Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 594

ตอนที่ 594 ถนนใหญ่ริมแม่น้ำทะเล ความร่ำรวยอัดแน่น

ต้นเดือนห้าที่เทียนจินเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในหนึ่งปี ไม่เพียงแต่การค้าบนคลองส่งน้ำหรือริมแม่น้ำทะเลจะรุ่งเรือง หากคนมาเที่ยวเทียนจินเองก็มากมาย

ร้านค้าเปิดกันมากมาย สินค้าเหนือใต้ละลานตา บางทียังเห็นของแปลกใหม่จากตะวันตกเมืองฟะรังคี สินค้าวางขายริมทาง ยังมีพวกมาขายศิลปะวิทยาตามริมทาง มีเสียงเพลงเสียงเครื่องดนตรีดังออกมาจากหอสุราโรงเตี๊ยมเป็นระยะ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อก่อนมีเพียงไม่กี่แห่งในเมืองหลวงหรือทางใต้ที่จะได้เห็นภาพจอกแจกจอแจเช่นนี้

ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแต่ความเจริญในเมืองเทียนจินก็เป็นภาพรุ่งเรืองแล้ว มีคนมาหาความสำราญกันแน่นขนัด ก็เหมือนยิ่งขับความเด่นให้เทียนจินมากยิ่งขึ้น

คหบดีในพื้นที่ คุณชายจากเมืองหลวง พ่อค้าจากทางบกและทางทะเล พากันมาหาความสำคาญกันในต้นฤดูร้อนกันอย่างเต็มที่

เขตการค้าวางพื้นที่เป็นช่องตาราง ประกอบกันขึ้นจากถนนเส้นตรงและเส้นขวางหลายเส้น ถนนเส้นตะวันตกไปตะวันออกเรียกว่าถนนใหญ่ ถนนจากเหนือไปใต้ก็เรียกถนนใหญ่

ไม่มีชื่อเรียกหรูหราอันใด ถนนเส้นตะวันตกไปตะวันออกขนานไปกับแม่น้ำทะเล เส้นทางที่ใกล้กับแม่น้ำทะเลมากที่สุดก็ล้วนเป็นโกดังหรือไม่ก็ที่ว่างไว้วางสินค้า ยังมีป้อมปืนใหญ่ริมท่าเรือ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหญ่อันดับหนึ่ง เริ่มจากที่นี่เป็นหลัก นับไป 1 2 3 4……ถนนหมายเลขหนึ่งก็คือถนนที่อยู่ทางตะวันออกสุดของเขตการค้า

ในเขตการค้า ถนนที่รุ่งเรืองที่สุดก็คือถนนหมายเลข 5 ถึงถนนหมายเลข 9 สามสี่เส้นทางนี้ พ่อค้าสถานะสูงหรือไม่ จะดูได้จากว่ามีร้านค้าบนถนนหมายเลขเหล่านี้หรือไม่ เป็นหนึ่งในมาตรฐานที่สำคัญ

วันที่ 7 เดือนห้า ตอนบ่าย ถนนหมายเลข 5 ย่อมคึกคักเป็นพิเศษ ร้านค้าสองข้างทางมีคนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย คนในพื้นที่ย่อมชำนาญทาง คนมาจากต่างพื้นที่ก็มักชะเง้อมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ

หากเป็นคนจากที่อื่น พื้นที่คึกคักเช่นนี้ นอกจากคนขายของ ย่อมต้องมีหัวขโมย นักต้มตุ๋นหรือนักเลง

แต่ที่เทียนจินกลับไม่ต้องกังวลในเรื่องเหล่านี้ ถนนแต่ละแห่งล้วนมีองครักษ์เสื้อแพรในชุดมัจฉาเวหาพร้อมดาบปักวสันต์เดินตรวจตราอยู่ ยังมีแต่งกายแบบชาวบ้านเป็นนักสืบในฝูงชนด้วย คิดจะทำเรื่องผิดกฎหมายใด เกรงว่าแค่ขยับก็คงถูกจับส่งทางการแล้ว

ถนนสายหลักทุกสายมีทหารองครักษ์เสื้อแพรสี่นายผลัดเวรกัน หากโจรร้ายคิดว่าตนเองคนเยอะ ทางการคนน้อย คิดจะรุมกันอันใด ก็ย่อมต้องเหมือนรนหาที่ตายเองแล้ว

ทหารสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป่านกหวัดดัง คนงานที่เป็นคนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ตามร้านค้าย่อมออกมาช่วยเหลือ หากมีเรื่องใหญ่โต ทัพม้าที่ตั้งอยู่นอกเขตการค้า ก็ย่อมมาช่วยได้ในเวลาอันรวดเร็ว

พวกลูกหลานชนชั้นสูงที่วางอำนาจบาตรใหญ่ รังแกหยอกล้อหญิงสาวบ้านก็ย่อมไม่กล้าเหิมเกริม ไม่ว่าครอบครัวมีเงินเท่าไร หรือว่าจะมากกว่าร้านสามธารา ตระกูลมีอำนาจเท่าใด ที่เทียนจินจะมีอำนาจมากกว่าหวังทงหรือ

ทั้งรุ่งเรือง ทั้งป้องกันรักษาความสงบดี คนที่มาเที่ยวก็ย่อมยิ่งวางใจ มีรถม้าวิ่งมาบนถนนบ้างเป็นระยะ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจากตระกูลต่างๆ

ทหารสำนักองครักษ์เสื้อแพรเดินอยู่บนถนน สองคนเดินไปพร้อมกัน สายตามองตรง เดินไปเดินกลับ คนเดินผ่านก็ล้วนหลีกทางให้

ด้วยเหตุนี้ ทหารองครักษ์เสื้อแพรจึงเป็นเหมือนทิวทัศน์หนึ่งของเขตการค้าในเทียนจิน คนจากต่างถิ่นล้วนมองดูด้วยความประหลาดใจ พลตระเวนองครักษ์เสื้อแพรพวกนี้แต่งกายเต็มยศ อาวุธวาววับ ดูแล้วองอาจน่าเกรงขามอย่างมาก แม้แต่หัวหน้านายทหารที่เลือกมาก็ล้วนร่างกายสูงใหญ่ จัดพวกหน้ำตาดีให้มาเดินลาดตระเวน

วันนี้แตกต่างจากวันอื่น พอทหารองครักษ์เสื้อแพรบนถนนหมายเลขห้าเห็นขบวนหนึ่งผ่านมา ก็รีบยืนตรง มือซ้ายวางไว้ตรงหน้าอก เหมือนกับกำลังทำความเคารพ

ที่พวกเขาทำความเคารพนั้นเป็นขบวนเล็กๆ ชายสิบกว่าคนล้อมคนสองคนไว้ตรงกลาง สองคนตรงกลาง คนหนึ่งสวมชุดสีคราม รูปร่างสูงใหญ่ หน้ำตาดูยังหนุ่มมาก น่าจะไม่เกิน 20 ดูการแต่งกายแล้วก็ไม่ได้หรูหราอันใด หากก็เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บประณีตเนื้อผ้าชั้นดี การเดินกิริยาท่าทางล้วนดูองอาจทรงพลัง แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคุณชายจากตระกูลสูง ดีไม่ดียังมีตำแหน่งขุนนางอีกด้วย

มีชายฉกรรจ์ติดตามมากมายเพียงนี้ ยังแต่งกายระดับนี้ ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใดกัน แต่คนผู้นั้นที่ดูไม่ธรรมดาท่ามกลางกองอารักขา ยังมีอีกคนหนึ่งที่ดูแล้วท่าทางแปลกอยู่สักหน่อย

แม้ว่าอยู่ในชุดผ้าต่วนราคาแพงตัวยาว นอกจากแต่งกายดูมีระดับ แต่ร่างกายผอมเกร็น สีหน้าเหลืองโรย ท่าทางการเดินก็ดูกลัวๆ กล้าๆ ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากัน

ขบวนคนกลุ่มนี้เดินไปตามท้องถนน ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย คนงานเรียกลูกค้าแต่ละร้านกลับจำได้ กระซิบกับวิจารณ์ว่า

“เหตุใดใต้เท้าหวังจึงออกมาเดินเล่นในยามนี้ รีบเข้าไปตามเถ้าแก่เราออกมาเร็ว!”

พอได้ยินข่าวนี้ เถ้าแก่ในร้านก็รีบออกมา มายืนหน้าประตู แม้ว่าไม่ได้ทักทายแต่หากใต้เท้าหวังมาเยือนจะได้ต้อนรับด้วยตนเอง นี่เป็นวาสนาใหญ่ ไม่รู้วันหน้าจะนำผลประโยชน์มาสู่ตนอีกเท่าไร

หวังทงไม่ได้สนใจร้านค้าสองข้างทาง หากเอาแต่มองไปข้างหน้ากล่าวว่า

“หลี่หงซุ่น ข้าได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่า เมื่อก่อนเจ้าเป็นขอทานอยู่บนถนนสายนี้ใช่หรือไม่?”

เด็กน้อยตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างๆ ตัวสั่น รีบตอบว่า

“เรียนนายท่าน เมื่อก่อนข้าน้อยเป็นขอทานอยู่บนถนนหลายสายแถบนี้ขอรับ”

“ทหารลาดตระเวนไม่สนใจเจ้าหรือ?”

“ทหารลาดตระเวนไล่จับกุมเข้มงวด แต่เห็นว่าข้าน้อยอายุยังน้อยจึงได้ไล่ให้ไปเท่านั้น……”

หวังทงพยักหน้า ไพล่หลังเดินต่อไป นอกจาทหารอารักขารอบกายสิบกว่านายแล้ว ยังมีทหารในชุดชาวบ้านปะปนในฝูงชนคอยอารักขาอีกชั้นด้วย สถานการณ์ยิ่งเคร่งเครียด ต้องรับประกันไดว่าความปลอดภัยมาอันดับหนึ่ง แต่หวังทงต้องการมาเดินเล่นผ่อนคลาย จึงได้แต่งกายชุดชาวบ้านเช่นนี้

“……ครอบครัวข้าน้อยมีหกคน อาศัยพี่ชายคนโตและมารดาข้าน้อยทำไร่ทำนา พี่ชายคนรองข้าน้อยสุขภาพไม่ดี ทำงานไม่ได้ ต่อมาพี่ชายคนโตบาดเจ็บ ครอบครัวก็ยิ่งลำบาก น้องชายน้องสาวหิวตาย พี่ชายคนรองทำงานไม่ได้ มีคนมาบอกว่าให้เข้าวังไปจะได้มีเงินร่ำรวยมาเลี้ยงดูครอบครัว จึงได้แอบหนีมาเมืองหลวงกับคนอื่น จะได้ลดภาระหนึ่งปากท้องของครอบครัวลง……”

หวังทงขมวดคิ้ว ได้ยินหลี่หงซุ่นเล่าเรื่องครอบครัวเช่นนี้ ราษฎรตาดำๆ ช่างมีชีวิตยากลำบาก รอบเมืองหลวงมีพวกนิรนามไม่น้อยที่มาจากครอบครัวเช่นนี้ เดิมคิดว่าตอนตนเองเสร็จก็จะพอมีความหวังได้เข้าวัง แต่เมืองหลวงกลับเป็นที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง ที่หลี่หงซุ่นเล่ามาก็เป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไป หากหวังทงฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ

หลี่หงซุ่นน้ำเสียงราบเรียบ หวังทงถาม เขาตอบอย่างละเอียดว่า

“……ต่อมาพี่ชายคนโตป่วยตาย มารดำข้าน้อยร้องไห้จนตาบอด ทำงานไม่ได้ ข้าน้อยกับน้องสาวไร้หนทาง หากสวรรค์เมตตา ใต้เท้ามาเทียนจิน นอกเมืองและในเมืองก็เริ่มคึกคัก ข้าน้อยและน้องสาวแม้ว่าอายุยังน้อยทำงานไม่ได้ แต่ก็ไปขอข้าวกินได้จากสถานที่ๆ รุ่งเรืองต่างๆ ทุกคนล้วนยินดีให้ทาน ครอบครัวข้าน้อยจึงพ้นจากวันเวลาอันยากลำบากมาได้ ต่อมา พี่ชายรองกลับมา เข้าวังไม่ได้ ไปแย่งกินก็แย่งไม่ได้……”

พูดไปเดินไป เดินมาถึงถนนหมายเลขห้าทางตะวันออก หน้าร้านหนึ่ง หวังทงหยุดอยู่หน้าร้านนั้น หลี่หงซุ่นเองก็หยุดตาม

มองเห็นคานประตูด้านบนมีแขวนป้ายสงบสุขไว้ ธงด้านขวาเขียนอักษรตัวใหญ่ๆ ไว้ว่า ร้านหนังสามธารา ลูกค้าเดินเข้าเดินออก บรรดาคนงานในร้านก็ร้องเรียกลูกค้า เถ้าแก่วิ่งออกมา ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

หวังทงทักทายคนในร้าน จากนั้นก็ยิ้มถามว่า

“หลี่หงซุ่น ปีนี้เจ้า 13 หางานทำที่แม่น้ำทะเลและคลองส่งน้ำได้ไม่ยาก พี่ชายและน้องสาวเจ้าก็ทำงานที่ทำได้ไปด้วย แต่ข้าได้ยินว่า พวกเจ้าเอาแต่เป็นขอทาน!”

ได้ยินเช่นนี้ หลี่หงซุ่นก้มหน้าลง ลังเลก่อนจะกล่าวว่า

“เรียนนายท่าน แม่น้ำทะเลรุ่งเรืองมาก ข้าน้อยสามพี่น้องขอทานเพื่อให้อิ่มท้อง เทียบกับชาวบ้านคนอื่นแล้ว ยังขอทานมาได้ไม่เลว……”

นี่ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติอันใด กล่าวจบหลี่หงซุ่นก็ได้ยินหวังทงเงียบไป ในใจก็เต้นแรง ค่อยๆ หันไปมองอย่างหวาดกลัว ได้ยินหวังทงหัวเราะดังลั่น

“วาจานี้ก็จริง ราวๆ นี้ ที่นี่รุ่งเรืองเช่นนี้ คนมีเงินมาก เป็นขอทานก็ย่อมดีกว่าทำงานใช้แรงงานหาเงิน นี่ก็ไม่ผิด เจ้าสามคนพี่น้องรู้จักหนังสือไหม?”

“เรียนนายท่าน พี่รองข้าน้อยสุขภาพไม่ดี พักอยู่ที่บ้านเป็นหลัก เลยได้มีโอกาสไปแอบฟังการสอนจากจวนคหบดีก็พอรู้หนังสือบ้าง อ่านหนังสือได้บ้าง พี่ยังสอนข้าว่าเรียนหนังสือจึงจะมีอนาคต รอให้หาเงินได้มาก ก็จะให้ข้าไปเรียนหนังสือ ได้ไปสอบเป็นขุนนาง พี่มักบอกว่าร่างกายพิการแล้ว แต่ข้ายังดี……”

กล่าวจนถึงสุดท้าย หลี่หงซุ่นไม่สนใจศักดิ์ศรีอันใดแล้ว วาจายังมีน้ำเสียงสะอื้น หวังทงลูบศีรษะเขา กล่าวว่า

“พี่รองเจ้าดีต่อพี่น้องไม่เลว!”

“……พี่รองมักบอกว่าพี่ไม่ได้ช่วยที่บ้านทำงานอะไร กลับเป็นตัวถ่วง หากตายไปได้ ก็คงได้ช่วยที่บ้านได้……”

หลี่หงซุ่นขอบตาแดง หวังทงขัดจังหวะเขา เอ่ยถามว่า

“ร้านค้าบนถนนสายนี้ทำกำไรหรือไม่?”

คำถามนี้ทำหลี่หงซุ่นแปลกใจยิ่ง ลืมความเศร้า เงยหน้ากล่าวว่า

“นายท่านไม่รู้หรือว่าถนนหมายเลข 3 ถึงหมายเลข 9 ถูกเรียกว่าอย่างไร เรียกว่าถนนสายทองคำ 7 สายเลยนะ เปิดร้านบนถนน 7 สายนี้ ทองคำไหลเข้าร้านทุกวันเชียวนะ!”

หลี่หงซุ่นขอทานแถบนี้ทุกวัน คุ้นเคยพื้นที่ดี กระจ่างดีในหลายเรื่อง จะว่าไป สองคนมาหยุดหน้าร้านค้านี้ได้พักหนึ่งแล้ว และก็ไม่ได้เดินต่อไป พอเขากล่าวจบ หวังทงก็ชี้ไปยังร้านหนังสามธาราข้างหน้ากล่าวว่า

“ตอนนี้ร้านนี้เป็นของเจ้าแล้ว รอให้ปลดธงลงมาก็เปลี่ยนเป็นร้านหนังหงซุ่น จากพรุ่งนี้ไป จะมีอาจารย์มาสอนหนังสือเจ้า ปีหน้าข้าจะส่งเจ้าไปเรียนในอำเภอ”

มีร้านนี้ ก็เท่ากับมีทองคำเข้าทุกวัน ได้เรียนหนังสือในอำเภอ ก็เท่ากับได้ซิ่วไฉ มีตำแหน่งมากะทันหันเช่นนี้ มีเรื่องดีตกใส่หัวเช่นนี้ หลี่หงซุ่นได้แต่ตกตะลึงอึ้งไป เป็นนานกว่าจะคุกเข่าลงอย่างลนลาน โขกศีรษะขอบคุณ

หวังทงยิ้มดึงตัวขึ้นมา กล่าวว่า

“รับปากพี่เจ้าไว้ วันนี้ข้าทำให้หมดแล้ว เจ้าเขียนจดหมายตอบสักหนึ่งฉบับก็แล้วกัน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version