Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 610

ตอนที่ 610 เช้ามืด

ดาบพัวเตาในมือหวังทงใช้แบบทวนสั้น แทงเข้ากลางลำตัว ขันทีตรงหน้าสวมเสื้อผ้าฝ้ายเท่านั้น บางชั้นเดียวจะรับคมดาบพัวเตาได้อย่างไร

ทุกดาบที่แทงออกไป อีกฝ่ายเลือดสาดพุ่งกระฉูด ล้วนส่งเสียงร้องโหยหวน ลานด้านหน้าที่กว้างขวางยามนี้ดูคับแคบขึ้นมาในทันที ขันทีที่บ้าคลั่งพากันกรูเข้ามาจากด้านหลัง

ความจริงหวังทงสังหารไปแค่ 7 เท่านั้น หากถอยไป 5 ก้าว แม้แต่พวกหลี่หู่โถวก็ถอยตาม พวกเขาสังหารไม่มหยุด แต่ในลานนั้นเบียดกันแออัดไป อาวุธยาวแทง ออกแรงแกว่งขวาน ก็ย่อมต้องใช้พื้นที่สร้างแรงก่อน

สองคนบนหลังคาก็หยุดยิง แม้ว่ามองจากที่สูง แม้ว่าล้วนเห็นเป้าหมาย แต่เฉินต้าเหอกับอีกคนก็หยุดยิง

คนด้านล่างชุลมุนมาก หากไม่ระวังอาจทำร้ายผิดคน ก่อนมาที่นี่หวังทงกำชับว่า คนในวังมาด้วยกันน้อย แต่ละคนล้วนเป็นกำลังต่อสู้ที่มีค่า จะต้องเลี่ยงภัยให้ดี

ขวานในมือซุนซิงเปลี่ยนเป็นทวนขวานแล้ว จะแทงหรือจะฟันก็ได้ หัวทวนขวานนั้นหนักราวสามชั่ง ฟังแล้วเบา แต่หากตวัดฟันลงไป ที่ถูกฟันย่อมกระดูกแตกละเอียด ไม่ต้องพูดถึงคมของขวาน ที่แหลมคมมาก ศพด้านหน้าเขาเกลื่อนกลาด ราวกับว่าไม่มีผู้ใดทะลุผ่านเขาไปได้

แต่ซุนซิงก็ยังถอยไม่หยุดเช่นกัน เขาต้องเคลื่อนไหวหรือไม่ก็ต้องขยับอาวุธเพื่อให้มีแรงส่ง แต่คนกรูเบียดกันเข้ามา ฟันไป แทงไป หลังทุกการเคลื่อนไหวผ่านไปก็ยังต้องถอย ไม่เช่นนั้นไม่อาจใช้อาวุธได้ ขันทีด้านหน้าผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเอาขวานมาจากไหนวิ่งปรี่เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

สองแขนซุนซิงตวัดไปด้านหน้า แทงทะลุอกขันทีผู้นั้นทันที ย่อมเกิดเสียงร้องดังโหยหวน แต่หลังขันทีผู้น้นกลับมีคนคิดลงมือตามมา ทวนขวานของซุนซิงไม่อาจชักกลับมาทัน ยังแทงคาอยู่ที่หน้าอกขันทีผู้นั้น ส่งเสียงตะโกนกรีดร้องดัง หากถูกเสียงโดยรอบกลบไว้สิ้น ทว่าขันทีนั่นหันหลังไม่มองอันใด?? ด้านหลังมีคนผลักเขา คนล้มลงทั้งยืน ศพยังห้อยคาทวนขวานดึงไม่ออก มีคนก้าวออกมา พุ่งใส่ซุนซิง

ในวินาทีนั้นเอง ซุนซิงก็โยนขวานทิ้ง มือขวาเอื้อมไปด้านหลัง คว้าขวานสั้นออกมา อีกฝ่ายตรงหน้าเป็นองครักษ์สวมหมวกขันที ที่เอาแต่หลบอยู่หลังฝูงชน ยามนี้อยู่ ๆ ปรากฏตัวออกมา เงื้อดาบก้าวมาด้านหน้า

เบื้องหน้าคือซุนซิง แต่คนผู้นั้นอยู่ ๆ ก็ไม่รู้จะฟันลงตำแหน่งใดดี เกราะเหล็กทัพหมิง ไม่ว่าเกราะผ้าหรือเกราะขดลวดก็ล้วนมีช่องโหว่ หากคู่ต่อสู้ด้านหน้าเหมือนกระบอกเหล็ก มีแต่ใบหน้าที่โผล่ออกมามีแค่ตากับจมูกและปาก

ดาบเงื้อขึ้น คิดจะแทงก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำอย่างไรดี องครักษ์ผู้นั้นกัดฟันฟันใส่ไหล่ซุนซิง ซุนซิงไม่หลบ หากยังยกขวานฟันใส่ไหล่อีกฝ่ายด้วย

‘ตึง’ ‘ฉับ’ สองเสียงดังพร้อมกัน ดาบหักคาเกราะเหล็กซุนซิง หากขวานซุนซิงกลับไร้สิ่งกีดขวาง ตัดผ่าเกราะผ้าและหนังไปทันที หน้าขวานสั้นเหมือนจะฟันผ่านลำคอและไหล่ออกไป ฟันศัตรูล้มลงตรงหน้าทันที

ซุนซิงชักดาบสั้นยาวสองเชียะออกมาจากเอว คำรามดังก่อนจะพุ่งออกไป ขวานสั้นในมือขวาก็ฟันปาดไป ดาบสั้นมือซ้ายก็แทงอกไป เขาถอยไปเจ็ดก้าว ตอนนี้เขาก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว!!

ในยามนั้นเอง ทวนยาวในมือพวกหลี่หู่โถวก็แทงใส่ศัตรูตรงหน้า ร่างแขวนอยู่บนทวนยาว

ทวนยาวถูกร่างดึงให้เอียงลง คนด้านหลังก็รีบกรูกันขึ้นหน้ามา ทวนยาวก็ไม่ทันได้ชักกลับ ในลานนั้นนอกจากศพแล้วก็มีแต่พวกบ้าคลั่งที่กรูกันเข้าใส่ มีทวนยาวในมือ ระยะห่างราวแปดเชียะ ในใจก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ตอนนี้ทวนยาวยังมีศพเสียบคาไว้ ไม่อาจแทงสังหารได้อีก หลี่หู่โถวกับลี่เทาปล่อยทวนคว้าดาบ อีกสามคนกลับช้ายิ่ง

ช่องว่างตอนนี้ ช้าไปเล็กน้อยก็มีภัยถึงชีวิต เบื้องหน้าพวกเขามีคนคว้าดาบวิ่งเข้ามา แม้เกราะจะดี แต่อย่างไรก็มีช่องว่าง พวกที่วิ่งเข้ามาคว้าดาบแทงเข้าใส่ มุ่งมาที่ช่องว่างของชุดเกราะ หลี่หู่โถวกับลี่เทาชักดาบฟันไปด้านหน้า คนที่บุกมาด้านหน้าคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะปฏิกิริยารับมือเร็วเพียงนี้ ตัวนั้นถาเข้าใส่แล้ว จะหันมาเอาอาวุธรับมือก็ไม่ทัน ถูกฟันลงกลางหน้าผาก

มือธนูบนหลังคายามนี้ไม่สนใจว่ายิงถูกหรือผิด สองดอกยิงลงมา เข้าถูกอีกสองคนล้มลง ยังเหลืออีกหนึ่ง ตอนนี้เห็นท่าไม่ทันแล้ว แต่ข้างกายเขาคือหวังทง

การต่อสู้ระยะประชิดเช่นนี้ ดาบพัวเตาในมือหวังทงย่อมทรงประสิทธิภาพสูงสุด พวกที่ถาโถมมาด้านหน้าเขาย่อมฟันเข้ากลางลำตัว แต่ดาบพัวเตานี้สั้นกว่าทวนยาวและทวนขวาน ขันทีข้างๆ ถูกคนด้านหลังผลักขึ้นมา มือซ้ายก็ยก มือขวาก็กด ดาบพัวเตาฟันเข้าใส่ทันที

ขันทีที่ถูกดันหลังขึ้นมารับคมดาบพอดี จากนั้นดาบก็ตวัดขึ้น ฟันกลางหน้าอกผู้นั้นเปิดออก เลือดเนื้อปลิวกระจาย คนล้มลงกับพื้นทันที

ดาบหวังทงตวัดมา เห็นด้านหน้าอยู่ ๆ ก็มีองครักษ์ มือหวังทงยังคงไม่หยุด ยกดาบตวัดซ้ำไปด้านหน้าอีกที องครักษ์ที่พุ่งออกมาไม่ทันได้ตั้งตัว ดาบก็ฟันใส่หน้าเสียแล้ว ดาบพัวเตาคมกริบฟัน ‘ฉับ’ คอขาดกระเด็นลอยไปอีกทาง

หัวคนถูกฟันขาด เลือดสดอุ่นๆ พุ่งออกมารอบทิศ เปื้อนใส่ตัวหวังทงที่อยู่ตรงข้าม หากเป็นคนปกติก็ย่อมหลบโดยสัญชาตญาณ หากหวังทงยังเดินขึ้นหน้า สองแขนตวัดวาด ดาบพัวเตายังคงฟันเข้าใส่

องครักษ์ที่แอบซุ่มด้านหลังก็หลบไม่ทัน กำลังจะลงมือ ดาบใหญ่ก็ฟันเข้าใส่ก่อนแล้ว ฟันแสกหน้าพอดี คนผู้นั้นล้มลงกับพื้นทันที ขุนพลกองกำลังหู่เวยตรงข้ามเขาเริ่มได้สติ ชักดาบออกแทงใส่ทันที

เวลาสั้นๆ แค่นี้ พวกขันทีและองครักษ์ล้มลงไปสิบกว่าคน แต่นอกจากดาบพัวเตาในมือหวังทง ในมือคนอื่นๆ ก็เหลือเพียงดาบสั้นติดตัวและขวานสั้นเท่านั้น ในสมรภูมิรบดุเดือดนี้ คนที่มาทีหลังก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง

ยังมีขันทีและองครักษ์กรูกันออกมาอีก นอกจากในลานที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง ที่เหลือรอบทิศล้วนมืดมิด ภาพคนเลือนรางไม่รู้ว่ามากเท่าไร แต่หวังทงไม่ได้ยินเสียงกระโดดลงพื้นอีกแล้ว หากโจรก็มากเพียงนี้แล้ว

“คนพวกนี้ไม่มีอาวุธยาวแล้ว พวกเราบุกเข้าไปล้อมฆ่าพวกมัน!”

เสียงด้านหลังตะโกนดังแหลมมา เสียงยังตะโกนไม่จบ หวังทงก็บุกไปถึงหน้า ยกดาบพัวเตาฟันเข้าใส่ทันทีด้วยสองมือเต็มแรง

พวกหวังทงไม่มีอาวุธยาว และคนยังน้อยกว่า ตามหลักแล้วควรจะหลบถอยกลับไป คิดไมถึงว่าหวังทงถึงกับบุกเข้าใส่อีก พอดาบในมือยกขึ้น ขันทีตรงข้ามก็ยืนงง ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดาบฟันฉับ หัวคนสามสี่หัวกระเด็นหลุดไป คนด้านหน้าและหลังล้วนเปื้อนไปด้วยเลือดอุ่นๆ

บรรยากาศบ้าคลั่งแต่ต้นก็เมหือนจะเริ่มนิ่งลงด้วยการจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ มีคนอุทานว่า “มารดาท่าน” ดาบก็ฟันเข้ามาตรงหน้าแล้ว

หวังทงอาศัยจัวหวะนี้กลับเข้าสู่แถวตน หลายคนถืออาวุธสั้นในมืออยู่ตรงหน้า ทวนยาวถูกศัตรูเหยียบไว้แล้ว เก็บขึ้นมาไม่ได้แล้ว

ศัตรูมากกว่าพวกหวังทงสิบกว่าเท่า เห็นได้ว่าเลือดสดอาบชุดเกราะเหล็กไปหมดแล้ว ยามนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าก้าวขึ้นหน้า ถึงกับยืนตัวแข็งกับที่

“พี่น้องทุกคน เจ้าว่านลี่อยู่ในห้อง ได้แตะต้องโลหิตมังกร ทุกคนก็จะได้เป็นเซียน ทุกคนจะได้วาสนาใหญ่!!”

ด้านหลังมีคนส่งเสียงตะโกนแหลมดังมา พอตะโกนเช่นนี้ ฝูงชนก็เคลื่อนไหว ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงธนูบนหลังคาก็ดังแหวกอากาศมา สองเสียงร้องโหยหวยดังขึ้น เงียบไปชั่วขณะ

“ต้าเหอ เยี่ยม!!”

หลี่หู่โถวด้านล่างหัวเราะชม ส่งเสียงหัวเราะดังสองเสียงก่อนจะกระแอมไอ หวังทงจ้องไปยังศัตรูด้านหน้า ได้ยินเสียงคนของตนข้าง ๆ หายใจหนัก เมื่อครู่ประจัญบานไป ทุกคนกำลังเหน็ดเหนื่อย เกราะหวังทงด้านในตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในยามนี้พวกโจรแม้ว่ามากกว่า หากความฮึกเหิมถึงกดทับไว้แล้ว

“เจ้าพวกลูกสุนัข แน่จริงก็เข้ามา ข้าเตรียมธนูรอ……”

เฉินต้าเหอบนหลังคาส่งเสียงหัวเราะดัง กล่าวไม่ทันจบ เสียงธนูก็ดังข้ามมาอย่างเร็ว หากธนูนี้ไม่ได้ยิงมาจากหลังคา หวังทงหันไปมองอย่างตกใจ

มีคนหนึ่งบนหลังคาร่วงลงมา อีกคนยังไม่รู้ว่าเหตุใด หวังทงไม่กล้าเสียสมาธิ หันไปมองศัตรูที่เงอะงะอยู่ ตะโกนดังว่า

“ต้าเหอ เป้าจื่อ พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!!”

“ใต้เท้า!! เป้าจื่อโดนยิงเข้าที่อก ข้า……บ่าซ้าย……”

เฉินต้าเหอตอบเสียงแหบพร่า มือธนูสวมเกราะอ่อน ไม่อาจทานลูกธนูได้ เป้าจื่อเงียบไป น่าจะร้ายมากกว่าดี ในตอนนั้นเอง ก็มีโจรด้านหลังตะโกนดังว่า

“คืนพลังหยางอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกมารพวกนี้ไม่มีกำลังแล้ว จะว่าไป มาถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่าทุกคนยังคิดจะหันหลังกลับ!!”

ตะโกนจบ บรรดาขันทีและองครักษ์ที่ก่อการก็พากันเงียบ เสียงร้องตะโกนบ้าคลั่งดังขึ้น กรูกันเข้าหาพวกหวังทงฃ

“ด้านหลังเป็นแผ่นดินหมิงเรา สู้ตาย!!”

หวังทงก็ตะโกนดังเช่นกัน ขุนพลกองกำลังหู่เวยคำรามดัง ชักดาบเข้าฟาดฟัน

************

ในตอนนี้ทางนี้กำลังฆ่าฟันกันนั้น รอบตำหนักฉือหนิงกงเงียบลงแล้ว องครักษ์ในชุดพร้อมรบล้อมรอบไว้แล้ว ตำหนักฉือหนิงกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน ขุนพลนายหนึ่งในชุดเกราะพร้อมอาวุธ ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นควันไฟ กำลังอารักขาอยู่หน้าตำหนัก ข้างๆ เป็นเฝิงเป่า เฝิงเป่าที่ปกติวางท่าวางทางใหญ่โตนั้นไม่เห็นแล้ว ปลายชุดถูกเผาไหม้เป็นรูหลายแห่ง

เสียงฝีเท้าด้านในดังขึ้น ขุนพลและเฝิงเป่ารีบคุกเข่าลง ได้ยินเสียงนางกำนัลจิ่นซิ่วรีบร้อนกล่าวว่า

“พระวรกายไทเฮาดุจทองคำ ด้านนอกกำลังไม่สงบเช่นนี้ ขอไทเฮา……”

‘ฉาด’ ถึงกับตบหน้าไปอย่างแรง คนโดยรอบพากันคุกเข่าลง ไทเฮาฉือเซิ่งตวาดสุรเสียงกริ้วหนักว่า

“เหลวไหล!! นี่มันเวลาอะไรแล้ว!!”

ม่านด้านหน้าเปิดขึ้น เสียงฝีเท้ามายังหน้าเฝิงเป่าและขุนพลผู้นั้น ชายหญิงมีระยะห่าง ไทเฮานอกจากคนในราชวงศ์แล้ว ล้วนต้องปิดม่านพูดคุย คืนนี้เป็นคืนพิเศษ ถึงกับก้าวออกมาฃ

“หัวหน้าองครักษ์เฉาอี้ เงยหน้าขึ้น!!”

ได้ยินสุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งตวาดดัง ขุนพลผู้นั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นลนลาน

“กระหม่อมเฉาอี้ถวายบังคมไทเฮา!!”

ไทเฮาฉือเซิ่งที่ปกติจะใส่พระทัยกับการแต่งกายยามนี้กลับแปลกไป ในชุดบรรทมสีขาว พระเกศายุ่งเหยิง ด้านนอกคลุมทับด้วยชุดสีเหลืองเท่านั้น พระพักตร์ไม่ได้ผัดแป้ง สีพระพักตร์บึ้งตึง เฉาอี้ไม่กล้ามองเอาแต่ก้มหน้าลง ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสถามเสียงเข้มว่า

“เฉาอี้ ปู่เจ้าได้รับตำแหน่งป๋อด้วยความดีความชอบรบชายแดน บิดาเจ้าไม่ได้ตำแหน่งสืบทอด เจ้าตอนนี้ก็ไม่ได้ตำแหน่งสืบทอด เจ้าโกรธแค้นข้าหรือไม่?”

เฉาอี้โขกศีรษะหลายที ทูลหนักแน่นว่า

“กระหม่อมมีวันนี้ได้ ก็ด้วยพระเมตตาไทเฮา ซาบซึ้งในพระกรุณายิ่งแล้ว จะมีความโกรธแค้นได้อย่างใด!!”

ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสถามเสียงเข้มต่อว่า

“เฉาอี้ เจ้าเป็นขุนนางภักดีหรือไม่!!?”

“กระหม่อมภักดียิ่ง!!”

ไทเฮาฉือเซิ่งเงียบไปก่อนตรัสว่า

“นำราชโองการเราไป เฉาอี้นำทหารองครักษ์ไปยังตำหนักพระสนมเจิ้งคุ้มกันฝ่าบาท ในวังให้ประกาศปิดพื้นที่ หากไม่อยู่แต่ในห้อง ไม่ว่านางกำนัล ไม่ว่าผู้ใด ล้วนตัดหัวทิ้งก่อนรายงาน ไม่ต้องรับผิดชอบ เฉาอี้ ข้าจะวางใจเจ้าได้หรือไม่?”

สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งเฉียบขาด เฉาอี้โขกศีรษะอย่างแรง ทูลเสียงดังว่า

“ขอไทเฮาโปรดวางพระทัย กระหม่อมขอถวายชีวิต แม้ตายก็ไม่เสียดาย!!”

“รีบไป รีบไป!!”

เฉาอี้รีบลุกขึ้น ถอยออกไป เฝิงเป่ารีบทูลว่า

“ไทเฮาทางนี้ก็ต้องการความปลอดภัย……”

กล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกไทเฮาฉือเซิ่งยกพระหัตถ์ปรามตรัสว่า

“ทิ้งไว้ที่นี่ 10 คน ที่เหลือนำไปอารักขาฮ่องเต้ อย่าได้เสียเวลา เฉาอี้ หากครั้งนี้อารักขาสำเร็จ ข้ารับปากจะพระราชทานบรรดาศักดิ์เจ้า!!”

เฉาอี้อึ้งไป ก้มกายถวายบังคม รีบออกไป ไทเฮาฉือเซิ่งหายใจหนักหน่วง ด้านนอกได้ยินเสียงเฉาอี้ตะโกนเคลื่อนกำลังองครักษ์

เฝิงเป่ากำลังกล่าวอันใด หากถูกไทเฮาจ้องมองมาด้วยสายพระเนตรเฉียบขาด จึงรีบหบุดทันที ไทเฮาหายใจนิ่งลง ตรัสสุรเสียงดังว่า

“เฝิงเป่า เจ้าส่งคนตราคำสั่งนี้ออกจากวังไปเคลื่อนกำลังหทารเข้าวังมา ล้อมโรงฝึกเหนือไว้ นำคนจากสำนักบูรพาไปด้วย หากมีทหารไม่ทำตามตราคำสั่ง ให้ประหารทันที รีบไป!! รีบไป!!”

สุรเสียงเฉียบขาดตรัสจบ เฝิงเป่าคำนับรับพระบัญชา รีบออกไป พอเฝิงเป่าออกไป ไทเฮาฉือเซิ่งเหมือนยังไม่อาจสงบพระสติอารมณ์ที่คุกรุ่นได้ พระวรกายโงนเงนอ่อนยวบลง ดีที่จิ่นซิ่วอยู่ด้านหลัง รีบเข้ามาประคองอย่างลนาน กำลังคิดจะตะโกนเรียกหมอหลวง ก็ถูกไทเฮาฉือเซิ่งโบกพระหัตถ์ห้ามไว้ ตรัสสุรเสียงอ่อนแรงว่า

“จิ่นซิ่ว นำคนห้าคนไปที่อ๋องลู่……รีบไป!!”

*************

“ข้าคว้าซาลาเปาได้สองสามลูกก็รีบวิ่งหนี ซูฝูถูกคนตามมาตีได้ทัน ข้ากับซูไฉวิ่งกลับมา ซูไฉอยากกินมาก ข้าไม่ให้ คิดจแต่ว่าต้องให้ซูสี่กับซูโซ่วได้กิน……คิดไม่ถึงว่าพอกลับมา ก็เห็นซูสี่กับซูโซ่ว……ถึงกับ……ถึงกับถูกตัดแล้ว……แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ……เขาสองคนเป็นเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ ไม่มีคนห้ามเลือด……ข้ายังจำได้ เลือดนั่นร้อน……ร่างกายเย็นเยียบแล้ว……”

อ๋องลู่บนเตียงราวกับหลับแล้ว หากหนังตากระตุก หลินซูลู่ราวกับจมอยู่กับเรื่องราวของตน กล่าวพึมพำว่า

“……เด็กน้อยตัวเล็กเพียงนั้น พวกเขาลงมือได้อย่างไร หัวหน้าในวังบอกว่ากินอันนั้นแล้วจะคืนพลังหยางได้ พวกข้างนอกก็จับตาดูน้องชายสองคนของข้าไว้ ช่างน่ารันทดเสียจริง……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version