Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 592

ตอนที่ 592 คลื่นแม้สงบ ในความเงียบยังคงไหลหลั่ง

ปลายเดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 ข่าวจากผู้ตรวจการซานซีมายังเมืองหลวง ตั้งแต่ผู้ตรวจการไปถึงเมืองต้าถง จนกระทั่งปิดคดีได้ ใช้เวลาไม่ถึง 20 วัน

มีคนว่ากันสองแบบ หนึ่ง ผู้ตรวจการมีความสามารถ สอง แผนร้ายถูกเปิดโปงนานแล้ว ผู้ตรวจการมาสืบคดีก็เพื่อเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้นเท่านั้น

ขุนพลอวี๋ซื่อเฉียงสวามิภักดิ์มองโกล หย่งเซิ่งป๋ออวี๋หยวนกังเกรงกลัวความผิดปลิดชีพตนเอง แม้ในวังต้องการปิดข่าว แต่ก็ยังแพร่กันกระจายไปทั่ว วิพากษ์วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้วเมืองต้าถงเละเทะเพียงใดกันแน่ แต่เรื่องนี้ก็เป็นไปตามคาดของทุกคน แต่ไรมาเมืองต้าถงก็มีแต่เรื่องแปลกประหลาดไม่น้อยอยู่แล้ว

พระวรกายไทเฮาฉือเซิ่งในเดือนสี่ไม่ดีนัก แม้ฝ่าบาทมาถวายพระพรประจำ พวกเฝิงเป่ามาขอความเห็นเรื่องงานแผ่นดินเหมือนปกติ แต่เห็นชัดว่าไทเฮาฉือเซิ่งทรงนิ่งลงมาก มีคนนับเวลาดู ก็พบว่าพอดีกับสารด่วนรายงานจากผู้ตรวจการมาถึงเมืองหลวง

วันที่ 23 เดือนสี่ ณ ตำหนักฉือหนิงกง

“ทูลไทเฮา อ๋องลู่เสด็จมาถึงแล้ว!”

ไทเฮาฉือเซิ่งประทับเอนพระวรกายอยู่ หลับพระเนตรพัก ได้ยินเสียงนางกำนัลจิ่นซิ่วทูลรายงาน ก็ค่อย ๆ ตรัสว่า

“เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นออกไป ให้อ๋องลู่เข้ามา”

รับสั่งสั้นๆ สองสามประโยค จิ่นซิ่วก็คำนับรับพระบัญชา ไม่นาน ในตำหนักก็เงียบลงไปมาก อ๋องลู่เสด็จเข้ามาถึงก็ตรงไปยังเบาะที่ปูรองไว้ อ๋องลู่คุกเข่าลงถวายคำนับ

ไทเฮาฉือเซิ่งหรี่พระเนตรมองจิ่นซิ่ว จิ่นซิ่วรีบเข้ามาประคองให้ไทเฮาฉือเซิ่งประทับนั่งตรงขึ้น เงียบไปครู่หนึ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งก็ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า

“ให้เจ้าอยู่ในวังต่อ เดิมคิดว่าเราแม่ลูกจะได้มีเวลาอยู่ร่วมกันมากอีกหน่อย เสียดายที่คนชั่วข้างนอกอาศัยเรื่องนี้คิดก่อการร้าย อายุเจ้าเองก็ไม่น้อยแล้ว หากจะอยู่ในวังต่อไป อย่างไรก็คงมีความไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง รีบออกไปเป็นอ๋องดูแลพื้นที่ที่เหอหนานของเจ้าให้เร็วที่สุดดีกว่า”

ตรัสจบ ก็ลอบสังเกตสีหน้าอ๋องลู่ว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร อ๋องลู่เชื่อฟังโขกศีรษะทูลว่า

“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงจัดการให้ ลูกอายุมากแล้ว ก็คิดจะออกไปให้เร็วที่สุด อย่างไรก็เป็นพื้นที่ของลูก อย่างไรก็ควรคุ้นเคยให้เร็วหน่อยจึงจะดี แต่ทว่า ลูกอยากขอเสด็จแม่ทรงเมตตาสักเรื่อง ลูกยังอยากอยู่วังต่ออีกสักระยะหนึ่ง”

วาจาก่อนหน้านั้น ไทเฮาฉือเซิ่งทรงพยักพระพักตร์ แต่มาช่วงหลังที่ทรงขอนั้น พระเนตรไทเฮาฉือเซิ่งแข็งขึ้น จ้องมองอ๋องลู่ อ๋องลู่ไม่ได้เงยหน้า หากคุกเข่าทูลว่า

“หากลูกออกไปแล้ว วันหน้าคงไม่อาจได้เป็นเพื่อนเสด็จแม่เช่นนี้ได้ วันที่ 22 เดือนเจ็ด เป็นวันประสูติเสด็จแม่ ลูกอยากเป็นอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ก่อนแล้วค่อยไป ขอเสด็จแม่ทรงโปรดอนุญาตด้วย”

กล่าววาจำได้จริงใจหนักแน่น เดิมพระเนตรเฉียบขาดของไทเฮาฉือเซิ่งก็ค่อยๆ ผ่อนลง มองอ๋องลู่ที่เกือบจะสูงเท่าฮ่องเต้ว่านลี่ ไทเฮาก็ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า

“แม่อนุญาต เสด็จพี่เจ้าโตแล้ว เจ้าเองก็โตแล้ว……”

อ๋องลู่ทูลจบ ก็ทักทายคุยเรื่องทั่วไปสักพัก ก่อนจะโขกศีรษะคำนับขอตัวออกไป พออ๋องลู่ออกไป นางกำนัลจิ่นซิ่วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปกราบทูลว่า

“ไทเฮาเพคะ สารจากผู้ตรวจการที่ฝ่าบาททรงให้ไทเฮาทอดพระเนตร ก็เพื่อให้ไทเฮาเร่งรัด หากอ๋องลู่ยังอยู่ต่อ……”

พระเนตรไทเฮาฉือเซิ่งตวัดมองมา จิ่นซิ่วรีบหยุดไม่กล้าทูลต่อ ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ตรัสว่า

“เขายังเป็นเด็กน้อย จะไปเกี่ยวข้องอันใดได้มากเพียงนั้น ตำหนักก็ตรวจค้นแล้วไม่ใช่หรือ ไม่พบอันใด ล้วนเป็นตระกูลอวี๋ที่ไม่รู้จักดีชั่วหาเรื่องกันเอง เกี่ยวอันใดกับอ๋องลู่ด้วย”

ตำหนักฉือหนิงกงเป็นเช่นนี้ ที่อื่นๆ ในวังหลวงก็เป็นไปอย่างปกติ วังหลวงช่างเหมือนเมืองที่แยกอยู่โดดเดี่ยวคั่นด้วยคูเมือง ในวังนอกจากตำหนักฮ่องเต้ พระสนมกับไทเฮาแล้ว ก็มีที่พักบรรดาขันที พระตำหนักไว้สำหรับจัดพิธีการ ที่สำหรับเก็บของ เป็นต้น

ณ มุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวง ส่วนใหญ่ที่นี่เป็นที่พักขันทีป่วยหนัก แน่นอน กล่าวกันจริงๆ ก็คือที่รอความตาย

แต่ตอนนี้สถานะขันทียิ่งสูง ก็ยิ่งมีสถานะดี ล้วนเชิญหมอนอกวังมาในวังได้ หายาดีๆ มารักษาได้ ที่พักรักษาตัวเช่นนี้เงียบลงไปมาก ก็เพราะเมื่อก่อนคนมารักษาตัวมาก ตายไปมาก ปกติไม่มีผู้ใดอยากมาที่นี่

ที่แท้ที่นี่สะอาดกว่าอีกหลายที่ เพราะว่าในวังกลัวเชื้อโรคแพร่ออกไป ไม่ว่ามีคนอยู่หรือไม่ ทุกเดือนก็จะมีคนมาราดสุรากวาดพื้นฆ่าเชื้อ นอกจากเวลาที่พวกที่มาราดสุราโรยปูนขาวฆ่าเชื้อโรคแล้ว เวลาอื่นก็ล้วนสงบมาก

ในลานหน้าเรือนที่นี่สงบมาก วันนี้กลับมีขันทีอยู่ที่นี่ ประตูปิดสนิท ในห้องก็ปิดมิด นอกห้องมีขันทีสองคนเฝ้าอยู่ในห้องมีขันทีสองคน หนึ่งยืนหนึ่งคุกเข่า ในห้องมีกระถาง กระถางจุดธุป มีพุทธรูปองค์หนึ่ง ข้างพุทธรูปมีเทียนสองเล่ม

ประตูปิดมิด แสงไม่เข้ามา เทียนสองเล่มในห้องไม่ได้ผลเท่าไรนัก ทำให้ห้องดูมืดๆ ลึกลับ คนที่ยืนอยู่กระแอมไอในลำคอให้โล่งก่อนจะกล่าวเป็นการเป็นงานว่า

“ต่อเบื้องพระพักตร์พุทธองค์ เราไม่กล่าววาจาเท็จ เราเป็นนิรนามที่ศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนนอกเมืองไปทางตะวันตก ทุกวันมีชีวิตราวสัตว์ก็มิปาน ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร แต่พอศรัทธาในพุทธะแล้ว จึงได้หมดทุกข์มีสุข ได้เข้าวังมาทำงานไม่ว่า ยังได้ตำแหน่งดูแลงานนี้มา วาสนาเช่นนี้ได้มาอย่างไร หากไม่ใช่พลังแห่งพุทธะ ……หลี่เฉวียน เจ้าลำบากมาจากเมืองหลวงและเทียนจิน วันนี้ได้เข้าวัง ด้วยเหตุใดกัน?”

ขันทีที่คุกเข่าอยู่ก็คือหลี่เฉวียน ได้ยินคำถามเช่นนี้ ก็กระพริบตาปริบๆ ตอบว่า

“เป็นเพราะทองสิบตำลึง……”

“เจ้าลองคิดดู หากไม่ได้พบเล่อลิ่ว ไม่ติดตามมานับถือพุทธะ เจ้าจะมีวาสนาได้ทองนี้มาหรือ เหตุใดได้เข้าวังมาเหตุใดคำสอนของเล่อลิ่วทำให้เจ้าได้ทองมา ยังได้มาเมืองหลวง มีคนนำเข้าวังมา หรือว่าไม่ใช่เพราะว่าเป็นบัญชาสวรรค์?”

หลี่เฉวียนที่คุกเข่าอยู่ส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงอู้อี้ว่า

“ก็จริงนะ หรือไม่ก็เมื่อก่อนไม่เคยประสบเรื่องพวกนี้จน……”

“นี่ล้วนเป็นปาฏิหาริย์ของพุทธไตรสุริยัน หลี่เฉวียน เล่อลิ่วเผยแผ่อยู่เทียนจิน เพื่อซ่อนตัวจากพวกคนชั่ว ดังนั้นจึงกล่าวว่าเป็นพระศรีอาริย์ ที่แท้ที่เจ้ากราบไหว้อยู่วันนี้นั้นก็คือพุทธไตรสุริยัน”

หลี่เฉวียนขยี้ตามองพุทธรูปที่วางอยู่หลังกระถางธูป หลุดน้ำเสียงกล่าวว่า

“เหมือนกันจริงด้วย โอยๆ ๆ ๆ ลบหลู่แล้วๆ ข้าขอโขกศีรษะคำนับบูชาพุทธรูปๆ”

กล่าวจบก็โขกศีรษะ ขันทีข้างโต๊ะบูชารีบกล่าวว่า

“ในเมื่อเจ้าศรัทธาในลัทธิไตรสุริยัน เช่นนั้นเราก็เป็นพี่น้องสนิทกันกัน ควรจะดูแลกันและกัน เจ้ากราบไหว้พุทธไตรสุริยันนอกจากเพื่อให้คุ้มครองแล้ว ยังมีประโยชน์อันใดอีกหรือ?”

หลี่เฉวียนเบื้องหน้าย่อมส่ายหน้าไม่รู้ ขันทีผู้นั้นกล่าวว่า

“แม้ว่าทุกคนตัดส่วนนั้นทิ้งแล้ว แต่เรื่องพวกนั้นพวกเราก็ยังต้องการอยู่ ในวังมีหลายคู่ที่เป็นอาหารถูกปาก[1]กันได้ แต่ก็แค่เป็นกันแต่ในนามไปอย่างนั้น แต่หากเชื่อในลัทธิไตรสุริยัน ก็จะสามารถเลี้ยงดูเจ้าท่อนที่ตายไปแล้วให้ออกมาได้ บอกกันเจ้าตรงๆ พี่น้องลัทธิเรา มีสิบกว่าคนเพราะว่าศรัทธาเชื่อมั่น จึงได้งอกออกมาอีกครา เจ้าดูในวังนางกำนัลมากมาย พวกเราสามารถเช่นนั้นได้ พวกเราก็ย่อมเป็นดั่งฮ่องเต้แล้ว!!”

พวกนิรนามตอนตนเองเข้าวังมา ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้มีวาสนาและสถานะเงินทอง คนร่างกายพิการเช่นพวกเขา จิตวิญญาณยังคงมีความปรารถนา เห็นดอกไม้งามในวังมากมาย จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร ขันทีและนางกำนัลได้เป็นคู่กันดังที่เรียกว่า อาหารถูกปาก ก็เพียงแค่ในนามปลอมๆ หากงอกออกมาใหม่ได้จริง เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล ทุกคนเหตุใดจะไม่อยาก คนเราหากมีความหวังแม้เพียงเล็กน้อยก็ย่อมอยากไขว่คว้าไว้ เชื่อไม่เชื่ออย่างไรก็ไม่มีผลเสียอันใด

พอขันทีกล่าวจบ ก็มองตาหลี่เฉวียนที่คุกเข่าอยู่ราวกับกำลังส่องประกาย จึงรีบกล่าวต่อว่า

“ข้าน้อยขอยอมเชื่อๆ เมื่อก่อนข้าน้อยเองก็กราบไหว้บูชาพุทธะ วันหน้าก็จะมุ่งตรงเชื่อมั่นในพุทธะ ขอให้ได้ผลสำเร็จต่างๆ”

ขันทีที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะบูชายิ้มพยักหน้า เข้าไปประคองหลี่เฉวียนให้ลุกขึ้น สองคนหันไปทางพุทธไตรสุริยัน ขันทีผู้นั้นกล่าวว่า

“เจ้าเป็นคนซื่อ ทุกคนเห็นอยู่ ดังนั้นวาสนานี้จึงมาสู่เจ้าก่อนใคร เมื่อก่อนแม้เคยกราบไหว้ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่บูชาในนามพุทธไตรสุริยัน วันนี้นับว่าเข้ารีตสมบูรณ์แล้ว หากมีกฎระเบียบบางอย่างต้องบอกแก่เจ้า หากไม่ทำตาม ก็ถือว่าไร้ความศรัทธาแท้จริง พุทธะย่อมพิโรธลงมา ข้อแรก ห้ามหลุดกล่าวในสิ่งที่นับถือออกไป พุทธไตรสุริยันจะมาจุตินั้นเป็นความลับ รู้ในใจก็พอ ห้ามบอกแก่คนนอก หากบอกไป ก็จะถูกฟ้าผ่าห้าสาย ร่างกายเน่าเละ”

ในห้องเริ่มพูดกฏระเบียบปฏิบัติต่างๆ บรรยากาศจริงจังอย่างมาก

************

ญาติห่างล้มป่วย คนเมืองหลวงไม่สนใจกัน แต่มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งล้มป่วย คนเมืองหลวงล้วนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง

ครั้งนี้พักอยู่ในจวนถึงสี่วันเต็ม ตอนร่วมประชุมขุนนางก็ดูไม่ปกติ ช่วงเดือนสี่เดือนห้า อากาศอบอุ่นขึ้น แต่ก็ยังนับว่าไม่ร้อน หากท่านจางก็ยังสวมชุดขุนนางแบบร่วมประชุมในหน้าร้อน ป่วยด้วยโรคใดกัน หรือว่าลมร้อนตีขึ้นศีรษะนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว?

แม้ทุกคนไม่กล้าถามตรงๆ แต่ก็แอบสอบถามกันลับๆ ข่าวมาน้อยมาก บอกว่าท่านจางป่วยเหมือนเกี่ยวพันกับผู้หญิง การพูดเช่นนี้ทุกคนย่อมเชื่อ จวนท่านจางมีนางบำเรอมากมาย ขึ้นชื่อในเมืองหลวงยิ่งนัก

แต่ทว่า แม้ว่าป่วย หากก็ยังกระปรี้กระเปร่ายิ่ง ทุกอย่างยังคงปกติ

เสนาบดีกรมปกครองหลี่โย่วจืออ้างว่าอายุมากไม่อาจรับภาระงานหนักจึงขออำลากลับยังบ้านเกิด ฮ่องเต้ว่านลี่และจางจวีเจิ้งล้วนรั้งไว้ แต่หลี่โย่วจือก็ยังคงยืนยัน เห็นว่าไม่อาจรั้งได้ เริ่มมีคนคิดถึงตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองแล้ว เริ่มวิ่งเต้นในเมืองหลวงแล้ว

จวนเสนาบดีอีกสองท่านอย่างจางซื่อเหวยและเซินสือหังที่ล้วนเป็นศิษย์จางจวีเจิ้ง มีแขกมาเยือนอย่างมากมายในเวลาไม่นาน เริ่มคึกคักอย่างมาก แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเซินสือหังหรือจางซื่อเหวยก็ล้วนไม่ให้เข้าพบ

ในช่วงเวลาเมืองหลวงวิ่งเต้นนี้เอง ทหารในสังกัดรองขุนพลเมืองหลวงเซี่ยหยวนเฉิงกลับด่าทอยกใหญ่ว่า

“อย่าเห็นว่าเจ้าตอนนี้เรืองอำนาจ รอให้ท่านจางตายไป เจ้าก็ไม่นับว่าตัวอันใดแล้ว ช้าเร็วก็ย่อมมีคนมาคิดบัญชีเจ้า”

นายทหารผู้นี้ถูกโบกไปร้อยไม้ตายทันทีในโรงฝึกทหาร ทุกคนไม่กล้าเข้าห้ามขอร้องแทน ได้แต่ถอนใจ ทหารผู้นี้ช่างเหิมเกริมลืมตัว ได้ตายเช่นนี้ ถือว่าดีกับครอบครัวเขาแล้ว

[1] ขันทีที่ครองคู่กับนางกำนัลแบบคู่รักสามีภรรยา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version