ตอนที่ 458 ความชอบใหญ่จากภาษีที่ดิน หลานชายอกตัญญู
เฝิงเป่าละโมบ ในวังล้วนรู้กันดี ตั้งแต่รัชสมัยว่านลี่มาถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่กวาดล้างตระกูลริบทรัพย์ก็มิได้เก็บเข้าวังหมด หากเข้ากระเป๋าของเฝิงเป่าแทน
เงินทองเรื่องเล็ก ไม่ว่าไทเฮาทั้งสองพระองค์หรือฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงหลับตาข้างหนึ่ง หากว่าเฝิงเป่าคิดจะตั้งด่านที่ชางโจวก็มีความเป็นไปได้อยู่
“เฝิงต้าปั้น……ไม่น่า จางปั้นปั้นท่านไปสอบถามหน่อยละกัน อย่าบอกว่าเป็นประสงค์เรา ให้แอบถามส่วนตัวก็แล้วกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็มีพระบัญชา สีพระพักตร์แปลกประหลาด ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงคิดเหมือนกัน เฝิงเป่าระดับนี้ ไม่น่าทำเรื่องเล็กน้อยขี้มดพวกนี้
ได้ยินรับสั่ง จางเฉิงก็รีบน้อมรับพระบัญชา ทว่าปลายคิ้วกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่ทันมีผู้ใดสังเกตเห็น หากว่าในวังมีคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เกรงว่าฮ่องเต้น้อยย่อมตบโต๊ะคำรามมีพระบัญชาให้จัดการไปแล้ว แต่เพราะเป็นเฝิงเป่า จึงทรงเงียบ ตนเองเมื่อใดจะมีอำนาจระดับนี้บ้าง
จางเฉิงเดินออกไป เจ้าจินเลี่ยงด้านนอกแหวกม่านขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่กลับตรัสถามสำทับมาว่า
“เป็นคนของต้าปั้นทำเองหรือเปล่า?”
“ทูลฝ่าบาท พวกสืบข่าวบอกว่าเกี่ยวพันกับคนของเฝิงกงกง ก็ไม่กล้าสืบต่อแล้ว”
เขาตอบเสียงเรียบ หากฮ่องเต้ว่านลี่ก็เพียงแค่ ‘อ้อ’ คำเดียวเช่นกัน
***********
วันที่ 9 เดือนหก ณ ที่ประชุมราชสำนัก ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งประทับ บรรดาขุนนางกล่าวสรรเสริญถวายคำนับเสร็จ หม่าจื้อเฉียงเสนาบดีกรมอาการก็ก้าวออกมาคุกเข่ากราบทูลว่า
“ฝ่าบาท วันก่อนจัดการภาษีที่ดินเสร็จแล้ว รวมแล้วใต้หล้าที่นา 7,013,976 ฉิ่ง[1] เทียบกับสมัยฮ่องเต้หงจื้อ (ฮ่องเต้องค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์หมิง) แล้วเพิ่มขึ้น 3,000,000 ฉิ่ง ที่นาสมบูรณ์ วันหน้าคลังหลวงก็ย่อมเต็มเปี่ยม ใต้หล้ารายได้มากมี ประเทศย่อมสงบรุ่งเรือง สามารถมีผลงานงดงามเช่นวันนี้ได้ ก็ล้วนเป็นเพราะพระปรีชา กระหม่อมขอถวายพระพรแสดงความยินดีกับฝ่าบาท!”
ภาษีที่ดินเป็นรากฐานแห่งการเงินการคลังราชวงศ์หมิง หลังจางจวีเจิ้งเข้าสู่ตำแหน่งก็เริ่มดำเนินการเรื่องนี้ ปีนี้เป็นปีที่ 8 ในรัชสมัยว่านลี่ การจัดการจนได้ผลงานดีเช่นนี้ นับว่าเป็นความชอบใหญ่หลวง
แหล่งภาษีเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งเท่า ทุกปีภาษีที่ดินที่เก็บได้ก็ย่อมเพิ่มอีกหนึ่งเท่า ที่จริงแล้วหลายปีมานี้ คลังหลวงก็เริ่มเต็มเปี่ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ราชสำนักไม่ต้องคอยประหยัดมากดังก่อน
ฮ่องเต้ว่านลี่ให้ความสำคัญกับเรื่องภาษีมาก แม้ว่าหลายวันก่อนจะได้ข่าวมาแล้ว แต่สีพระพักตร์ก็ยังคงยินดีอย่างไม่อาจระงับได้
บรรดาขุนนางในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อก็ย่อมยินดีกับเรื่องนี้ ล้วนพากันสรรเสริญแซ่ซ้องพร้อมเพรียงว่า
“ล้วนเป็นเพราะพระปรีชาสามารถจึงได้มีผลสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นวันนี้!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มพระสรวลพยักพระพักตร์เห็นด้วย ก่อนจะยกพระหัตถ์ขึ้นตรัสว่า
“ขุนนางที่รักทุกท่านลำบากกันแล้ว เรื่องภาษีที่ดินครานี้ เราย่อมมีปูนบำเหน็จความชอบ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!!”
ทุกคนต่างถวายบังคมขอบพระทัยในพระเมตตา ขั้นตอนจบลง ทุกคนถอยกลับเข้าประจำที่ จางซื่อเหวยมองไปยังจำงจวีเจิ้ง ก่อนจะทูลด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า
“ฝ่าบาท กรมทหารเมื่อวานได้รับรายงานจากเหลียวตง กองกำลังของหวังอู้ถังถูกกองกำลังทัพม้าเหลียวโจวตีแตกพ่าย ไล่ล่าถอยออกไปสามร้อยลี้ ชัยชนะ……”
กล่าวยังไม่ทันจบ หม่าจื้อเฉียง เสนาบดีกรมอากรก็ลุกขึ้นคุกเข่าลง คนอายุ 60 กว่า เคราขาวผมขาวปลิวไสว แต่น้ำเสียงกลับก้องกังวานยิ่ง กราบทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องภาษีที่ดินเป็นเพราะพระปรีชาฝ่าบาทนั้นเป็นเรื่องแน่แท้ แต่ก็เป็นเพราะมีท่านจางคอยผลักดันเรื่องนี้ คอยวางแผนการดำเนินงาน จึงนับได้ว่ามีคุณูปการในเรื่องนี้ กระหม่อมขอทูลขอปูนบำเหน็จให้ท่านจาง ท่านจางควรได้ปูนบำเหน็จเป็นคนแรก”
สายตาทุกคู่ในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อต่างก็จับจ้องไปที่หม่าจื้อเฉียง ในใจทุกคนแอบก่นด่า หม่าจื้อเฉียงอายุมากสุดในนี้ และยังใกล้จะอำลาตำแหน่งกลับไปพักผ่อนยังบ้านเกิด หากเรื่องเอาอกเอาใจจางจวีเจิ้งก็ทำได้ไม่เกรงสายตาผู้ใดเช่นนี้
บรรดาขุนนางในที่นี้ไม่ได้โกรธแค้นที่หม่าจื้อเฉียงออกตัวแรงเช่นนี้ หากโกรธแค้นถูกเขาแย่งนำไปก่อน เรื่องภาษีที่ดิน เหมือนว่าเป็นการกวาดล้างตำแหน่งขุนนางใต้หล้าใหม่หมด ที่เหลืออยู่ก็ล้วนเป็นคนของจางจวีเจิ้ง เรื่องนี้ก็แล้วไป หากแหล่งที่มาของภาษีที่ดินเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งเท่า เงินเข้าคลังก็ย่อมเพิ่มตามอีกหนึ่งเท่า นี้ไม่ใช่ความชอบธรรมดา
จางจวีเจิ้งเป็นหัวหน้าสำนักเสนาบดีใหญ่ เป็นพระอาจารย์ฝ่าบาท ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากไทเฮา หากไม่ได้ปูนบำเหน็จความชอบ คนอื่นในราชสำนักก็ย่อมไม่มีที่ให้แทรกตัวเข้ามาได้ ไม่เอาอกเอาใจตอนนี้จะรอเมื่อใดกัน
หม่าจื้อเฉียงทูลขอปูนบำเหน็จแทนจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทอดพระเนตรไปยังจำงจวีเจิ้ง กำลังจะตรัสอันใด หากในห้องบรรดาขุนนางต่างก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ทูลพร้อมกันว่า
“ฝ่าบาท ความดีความชอบยิ่งใหญ่นี้ ท่านจางควรได้เป็นอันดับหนึ่ง พวกกระหม่อมขอให้ทรงปูนบำเหน็จท่านจางก่อนพะยะค่ะ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับบนพระที่นั่งมังกร ทอดสายพระเนตรไปเบื้องหน้า ทรงรู้สึกว่าจางจวีเจิ้งกำลังมองมา สีพระพักตร์รีบเผยรอยแย้มสรวล ตรัสสุรเสียงก้องกังวานว่า
“ความชอบยิ่งใหญ่ของท่านจาง เราก็คิดปูนบำเหน็จความชอบนานแล้ว ขุนนางทุกท่านคิดเหมือนเรา ลุกขึ้นเถิด อีกสองสามวันเราจะมีราชโองการในเรื่องนี้!!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว!!”
ทุกคนพากันแซ่ซ้องพร้อมเพรียง ยามนี้จางจวีเจิ้งก็ถวายบังคมทูลน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า
“ฝ่าบาท เรื่องภาษีที่นามีผลสำเร็จเช่นนีได้ มิใช่ความชอบกระหม่อมเพียงผู้เดียว หากเป็นความดีความชอบของขุนนางใต้หล้าหลายปีมานี้ด้วย ขอทรงมีพระราชโองการปูนบำเหน็จเพื่อตอบแทนความจงรักภักดีของทุกคนด้วยพะยะค่ะ”
“ท่านจางกล่าวได้ถูกต้อง จางเฉิง มีราชโองการตามนี้!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มพระสรวลพยักพระพักตร์เห็นชอบ เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังที่ทำตามทุกคนอยู่ตลอดเวลา พอถึงตอนนี้กลับลอบมองไปยังจำงซื่อเหวยเสนาบดีกรมทหาร สีหน้าจางซื่อเหวยราวกับดำคล้ำเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนสู่ปกติ
*************
ไม่รู้ว่าเริ่มจากตอนไหน พอเลิกประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงกลับไปประทับที่ห้องทรงอักษร หากเสด็จไปยังที่แห่งหนึ่ง
จางเฉิงอยู่ทำงานที่สำนักส่วนพระองค์นานกว่าปกติที่เคยเป็นมา งานออกราชโองการนั้นเขียนร่างง่ายมาก แต่โบราณมาถึงตอนนี้ก็มีรูปแบบพร้อม ก็แค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น
รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงปฏิบัติงานมาหลายสิบปีแล้ว ก็ย่อมทำงานได้คล่อง ทุกอย่างง่ายดาย เพิ่งจะร่างจบ เฝิงเป่าก็เรียกให้เข้าไปพบ
ความสำเร็จใหญ่ของการเก็บภาษีที่ดิน คลังหลวงย่อมสบายไปอีกหลายปี ทุกคนก็ย่อมดีใจ สำนักส่วนพระองค์เป็นแกนกลางใต้หล้า บรรดาขันทีจึงล้วนมีความสุขขึ้นมาก จางเฉิงเดินเข้ามาในห้อง เฝิงเป่ายิ้มอ่านฎีกำอยู่ด้วยท่าทางสบายอารมณ์อย่างมาก
“วันนี้เหล่าหม่าก็แสดงมากไปหน่อย เขาเป็นขุนนางเก่าแก่สามสมัย สถานะเช่นนี้ ถึงกับเอาอกเอาใจออกนอกหน้าเพียงนั้น ช่างน่าขายหน้า”
จางเฉิงยิ้มกล่าวว่า
“ชาวบ้านร้านตลาดมีข่าวลือว่าบุตรชายใต้เท้าหม่าปีนี้ทำงานที่กรมอากร ว่ากันว่าปีนี้ควรได้เลื่อนหนึ่งขั้น หากใต้เท้าหลี่แห่งกรมขุนนางกลับกดเอาไว้ จึงต้องให้ท่านจางออกหน้า”
เฝิงเป่ายิ้มเยาะ กล่าวอย่างไม่สนใจว่า
“ล้วนเป็นคนของท่านจาง ยังต้องกันท่ากันเองอีก คงเป็นเพราะแค้นเก่าในปีนั้นที่เขาสองคนมีเรื่องสมัยอยู่สำนักปราชญ์หลวงฮั่นหลินย่วน……”
จางเฉิงยิ้มตาม เฝิงเป่ากล่าวต่อว่า
“ข่าวชาวบ้านพวกนี้มาจากสำนักรักษาความสงบล่ะสิ หน่วยงานนี้ทำงานได้ดี ยังมีเงินส่งเข้าวัง พวกสำนักบูรพา กับสำนักองครักษ์เสื้อแพรใช้เงินไปมากมาย ทำงานไม่เห็นได้เรื่องสักอย่าง!”
กล่าวถึงสำนักรักษาความสงบ จางเฉิงก็ต้องระวังตัวเล็กน้อย อย่างไรแม้ว่าจะใช้การได้ดี แต่ก็ตั้งขึ้นเพราะฮ่องเต้ว่านลี่สั่งการสำนักบูรพาไม่สะดวก สองฝ่ายเงียบไป แต่ในใจคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ อย่างไรก็เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นดีกว่า
“เฝิงกงกง หลายวันก่อนหวังทงมีฎีกามา รายงานว่าชางโจวสตั้งด่านภาษีบนคลองส่งน้ำ เลียนแบบเทียนจินเก็บภาษีเรือผ่านไปมา ไม่ทราบว่าสำนักบูรพามีรายงานหรือไม่?”
วาจากล่าวเพียงสามส่วน ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด แค่สะกิดก็เข้าใจกระจ่าง คิดไม่ถึงว่าเฝิงเป่าจะนิ่งอึ้งไปก่อนจะเอ่ยว่า
“ชางโจวเหลวไหล ตั้งด่านทางนั้น จะทำให้เรือพ่อค้าไปเทียนจินต้องวุ่นวาย ชางโจวเองก็คงเก็บได้เงินทองไม่เท่าไร เหลวไหลสิ้นดี พวกเห็นเงินก็ตาโตจนเลอะเลือน คิดว่าหวังทงแค่ตั้งด่านก็ทำการใหญ่โตเช่นนี้ได้งั้นหรือ……”
“กล่าวกับเฝิงกงกงตามตรง ในวังมีข่าวว่าเกี่ยวพันกับท่าน”
จางเฉิงกระซิบบอก เฝิงเป่าค่อยๆ เงยหน้าขึ้น อยู่ๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า
“คิดไม่ถึงเลย เรื่องนี้ไม่เท่าไร เพียงแต่หากให้คนนอกคิดว่าข้าเห็นแก่เงินทองเล็กน้อยแค่นี้ ศักดิ์ศรีนี้ไม่อาจเสียไป จางกงกง ส่งคนให้ม้าเร็วไปที่ชางโจว เปลี่ยนตัวขุนนางท้องที่ ในเมื่อเกี่ยวพันกับข้า ก็คิดว่าในวังนอกวังก็คงมีคนเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ท่านไม่ต้องจัดการแล้ว”
************
วันที่ 11 เดือนหก สำนักส่วนพระองค์และสำนักเสนาบดีใหญ่ก็รีบสั่งการลงไป ให้คนรีบออกจากเมืองหลวงไปยังเมืองชางโจว แค่ผู้ว่าเท่านั้น ราชสำนักไม่เห็นอยู่ในสายตาแต่อย่างใด
จางเฉิงหนีบฎีกาเดินเข้าไปในสำนักส่วนพระองค์ ก็เห็นโจวอี้ในชุดแดงกำลังคำนับอยู่มุมหนึ่งของกำแพง จางเฉิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า
“ตอนนี้เจ้ามีตำแหน่งใหญ่แล้ว นิสัยเหลวไหลจากสำนักรักษาความสงบนั่นเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน สำนักส่วนพระองค์ไม่เห็นเจ้าทั้งวัน หากมีใครเอ่ยถึง ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
คำสั่งสอนของจางเฉิง โจวอี้ยิ้มก้มกายรับคำเอ่ยว่า
“ท่านพ่อบุญธรรมสั่งสอนได้ถูกต้อง แต่สำนักส่วนพระองค์ทางนั้น หากลูกเข้ายุ่งมากไป เฝิงกงกงก็ย่อมไม่พอใจ อย่างไรก็หลบไว้หน่อยดีกว่า เมื่อวานตอนบ่าย เฝิงกงกงเรียกตัวเฝิงโหย่วหนิงจากสำนักบูรพาไปตบบ้องหูเสียหลายที ด่าไปอีกยกใหญ่”
จางเฉิงส่ายหน้ายิ้มกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“เฝิงโหย่วหนิงมีบรรดาศักดิ์ระดับป๋อแล้ว กลับยังทำตัวเป็นเด็กน้อย เรื่องนี้หากเกี่ยวพันกับเขา ก็ย่อมถูกคนแล้ว”
“เมื่อคืนวานนี้ รองฝ่ายซ้ายกรมอากรสวีชิงซานก็ไปขอรับผิดกับท่านจาง หากท่านจางไม่ให้พบ พอส่งคนเข้าไปแจ้งก็ถูกเชิญออกไป รายงานจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร สวีชิงซานกลับไปก็ร่ำไห้ยกใหญ่”
“จะไม่ร่ำไห้ได้อย่างไร เหล่าหม่าอีกสองเดือนก็จะเกษียณกลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิดแล้ว ตำแหน่งนี้ย่อมเป็นเขา หากมีเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงปลิวหายไปเสียแล้ว!”
ได้ยินโจวอี้อธิบาย จางเฉิงก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น โจวอี้ยิ้มกล่าวว่า
“ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อครู่สำนักรักษาความสงบมีข่าวมา บอกว่ารองฝ่ายขวากรมอากรจางเสวียเหยียนได้รับเทียบเชิญจากเสนาหม่า นัดให้คืนนี้ไปกินเลี้ยงที่หอฉินก่วน”
———————-
[1] หน่วยวัดพื้นที่จีนสมัยโบราณ 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่ 1 หมู่ เท่ากับ 666.66 ตารางเมตร