียวนี้สะดุดตาเกินไป หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มกล่าวว่า

“พี่หม่าทำงานอยู่ข้างนอกจนเคยชินแล้ว งานละเอียดอ่อนในร้านทำแล้วคงได้แต่ร้อนใจ ตอนนี้ต้องเลือกซื้อวัตถุดิบเข้าร้านไม่น้อย ในร้านเตรียมจะซื้อรถม้าสักคัน มอบให้พี่หม่าจัดการเป็นอย่างไร?”

“เยี่ยมเลย ดีมากๆ ดีกว่าต้องมาหมกอยู่ที่นี่มากนัก”

ทางนั้นจางซื่อเฉียงกำลังจะออกไปพอดี หวังทงก็พูดกับหม่าซานเปียวเลยว่า

“พี่จางกำลังออกไปซื้อของ พี่หม่าท่านก็ตามไปช่วยด้วยละกัน!”

หม่าซานเปียวยิ้มร่าตอบรับ งั้นก็ตามออกไปเลยแล้วกัน ก่อนออกจากประตู หวังทงนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง รีบเอ่ยปากรั้งไว้ถามว่า

“พี่หม่า ขี่ม้าเป็นไหม?”

“ไม่เป็นได้ไง ใช่ว่าข้าคุยโว แม้แต่คนขี่ม้าที่โรงเลี้ยงม้า ไม่มีใครขี่ได้ดีกว่าข้าแล้ว!”

หวังทงยิ้มพยักหน้าโบกมือบอกให้เขาไปได้

หลังเวลาอาหารกลางวัน หวังทงจัดเตรียมงานอยู่ในหอเลิศรสพอประมาณแล้ว รอให้ฮ่องเต้ว่านลี่และจางเฉิงมาถึง คนในร้านก็จะออกไปช่วยงานร้านด้านข้างสองด้าน

เมื่อก่อนฮ่องเต้ ‘แต่งกายแบบสามัญชนเสด็จส่วนพระองค์’ ทุกคนไม่รู้ก็แล้วไป แต่ตอนนี้เผยฐานะแล้ว แม้ว่าในวังไม่มีสัญญาณอะไรให้เห็น แต่ก็ต้องเตรียมการด้านต่างๆ ให้พร้อม

ผ่านไปไม่นานลูกค้าในร้านก็เริ่มหายไป ถนนด้านนอกก็เงียบลง หวังทงรู้ว่าฮ่องเต้กำลังเสด็จมาแล้ว

ผ้าม่านเปิดออก ที่เข้ามากลับไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นชายท่าทางคล่องแคล่วสองคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะให้หวังทง จากนั้นก็มองในร้านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ทุกที่ล้วนตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะใกล้ประตู

นี่คงเป็นระดับองครักษ์รักษาพระองค์ หวังทงกำลังจะก้าวออกไปทักทาย ผ้าม่านก็เปิดออกอีกครั้ง ครั้งเป็นจางเฉิงและฮ่องเต้ว่านลี่เดินเข้ามา

หวังทงรีบก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คุกเข่ากำลังจะถวายคำนับ ว่านลี่ก็โบกมืออย่างรำคาญ เอ่ยปากขึ้นว่า

“สถานที่เช่นนี้ เจ้ายืนถวายคำนับก็พอแล้ว มาปฏิบัติเหมือนที่อื่นๆ ช่างน่าเบื่อ”

หากเป็นหวังทงเมื่อวาน ไม่แน่ว่าจะยังคงคุกเข่าต่อ เพื่อแสดงว่าตนไม่ใช่พวกลืมตัว แต่วันนี้กลับยืนขึ้นทันที ยิ้มกล่าวว่า

“ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า หิวแล้วใช่หรือไม่พะยะค่ะ?”

ท่าทีเช่นนี้ของเขากลับทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่พอใจ หวังทงทำตัวตามสบาย ฮ่องเต้ว่านลี่ดูเหมือนจะชอบแบบนี้ มีเสียงพร่ำบ่นดังมาว่า

“แต่เช้าต้องออกว่าราชการ พอถกปัญหากับบรรดาขุนนาง กลับบอกว่าเราแข็งเกินไป เห็นชัดว่าท่านจางเป็นคนตัดสิน น่าเบื่อที่สุด…”

จางเฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกระแอมไอเบาๆ ว่านลี่รู้สึกองค์ทันที ไม่ตรัสอะไรต่อ จางเฉิงออกคำสั่งกับองครักษ์สองนายด้านหนึ่งว่า

“ทางนี้ไม่ต้องให้เจ้าคอยรับใช้ ออกไปรอด้านนอก!”

จางเฉิงที่นอบน้อมระมัดระวังต่อหน้าว่านลี่แต่ต่อหน้าคนเหล่านี้กลับแสดงอำนาจบารมี องครักษ์สองนายรีบก้มหน้าถวายคำนัก ทิ้งมือลงข้างตัวถอยออกไป

พอสองคนนี้ออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งลงที่ด้านหน้าโต๊ะ ยกมือขึ้นปัดไปบนโต๊ะและกล่าวว่า

“ว่าราชการเสร็จแล้ว ยังต้องเรียนหนังสือ สอนแต่พวกหลักการนักปราชญ์พวกนั้นจนเราอยากจะหลับ ก็ยังต้องฟัง ไม่งั้นก็จะรายงานเสด็จแม่ ก็จะวุ่นวายกันไปใหญ่อีก ไม่พูดเรื่องนี้ละ น่ารำคาญมาก รีบยกอาหารมา เราหิวแล้ว!!”

หวังทงแน่นอนว่าย่อมทำตัวตามสบายตามฮ่องเต้ว่านลี่ ในตอนนี้ว่านลี่ก็เหมือนกับเด็กที่กำลังบ่น บ่นการบ้านหนักไป ชีวิตน่าเบื่อไป

“ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่!”

ของทุกอย่างเตรียมเสร็จนานแล้ว หวังทงก็เอาของบนเตาแยกประเภทวางในถาดไม้ ยกมาอย่างระมัดระวัง

อาหารยังคงเป็นอย่างละสองชุด จางเฉิงตั้งแต่แสดงฐานะแล้ว ก็ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะกับฮ่องเต้ พอเห็นอาหารทั้งสองชุด ก็จะเอ่ยปากขึ้น แต่กลับเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่กล่าวขึ้นก่อน

“จางปั้นปั้น นั่งลงกิน เรานั่งอยู่คนเดียว แล้วพวกเจ้าสองคนจ้องมอง จะกินลงไปได้ยังไง!”

จางเฉิงมองหน้าหวังทง หันไปขอบพระทัยฮ่องเต้แล้วก็นั่งลง ไม่รู้ว่าทำไมจางเฉิงผู้นี้จะมีท่าทางเก้กังอยู่บ้าง ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย เขาดูแลฮ่องเต้ว่านลี่จนเติบใหญ่มารู้ว่าทรงสนใจความรู้สึกของตน ในใจจางเฉิงก็รู้สึกบอกไม่ถูก

แต่ละคนมีหม้อซุป พอเปิดฝาออก ข้างในเป็นน้ำซุปสีขาวน้ำนมไอร้อนลอยกรุ่น ต้นหอมสีเขียวลอยอยู่ด้านบน น้ำนมสีขาวตัดสีเขียว ข้างล่างมีของนุ่มสีขาวแวววับ

กลิ่นหอมเข้มส่งกลิ่นกรุ่น ฮ่องเต้ว่านลี่อดกลืนน้ำลายไม่ได้ หยิบช้อนตักขึ้นมาซดไปหนึ่งคำ พอได้ชิมรสชาติก็พยักหน้านิดหน่อย

“ฝ่าบาท จานนี้ลองทานข้างในก่อนทานซุป ฝ่าบาทคีบขึ้นมาจิ้มซีอี๊วข้างๆ สุดท้ายค่อยดื่มน้ำซุปพะยะค่ะ”

พอได้ยินหวังทงกล่าวบอก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็คีบของที่อยู่ในหม้อซุป จิ้มซีอี๊วในถ้วย พอนำเข้าปาก ฮ่องเต้น้อยก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบกินติดต่อกันไปอีกหลายคำ ถึงได้ตรัสชมว่า

“สิ่งนี้อร่อยจริง เข้าปากก็เหมือนละลายได้ ซีอี๊วนี่ก็ดี”

พูดไปคีบขึ้นมาตรงหน้ามองอย่างละเอียด ถามอย่างสงสัยว่า

“นี่คืออะไร?”

เนื้อก้อนหนึ่งที่มันวาวและเด้งได้ จางเฉิงที่กินอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเล็กน้อย ได้ยินคำถามนี้ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท นี่คือกีบเท้าสุกร!”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไปครู่หนึ่งก็พูดกับตัวเองว่า

“เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก…”

หวังทงยืนกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ บันทึกอาหารในวังเอ่ยย้ำว่ากีบเท้าหมูเป็นของชั้นต่ำ ไม่อาจขึ้นโต๊ะเสวยได้ นี่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวัง

นอกจากนี้ ต้นราชวงศ์หมิงแซ่จู พ้องเสียงกับคำว่าจูที่แปลว่าหมู ดังนั้นคำว่า หมู จึงถูกเรียกว่า ถุน ที่แปลว่าสุกรแทน ฟังดูเก่าแก่โบราณไม่น้อย

กีบเท้าหมูนี้ขอเพียงใช้ไฟตุ๋นให้ดี ก็เป็นของที่ทำให้อร่อยได้ง่ายๆ หวังทงทำเพียงแค่ซุปขาหมูใสเท่านั้น กลับได้ผลที่ดีเช่นนี้

มองออกว่าฮ่องเต้น้อยหิวมาก พอรู้ว่าอร่อยก็รีบกินคำใหญ่ๆ ทันที หวังทงสบตากับจางเฉิงที่กินอยู่ด้านข้างอย่างช้าๆ เรียบร้อยก็รู้สึกโล่งอก

หากในใจหวังทงก็พลันคิดได้ว่า อาศัยกลเม็ดเล็กน้อยเหล่านี้ สามารถรับมือได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่อาจได้ตลอดชีวิต ไม่เคยได้ยินว่าอาหารรสดีจะดึงใจผู้คนไว้ได้นานนัก นับประสาอะไรกับร้านอาหารเล็กๆ อย่างหอเลิศรสนี้ จะมีอาหารจานเด็ดอะไรออกมาได้อีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version