ตอนที่ 507 พวกมองโกลทะยานมาบนทุ่งหิมะ
พอกลับถึงที่ตั้งค่ายที่ออกมาตอนเช้า หิมะก็เริ่มโปรยปราย
กองกำลังหู่เวยตั้งค่าย ปลดม้าวัวลากรถออก จากนั้นก็เรียงเข้ากัน ยังย้ายของลง ใช้เวลาไปมากอยู่ ดังนั้นเวลาตั้งค่ายของกองกำลังหู่เวยจึงต้องใช้เวลา
ฟ้าเดิมก็มืดครึ้มแล้ว เห็นเกล็ดหิมะโปรยปราย หวังทงกำลังสั่งให้ตั้งค่าย ที่นี่เดิมเป็นที่ตั้งค่ายเมื่อคืนวาน ก็ไม่มีอันใดไม่สะดวก
“ใต้เท้าหวัง เดาว่ายังอีกหนึ่งชั่วยามฟ้าจะมืด ฟ้ามืดแล้วค่อยตั้งค่ายก็ยังไม่สาย เดินกลับไปได้อีกหน่อยก็จะดี ข้างหน้ายังมีที่หลบไว้สำหรับหลบลมหิมะได้ดีหน่อย!”
นายกองนำทางจากค่ายมี่อวิ๋นผู้นั้นที่เงียบมาตลอดยามนี้เอ่ยเตือน หิมะโปรยปราย หวังทงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ใด แต่นายกองผู้นี้กลับมีท่าทีหวาดหวั่นมาก สีหน้าก็คับแค้นเดิมที่มีนั้นไม่เห็นแล้ว
นายกองผู้นี้อย่างไรก็ประจำที่นี่มานานหลายปี ประสบการณ์มาก ความเห็นเขาอย่างไรก็ต้องรับฟัง กองกำลังหู่เวยก็เดินหน้าต่อ พอถึงเวลาฟ้ามืดจึงได้ลงปักหลักตั้งค่ายพัก
“กลางคืนนอนระวังหน่อย อย่าได้ถูกหิมะทับประโจมพัง!”
“แต่ละค่ายให้ทหารเฝ้ายามไว้ ตระเวนในค่ายรอบหนึ่ง ดูว่าในค่ายมีอะไรขวางทางหรือไม่ อย่าปล่อยให้หิมะสั่งสมหนามากไป!”
ตั้งค่ายกลางคืน แต่ละแห่งก็ก่อไฟ หวังทงกับบรรดานายทหารก็ยุ่งเช่นกัน ต้องคอยเตือนเรื่องหิมะแต่ละเรื่องให้เรียบร้อย
ไม่ได้ใช้ชีวิตบนทุ่งหญ้า ยากจะเข้าใจว่าหิมะหนักมันน่ากลัวอย่างไร ไม่ว่าทหารหรือว่าชาวบ้าน ก็ล้วนเห็นเป็นเรื่องแปลกใหม่ กลางวันไม่ได้ปะทะศัตรู ทุกคนก็คิดว่าสามารถกลับกันได้อย่างปลอดภัยแล้ว ก็ฮึกเหิมมีกำลังใจมาก แต่อาหารคืนนี้ไม่มีเนื้อสัตว์ ก็หาเสบียงทั่วไปกินแทน
คืนหิมะตก ก็ย่อมดำมืดสนิทแท้จริง หวังทงยืนอยู่บนรถม้ามองไปสี่ทิศ เห็นรอบๆ แล้วก็ดูไม่มีอะไร เป็นเงาสะท้อนจะไฟในค่ายเท่านั้น
“หากหิมะตกหนัก พวกเราคงไม่ต้องรบจริงๆ แล้ว!”
หวังทงนั่งบนรถยิ้มกล่าวขึ้น ถานเจียงข้างๆ ก็กล่าวว่า
“ทหารม้ากองใหญ่ หากเดินทางสามวัน พวกมองโกลไม่กลัวหิมะพวกนี้ หิมะพวกนี้เป็นภัยสำหรับเผ่าเล็กๆ เท่านั้น”
หวังทงส่ายหน้าลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า
“อย่างไรก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะโจมตีกลางดึก ท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้ หากอยากทำอันใดจริง ก็ย่อมวิ่งหลงทิศทาง”
กล่าวจบ หวังทงก็หันกายโดดขึ้นม้าไปตะโกนดังว่า
“นายกองไช่ สั่งการให้ทหารแบ่งน้ำมันหมูไปยังแต่ละจุด อากาศหนาวเหน็บ ไม่จุดน้ำมันไหนเลยจะได้!”
ไช่หนานสวมชุดคลุมหน้าเป็นก้อนกลมๆ กำลังนั่งอยู่ พอได้ยินเสียงตะโกนหวังทงก็รีบรับคำ เพื่อเตรียมเสบียงไว้รับกับความหนาว หวังทงนำของมาไม่น้อย ในนั้นก็มีน้ำมันหมูเป็นไหๆ ที่เก็บสะสมมาตลอดทางจากทงโจว ของพวกนี้หากได้ลงท้องก็จะทำให้ทนหิวทนหนาวได้นาน
เห็นทางกลับมีหิมะตกหนัก หวังทงก็คิดถึงเรื่องนี้ ทางนั้นเพิ่งกล่าวไป นายกองจากกองกำลังมี่อวิ๋นที่จ้องมองหวังทงมาแต่ต้นก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามา รีบร้อนกล่าวว่า
“ใต้เท้า ไม่รีบต้องแจกจ่าย ไม่รีบๆ หิมะนี้ไม่รู้อีกนานเท่าไร ประหยัดของไว้ได้ก็ดี ต้องมองการณ์ไกลไว้ก่อน!”
หวังทงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่เส้นทางสามวัน มีอันใดให้ต้องมองการณ์ไกลกัน หากอีกฝ่ายประสบการณ์มาก คิดแล้วก็รอบคอบไว้ก่อน อย่างไรก็รับฟังไว้ดีกว่า จึงรีบโบกมือกล่าวว่า
“แจกครึ่งเดียวๆ !!”
คิดไปคิดมา ก็ตบบ่านายกองผู้นั้น ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนี้ข้ามีงานให้เจ้าทำ อีกครู่เจ้าไปตระเวนรอบค่ายกับถานเจียง มีอันใดที่เจ้าคิดว่าไม่ถูกต้อง ก็ให้พวกเขาแก้ไข พูดอย่างเดียว ไม่ต้องกังวลอันใด ข้าให้เจ้าจัดการ!”
นายกองผู้นั้นรีบคำนับรับคำ กำลังหันกายออกไป ก็ถูกหวังทงเรียกไว้ กล่าวว่า
“นายกองหนิง เจ้าว่าครอบครัวเจ้ามีลูกชายสองคน คนหนึ่ง 12 คนหนึ่ง 6 ขวบ ชีวิตยากลำบาก กองกำลังพวกเจ้าไม่มีรายได้อันใด มีชีวิตลำบากมากกระมัง!”
อย่างไรก็เดินทางกันมาหลายวัน คนของหวังทงก็ได้คุยกับนายกองหนิงมาบ้าง เพื่อสอบถามเรื่องส่วนตัวไม่น้อย ได้ยินหวังทงถาม นายกองหนิงก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“ไม่เรียกว่าลำบาก ทุกคนมีชีวิตเช่นนี้เหมือนกันหมด คนโตไปช่วยเลี้ยงแพะที่อำเภอมี่อวิ๋น คนรองก็พอได้กินอิ่มท้อง รอให้โตอีกหน่อย ก็จะเป็นทหารได้เบี้ยหวัด”
หวังทงส่ายหน้านิ่งเงียบ เป็นถึงนายกองเช่นนี้ ก็ดูรันทดไม่น้อย ในใจคิดอย่างไรก็แล้วแต่จะคิด แต่หากก็ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าอยู่เทียนจินกับเซวียนฝู่มีการค้าไม่น้อย กำลังขาดคน นายกองหนิงหากไม่รังเกียจ ก็ให้คุณชายทั้งสองไปที่นั่นใช้ชีวิตกันดูเป็นอย่างไร ก็จะจ่ายเงินตามอัตราคนงาน ค่อยๆ เพิ่มไป!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ นายกองหนิงก็กระพริบตา ตามมาด้วยการโบกมือทันที กล่าวว่า
“เช่นนี้ได้อย่างไร ลูกชายสองคนเขียนหนังสือไม่เป็นสักตัว ไม่เคยทำการค้ามาก่อนด้วย”
“ค่อยๆ เรียนรู้ก็ได้ เห็นนายกองหนิงขยันขันแข็ง คุณชายทั้งสองก็คงไม่ต่างกัน หากเป็นเช่นนี้ เงินเดือนข้าจ่ายให้ก่อน คุณชายรองค่อยๆ เรียน เรียนเป็นก็ค่อยไปทำ เป็นอย่างไร?”
กล่าวถึงตรงนี้ วาจาก็กระจ่างมากแล้ว คนทำงานไม่สำคัญ สำคัญที่เงินเดือนจ่ายก่อน น้ำใจนี้ไม่กระไรนักในความคิดหวังทง แต่นายกองหนิงกลับรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง สองมือไม่รู้ว่าจะวางที่ใดดี ปากได้แต่กล่าวว่า
“ข้า……ข้าน้อยไม่ได้ทำอันใดให้ท่าน เหตุใดใต้เท้าจึงได้สิ้นเปลืองเช่นนี้เพื่อข้าน้อย!”
เงินไม่มากสามารถมีสายสัมพันธ์ดีกับทหารหน้าด่าน เป็นเรื่องที่คุ้มค่าสำหรับหวังทงมาก เขายิ้มเอ่ยว่า
“นายกองหนิงยุ่งงานหัวหมุนเพื่อเรา ไม่ได้ทำอันใดกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง วันหน้ายังอีกยาวไกล!”
นายกองหนิงรีบคำนับทันที หันไปตามถานเจียงเดินดูรอบค่าย หวังทงมองตามแผ่นหลังเขาออกไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปีนขึ้นรถม้าไปมองความมืดที่โรยตัวอยู่รายรอบ
หิมะหนักเช่นนี้สร้างความแปลกใหม่ให้กับทุกคน ได้เห็นพวกชื่อเฮยกับนายกองหนิงระวังรอบคอบ หวังทงก็เริ่มระวังมากขึ้น
คืนนี้ นายกองหนิงขยันขันแข็งอย่างมาก เมื่อก่อนไม่พูดอันใด สีหน้าอมทุกข์ แต่คืนนี้วิ่งไปมาทุกจุด และตรวจตราบอกกล่าวละเอียดทุกจุด
เช่นว่ามีคนยัดพรมไว้ใต้รถม้าไว้เตรียมนอน รถใหญ่บังหิมะ ข้างใต้ก็แห้ง แต่นายกองหนิงกลับบอกว่า หากหิมะตกหนัก หากถูกฝังกลบไป คนก็อาจถูกอัดตายอยู่ในนั้นได้ ยังมีพวกที่ชอบอยู่ข้างกองไฟ ตั้งกระโจมชิดติดกัน นี่ก็ต้องเตือน รวมกันเช่นนี้ หากด้านบนมีหิมะกองหนา อาจถูกทับตายได้ คนถูกทับไว้ก็ย่อมเกิดเรื่อง เพื่อความปลอดภัย จึงห้ามทำเช่นนี้
เดินตรวจตราอยู่นาน สุดท้ายแต่ละจุดก็จัดการเหมาะสม ทุกคนจึงได้เข้านอน
***********
ตอนเช้าตื่นมา หิมะหยุดแล้ว เห็นแสงตะวันแล้ว
สีขาวราวเงินยวง ทุ่งหิมะกว้างไกล มองไปรอบทิศ เป็นภาพที่งดงามยิ่ง ทำให้ทุกคนตกในภวังค์ ทหารที่ขึ้นมาติดเตาทำอาหารก็ตื่นเต้นกันทุกคน เมื่อวานหิมะตกหนักทั้งคืน แต่เช้ามาฟ้ากระจ่าง ก็นับว่าไม่เกิดภัยแล้ว หากเป็นภาพงดงาม ทำให้การเดินทัพที่แห้งแล้งสนุกขึ้นไม่น้อย
และก็ไม่ต้องไปหาน้ำไกล ก็แค่เก็บหิมะสะอาดลงหม้อ ก็ประหยัดแรงยิ่ง ได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาในค่าย หวังทงไม่สนใจความหนาวรอบตัว ปืนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ ต่างกับบนรถมาก สูงกว่ามาก
หวังทงลงมาจากหอ ก็สั่งการให้ทหารรีบของ ตนเองไปอยู่รถม้าทางซ้าย เห็นท่าทางหวังทงแล้ว ทหารทุกคนก็ตามมา
หิมะขาวโพลนไปทั่วบริเวณ หากมีสีอื่นแปลกปลอม ย่อมเห็นได้ชัด หวังทงชี้ไปทางตะวันตกกล่าวว่า
“ไม่ถึงสองวัน พวกมองโกลที่ถูกพวกเราไล่กระเจิงไปกลับมาอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้มากันแบบเล่นๆ”
“น่ากลัวว่าจะมีพลม้าหลายร้อย!”
ถานปิงข้างๆ กระซิบเบาๆ หวังทงจ้องไปทางนั้นไม่กล่าวอันใน เห็นว่าจุดดำๆ นั้นค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ถานเจียงกระซิบบอกหวังทงว่า
“นายท่าน สั่งการใหเตรียมพร้อมเถอะ!”
หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“ถานปิงส่งคนมาจับตาดูทางนี้ไว้ ทหารม้าหลายร้อยเดาว่ามาจัดการพวกเรา หากปะทะกันจริง ใช่ว่าส่งอาหารเข้าปากเรางั้นหรือ รอให้ถอนค่ายเก็บ ก็จัดทัพเดินหน้าไปแบบเมื่อวานก่อนรับศึก ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”
หวังทงสั่งการเสร็จ บรรดานายทหารก็รับคำสั่ง ออกไปปฏิบัติทันที
พวกมองโกลหลายร้อยเข้าใกล้ระยะราวสามร้อยก้าว ก็หยุด แต่ยามนี้กองกำลังหู่เวยถอนเก็บค่ายแล้ว ทัพใหญ่เริ่มเดินหน้า ทหารทุกคนเดินอยู่รอบนอก พวกชายชาวบ้านเดินอยู่ด้านในวงล้อมรถ
เดินมาได้หนึ่งชั่วยาม ก็มีทหารม้ามองโกลหลายร้อยโผล่ตัวขึ้นให้เห็นไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หลายครั้งมู่เอินลากปืนใหญ่ออกมา แต่พวกมองโกลก็เรียนรู้ไวแล้ว เห็นปืนใหญ่ ก็รีบหนีออกไปให้ห่าง ทางนี้ไร้หนทาง ผ่านไปหลายครั้งหวังทงก็ลองให้มู่เอินคิดหาทางเอง
พอถึงเที่ยง ด้านหลังกับทางขวาของทัพ ก็มีพวกทัพม้าราวหลายร้อยตามมา หากก็อยู่ระยะไกล ไม่เข้าใกล้
คนรถกองกำลังหู่เวยเริ่มร้อนใจ ทำให้รถวิ่งเร็ว หวังทงบนหลังม้าเห็นดังนี้ก็สั่งการเบาๆ ขึ้นทันที
“อย่ารน อย่าลนลาน ค่อยๆ ไป ถานเจียงเจ้านำคนไปจับตา ผู้ใดฝ่าฝืนลงโทษทันที!”
ถานเจียงรีบนำคนออกไปจัดการ เช่นนี้รถใหญ่ในทัพใหญ่ก็เริ่มนิ่งสงบลง หวังทงสีหน้านิ่งเรียบมองซ้ายมองขวา กล่าวว่า
“ตามถานปิงกับหลี่หู่โถวมาทางนี้!”
ทหารติดตามรีบรับคำสั่งออกไป หัวหน้าหน่วยทั้งสองยังไม่ทันมาถึง ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังจากหอสังเกตการณ์ว่า
“ใต้เท้า มีทัพม้าหนึ่งอยู่กองหนึ่งมาทางด้านหลัง ทะยานมาทางพวกเราแล้ว”
หวังทงหันหน้าไปมองทันที พวกมองโกลเหตุใดจึงระงับใจไม่ได้ ทางตนยังไม่ทันวุ่นวาย พวกเขาไม่กี่ร้อยก็จะบุกเข้ามารนหาที่ตาย ยังไม่รอให้หวังทงออกคำสั่ง ทหารบนหอก็ตะโกนดังอย่างร้อนใจว่า
“พวกมองโกลจะยิงธนูใส่พวกเขาทำไมกัน สิบกว่าคนนี้ไม่ใช่มองโกล เหมือนว่าแต่งกายแบบทหารหมิงเรา……”