Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 621

ตอนที่ 621 ไม่เหมือนวันวาน ผู้ใดเป็นมหาอำมาตย์

หยางซือเฉินกล่าวจบก็ออกไปเรียกคนด้านนอก เซวียจานเยี่ยเดินเข้ามา ก็เหมือนเป็นการนัดพบแบบเข้าคิวไปโดยปริยาย นายกองร้องสำนักบูรพาเซวียจานเยี่ยเข้ามาก็ประสานมือคำนับ ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังสร้างความชอบใหญ่ในครั้งนี้ อำนาจวาสนาย่อมรอท่านอยู่ ข้าน้อยขอแสดงความยินดีด้วย!”

หวังทงยิ้มก้าวเข้าไปต่อยเข้าที่ไหลเซวียจานเยี่ยหนึ่งที กล่าวว่า

“เจ้าและข้าคนกันเอง ไยต้องกล่าววาจาเหินห่างเช่นนั้น ข้ามีวันนี้ได้ ก็เพราะทุกคนร่วมช่วยกันมา”

กับนายกองร้อยสำนักบูรพา หวังทงมีท่าทีสนิทสนมมาก เซวียจานเยี่ยก็ยังคงนอบน้อม สองฝ่ายกล่าววาจากันตามมารยาท ก่อนเซวียจานเยี่ยจะมีสีหน้าจริงจังกล่าวว่า

“ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งคดี สำนักบูรพาเมื่อคืนสอบปากคำพวกลัทธิไตรสุริยัน มีคนบอกว่าหลินซูลู่มีน้องชายอีกสองคน หลินซูลู่อยู่ในวัง หลินซูฝูและหลินซูไฉอยู่นอกวัง หลินซูไฉนั้นใต้เท้าอาจรู้จัก เมื่อก่อนเขาใช้ชื่อไฉฝูหลิน”

ได้ยินชื่อนี้ หวังทงก็อึ้งไป พี่น้องตระกูลหลิน ลัทธิไตรสุริยันนี่ก็ช่างจองกรรมกับตนเสียจริง เกี่ยวสัมพันธ์กันลึกซึ้งเช่นนี้ จากเมืองหลวงไปถึงเทียนจิน ล้วนมีสายสัมพันธ์กัน หลินซูลู่ตายไปแล้ว หลินซูฝูและหลินซูไฉยังอยู่หรือไม่กัน เมื่อวานตนยังกล่าวกับหลี่ว์วั่นไฉว่าให้สำนักรักษาความสงบสืบต่อให้ดี คิดไม่ถึงว่าววันนี้จะมีข่าวเกี่ยวข้องกันเช่นนี้ เซวียจานเยี่ยกล่าวต่อว่า

“คืนก่อนที่เกิดเหตุ ในวังนอกวังจับตัวคนร้ายที่ยังไม่ตายได้ หลินซูฝูน่าจะอยู่คุมปฏิบัติการในเมือง ส่วนหลินซูไฉน่าจะคุมนอกเมือง มีคนเคยเห็นเขา หากตอนนี้หลินซูไฉหายตัวไปหลายวันแล้ว ก็เท่ากับรากเหง้าของความชั่วยังคงแอบซ่อน ข้าจึงมาแจ้งใต้เท้าหวัง ยังต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

หวังทงรีบประสารมือขอบคุณ ในใจรู้สึกหนักอยู่หลายส่วน เซวียจานเยี่ยมองออกว่าสีหน้าหวังทงเปลี่ยนไป ก็กล่าวว่า

“ตอนนี้สำนักบูรพา องครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียน ศาลอาญาใหญ่ ก็ล้วนร่างภาพคนร้ายพวกนั้นแล้ว ออกค้นหารอบทิศ แต่ใต้เท้าหวังเองก็รู้ คนพวกนี้แอบซ่อนมานานปี หากจะหนีเกรงว่าคงจับตัวยาก……ข้ายังมีงาน ขออำลาก่อน!”

วันนี้เซวียจานเยี่ยมาบอกเรื่องพวกนี้ เห็นหวังทงกำลังจะได้ดิบได้ดี สร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดสักหน่อย มาเตือนสักหน่อย พวกที่ยังไม่กำจัดตัดรากทิ้งพวกนี้มีความแค้นใหญ่ สามารถเป็นภัยได้

หวังทงขอบคุณ ออกมาส่งเซวียจานเยี่ยด้วยตนเอง เซวียจานเยี่ยมีกิจการที่เทียนจิน หวังทงแบ่งกำไรร้านสามธาราให้เขาด้วย ผลประโยชน์ไม่น้อย วาจามารยาทคงไม่ต้องกล่าวกันมากนัก

เซวียจานเยี่ยออกไป หวังทงเดินเข้ามาในห้อง พอนั่งลง ขันทีเมิ่งที่รออยู่ก็รีบลุกขึ้น หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า

“รบกวนเมิ่งกงกงคอยนานเลย!”

ได้ยินวาจาหวังทง ขันทีเมิ่งก็รีบก้มคำนับโบกมือกล่าวว่า

“รบกวนอันใดกัน ไหนเลยจะรับคำเรียกขานเช่นนี้จากใต้เท้าหวังได้ เรียกข้าน้อยว่าเสี่ยวเมิ่งก็พอ”

เห็นขันทีในชุดยาวสีน้ำเงิน ก็รู้ว่าระดับไม่สูงนัก หวังทงยิ้มผายมือเชิญขันทีนั่งลง ตนเองก็นั่งลง แต่ขันทีแซ่เมิ่งผู้นี้กลับนอบน้อมจริงจัง เห็นหวังทงนั่งลง เขาก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังต้องไม่คุ้นหน้าข้าน้อย ข้าน้อยเมิ่งตั๋ว หลายปีก่อนได้ฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมโจวกงกงและก็คอยติดตามรับใช้มา วันนี้นำวาจาโจวกงกงมาแจ้งใต้เท้าทราบ”

แนะนำตัวเองตามมารยาทจบ เมิ่งตั๋วก็ยิ้มกล่าวว่า

“เมื่อวานฝ่าบาทมีราชโองการ เลื่อนตำแหน่งให้โจวอี้โจวกงกงเป็นรองหัวหน้าสำนักอาชาหลวง”

นี่เป็นเรื่องใหญ่ และก็เป็นการตอบแทนความภักดีของจางเฉิง เมื่อก่อนเฝิงเป่าเป็นใหญ่ผู้เดียวในวัง จางเฉิงกับจางจิงย่อมได้แต่รักษาอาณาเขตตน ตอนนี้โจวอี้ได้เป็นรองหัวหน้าสำนักอาชาหลวงแล้ว กำลังของจางเฉิงก็สยายปีกแล้ว เท่ากับในวังอำนาจฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่มขึ้นแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดี

กล่าวจบ สีหน้าเมิ่งตั๋วก็จริงจังขึ้นกล่าวต่อว่า

“จากข่าวที่โจวกงกงได้มาเมื่อวาน บอกว่าเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยเกรงว่าคงได้เป็นมหาอำมาตย์แล้ว เรื่องนี้น่ากลัวว่าส่งผลร้ายต่อใต้เท้าหวัง เขาคงไม่ยอมให้ใต้เท้านั่งตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร!”

การตัดสินใจนี้ หวังทงได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เมิ่งตั๋วบอกมา ก็แค่ตอกย้ำเท่านั้น หวังทงก็เงียบไปครู่หนี่งพยักหน้ากล่าวว่า

“ข้ารู้แล้ว รบกวนเมิ่งกงกงกลับไปบอกโจวกงกงว่าข้าพอรู้บ้างแล้ว รู้ว่าควรทำเช่นไร!”

เมิ่งตั๋วรับก้มตัวลงคำนับกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยขอกลับเข้าวังไปรายงานก่อน ไม่ปิดบังใต้เท้า ในวังตอนนี้วุ่นวายกันไปหมด ทางโจวกงกงเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งใหม่ ก็มีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ!”

“เมิ่งกงกงเดินทางมาลำบาก ไปดื่มน้ำชาก่อน วันหน้าข้ามีเรื่องต้องรบกวนกงกงอีกมาก!”

หวังทงควักเอาทองก้อนออกมาจากกระเป๋าส่งให้ เมิ่งตั๋วรับไปหน้ำตาเบิกบาน หันหลังเดินออกไป

เช้านี้ บ้านหลี่เหวินหย่วนมีแขกมาไม่ขาด นอกจากสามคนที่มาก่อนแล้ว ยังมีแขกมาเยือนอีกจำนวนหนึ่ง เถ้าแก่ ร้านสามธาราในเมืองหลวง ยังมีพ่อบ้านสองคนจากหอฉินก่วน

หยางซือเฉินตอนนี้มีสถานะเป็นที่ปรึกษาตำแหน่ง ‘ซือเย๋(ที่ปรึกษา)’ ของหวังทง เมื่อคนเหล่านี้มาก ก็ย่อมเป็นเขาไปรายงาน หวังทง ตามความคิดหยางซือเฉิน คนพวกนี้มาเพื่อการค้า ตอนนี้เป็นเวลาสำคัญ เรื่องการทหารสำคัญยิ่ง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าพอแจ้งหวังทงไป หวังทงกลับรับแขกทุกคน

พอถึงเวลาอาหารกลางวัน หวังทงให้ลี่เทาที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเรียกนายทหารกองกำลังหู่เวยทั้งหมดกลับมา จากนั้นก็จัดรถม้าให้ บอกว่าเตรียมออกจากเมืองหลวงตอนบ่าย

การจากไปนั้นง่ายมาก หวังทงเดิมก็ไม่มีสัมภาระอันใด อาวุธพวกนั้นก็ใส่ลงหีบใหญ่ หากรถม้ามาลากกลับเทียนจินก็พอ พวกเขานั้น คนบาดเจ็บก็นั่งรถม้า คนสบายดีก็ขี่ม้า ออกเดินทางกลับได้ตลอดเวลา

เดิมต้องการพักผ่อนในเมืองหลวงหลายวัน อยู่ๆ มีคำสั่งเช่นนี้ ทุกคนก็แปลกใจ หากคำสั่งทหารถือวินัยเป็นสำคัญ และเรื่องนี้ก็ไม่มีอันใดให้ต้องลังเล ทุกคนรีบออกไปเตรียมพร้อม

ตอนกลางวันหอรุ่งเรืองก็ส่งอาหารมาให้เหมือนเช่นปกติ หากหวังทงไม่ได้ร่วมกินกับหลี่หู่โถว แต่ไปเชิญหลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนกลับมาร่วมหารือกันลำพัง

“ไทเฮาไม่อยากปล่อยอำนาจเร็วเพียงนั้น เฝิงเป่ายังอยากอยู่ตำแหน่งมั่นคงต่อ จางซื่อเหวยจึงอาศัยความต้องการของทั้งสองพอดี รับปากในเรื่องนี้ จากข่าวหลายแหล่ง ตอนจางจวีเจิ้งป่วยหนัก จางซื่อเหวยก็เริ่มช่องทางในเรื่องนี้แล้ว พวกเรามุ่งไปแต่เรื่องของลัทธิไตรสุริยัน จึงเปิดช่องโหว่ให้เขาได้”

คนในห้องไม่ได้อยากดื่มสุรา เอาแต่ฟังหวังทงวิเคราะห์ หลี่วั่นไฉหุบพัดในมือ ท่าทางร้อนใจกล่าวว่า

“จางซื่อเหวย……หากจางซื่อเหวยได้เป็นมหาอำมาตย์ เกรงว่าใต้เท้าต้องป้องกันเขาไว้ จางจวีเจิ้งหลายปีนี้ยังมีเมตตาใต้เท้าอยู่บ้าง หากวิเคราะห์การกระทำของจางซื่อเหวยหลายปีนี้ เขาไม่ใช่คนเมตตาอันใด หากวันหน้ามีปัญหากัน ทางใต้เท้า ทางเรา เกรงว่า……”

หลี่เหวินหย่วนลูบจอกสุราไปมา เงียบไม่กล่าวอันใด หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“ก็ไม่ต้องมองโลกแง่ร้ายเพียงนั้น จางซื่อเหวยสู้จางจวีเจิ้งไม่ได้ จางจวีเจิ้งสามารถตัดสินเรื่องราวในราชสำนักได้ อาศัยประสบการณ์การเข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่มาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง อาศัยชื่อเสียงที่ผลักดันแผนปฏิรูปแผ่นดินต่างๆ จางซื่อเหวยอาศัยอันใด อาศัยแค่ความซื่อสัตย์ทำงานให้จางจวีเจิ้ง? หรือว่าอาศัยบารมีที่สั่งสมตอนเป็นเสนาบดีกรมทหาร การรบชนะมองโกลหลายครั้งที่ผ่านมา หนึ่งครั้งเรารบชนะ ยังมีอีกครั้งที่ใต้เท้าชีรบชนะ ผู้ใดจะจดความดีนี้ไว้ที่เขากัน”

ก่อนอาหารกลางวัน เรื่องนี้ก็ได้รับการวิเคราะห์จากหวังทง พอกล่าวออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้หลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วนวางใจ เห็นสองคนครุ่นคิดนาน หวังทงกล่าวต่อว่า

“ไทเฮา เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งพึ่งพากันและกัน แต่ตอนนี้จางซื่อเหวยได้แต่อาศัยบารมีทั้งสอง เขาคนเดียวเปล่งบารมีไม่ได้ จะว่าไป สถานการณ์ไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว โจวอี้ได้ตำแหน่งใหม่ในสำนักอาชาหลวง กำลังฝ่าบาทในวังก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว จางซื่อเหวยคิดจะกุมอำนาจเช่นจางจวีเจิ้งนั้น เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว!”

************

วันที่ 22 เดือนหก ณ ตำหนักฉือหนิงกง

“โจวอี้ทำงานดี ไม่นำพาวาจาเหลวไหลนินทา คนหลินซูลู่แม้สมควรตาย แต่ยังคงเก็บไว้ใช้งานในสำนักอาชาหลวงก็เป็นเรื่องดี โจวอี้รู้จักเก็บไว้ ช่างไม่เลวเลย”

คนในวังไม่มาก ไทเฮาฉือเซิ่งกับนางกำนัลคู่ใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กับเฝิงเป่าและจางเฉิง หลังฮ่องเต้ว่านลี่เลิกประชุมก็ถูกเชิญมายังที่นี่ พอประทับนั่งลงทักทายกันสักสองสามคำ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ตรัสขึ้นเช่นนี้

คนที่ปรากฏตัวที่นี่ได้ ย่อมไม่ทำความเข้าใจวาจาเพียงแค่คำพูดผิวเผินที่กล่าวออกมา ตรัสชมโจวอี้ แท้จริงก็เท่ากับชมว่าจางเฉิงทำได้ดี บอกว่าจางเฉิงทำได้ดี ก็เท่ากับการให้การยอมรับฮ่องเต้ว่านลี่

ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ดีพระทัย กลับรู้สึกระวังพระองค์ขึ้นมา เหตุใดอยู่ ๆ จึงตรัสชม พอตรัสจบ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ถามเฝิงเป่ากับจางเฉิงว่าในวังกลับคืนสู่ภาวะปกติหรือยัง ในวังตายไปเท่าไร หลังเกิดเรื่องสังหารไปกี่คน สำหรับคนในห้องนี้ก็เพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น พวกเขาใส่ใจเรื่องวันหน้ามากกว่าว่าจะมีภัยแฝงเร้นอีกหรือไม่ ในวังงานแต่ละงานจะดำเนินไปตามปกติได้หรือไม่

งานพวกนี้ก็เป็นไปตามปกติ จางเฉิงระวังในเรื่องนี้มาโดยตลอด รู้ว่าจะสืบสวนอย่างไร ตอนนี้เพียงแค่จัดการไปตามปกติ ทุกอย่างราบรื่นดี

“ตำแหน่งมหาอำมาตย์ที่ว่างลง ไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดิน ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยในเรื่องนี้หรือยัง?”

ตำแหน่งมหาอำมาตย์ว่างลง ในวังขุนนางระดับสามขึ้นไปย่อมร่วมลงความเห็น เรียกว่าราชสำนักเสนอ แม้ว่าขุนนางระดับสูงเสนอ แต่ความคิดเห็นของฮ่องเต้ก็ย่อมมีน้ำหนักพอ ไม่เช่นนั้นหากเสนอไป ก็ไม่อาจอยู่ได้นาน

“ทูลเสด็จแม่ ขุนนางนำเสนอกับรายชื่อที่สำนักปราชญ์ฮั่นหลินหย่วนให้มา มีทั้ง เซินสือหัง จางซื่อเหวย เหลียงเมิ่งหลง’รวมสามคน”

ในห้องทั้งหมดได้ยินลำดับรายชื่อที่ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสมา ก็รู้ว่าทรงต้องการเลือกผู้ใด

ไทเฮาฉือเซิ่งเงียบไป ก่อนจะตรัสมาเป็นชุดว่า

“ฝ่าบาท จางจวีเจิ้งยังอยู่ จางซื่อเหวยได้ชื่อว่ารองอำมาตย์ ประสบการณ์มากมาย ขุนนางราชสำนักล้วนเห็นว่าสามารถ ครั้งนี้ยังไม่เกรงภัย ออกนอกเมืองไปนำกำลังเข้ามาช่วยคุมสถานการณ์ไว้ได้ สร้างความชอบใหญ่ มีความสามารถ และยังสร้างความชอบ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์เพียงผู้เดียว!”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ตามมาด้วยสีพระพักตร์ดำคล้ำ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสุรเสียงแข็งกร้าวว่า

“เสด็จแม่ ลูกว่าเซินสือหังเหมาะสมกว่า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version