ตอนที่ 657 แต่ละสายส่งคนมาเฝ้าจับตามองหวังทง
“กี่คน?”
“สามคน มาจากทางเมืองหลวง อยู่รอบๆ ลอบจับตาเราอยู่ตลอด”
“จับตัวเข้ามา!”
ทหารที่เข้ามารายงานอึ้งไป ตามมาด้วยประสานมือรับคำสั่ง หันหลังออกไป หวังทงเข้าใจจิตใจลูกน้องดี ตอนอยู่เทียนจินเป็นพื้นที่ตนเอง ย่อมใจกล้า ตอนนี้ใกล้เมืองหลวงเข้าไปเรื่อยๆ หลายเรื่องต้องกระทำการด้วยความระมัดระวังรอบคอบ
พอทหารออกไป หวังทงยิ้มก็ยิ้มให้พวกสื่อชีกล่าวว่า
“จับพวกเจ้าขังไว้ก่อน รอให้ม้าเร็วไปถามอู๋ต้ากระจ่างก่อน ค่อยกลับมาจัดการต่อ”
สื่อชีเข้าใจดี ได้แต่โขกศีรษะรับคำ ทางเฉินต้าเหอสั่งคนมาพาพวกสื่อชีออกไป หวังทงสั่งการถานเจียงว่า
“ส่งคนไปถามที่เทียนจิน สื่อชีพูดมานี้เป็นความจริงหรือไม่ หากจริงก็ค่อยว่ากัน!”
ถานเจียงได้รับคำสั่งก็ออกไปสั่งการ หวังทงนำพวกหม่าซานเปียวเดินออกไป มีบางอย่างเสียไปได้คืนมา การเตรียมการเดินทางล่าช้าออกไปหน่อย ลานด้านหน้าเริ่มตีกลองตีฆ้องให้เตรียมพร้อม
หวังทงไปดูคนที่มาแอบสอดส่อง ระหว่างทางไม่เพียงแต่เจอขโมย ยังถึงกับเจอกับคนมาแอบสอดส่อง ก็แค่ไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง ไยต้องมีเรื่องมากมายเช่นนี้ด้วย
พอมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ก็เห็นทหารม้าสิบกว่านายขี่กลับมา ด้านหน้ามีมีชายหน้ำตาบวมปูดสามคน ล้มลุกคลุกคลานเดินมา
“ใต้เท้า สามคนนี้เป็นพวกที่มาแอบสอดส่อง เมื่อครู่ไล่ตามไปพวกมันคิดหนี!”
ทหารรายงาน ชายทั้งสามอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเขียว ที่เอวมีสายรัดไว้ ยังมีผ้าปิดปาก ยังมีหมวกอีก การแต่งกายเช่นนี้หวังทงจำได้ เห็นได้ว่าเป็นการแต่งการแบบคนงานในจวนคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง
“เจ้าพวกบัดซบ เห็นใต้เท้าเรายังไม่คุกเข่า!”
ทหารด้านหลังตวาดขึ้น ชายสามคนนั้นก็เข่าอ่อนยวบคุกเข่าลงกับพื้น หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ยิ่งใกล้เมืองหลวง ก็ยิ่งมีพวกงี่เง่ามาก่อกวน พวกเจ้าเป็นใคร ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา?”
เขาถามเสียงนิ่ง ชายสามคนสบตากันไปมา ไม่กล่าวอันใด หวังทงขี้เกียจสนใจ โบกมือสั่งการว่า
“มัดขึ้นรถ ไปถึงเมืองหลวงส่งเข้าคุก ค่อยๆ สอบสวน ทุกคนเตรียมพร้อม พอถึงเมืองทงโจวพักผ่อนกันให้สบายสักวันค่อยออกเดินทางเข้าเมืองหลวง!”
ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง มีคนลงจากม้ามาจับมัด พอได้ยินมาเข้าคุกสอบสวน ต้องถูกองครักษ์เสื้อแพรจำคุก นั่นเป็นอะไรที่ไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนังออกแน่น ทั้งสามคนรีบตะโกนดังว่า
“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยเป็นผู้ติดตามใต้เท้าเฉินเกอแห่งกรมสอบสวน!”
คนหนึ่งตะโกนดัง อีกสองคนก็ตะโกนตามมาติดๆ ว่า
“ข้าน้อยเป็นคนของใต้เท้าเถาเฉิงชุนแห่งสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน……”
“ข้าน้อยหวังเจ้าจิ้งแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน……”
ได้ยินสถานะทั้งสาม หวังทงก็ขมวดคิ้วหันไปถามว่า
“เจ้ากรมและรองเจ้ากรมแห่งกรมสอบสวน ข้าจำไม่ได้ว่ามีคนชื่อเฉินเกอ เจ้าแอบอ้างชื่อหรือ?”
“……ไม่ใช่……ไม่ใช่ ใต้เท้าเฉินเกอเป็นเจ้ากรมสอบสวนแห่งกวางตุ้ง……”
ได้ยินหวังทงสอบสวนต่อ คนที่พูดคนแรกก็รีบอธิบายละล่ำละลัก คนจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน กรมสอบสวน ล้วนเป็นขุนนางบุ๋นระดับหกเจ็ด นอกจากขุนนางสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนที่พอมีอนาคตแล้ว ที่เหลืออีกสองคนล้วนมีตำแหน่งต่ำต้อยในหน่วยงานขุนนางบัณฑิต ในเมืองหลวงนั้นตำแหน่งนับว่าไม่เท่าไร
ทั้งสามคนดูแล้วมาจากหน่วยงานต่างกัน หากมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือพวกเขามีเจ้านายอยู่เมืองหลวงในหน่วยงานที่ได้ชื่อว่า ‘ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว’ เป็นพวกที่สามารถยื่นฎีกาเสียดสีฮ่องเต้และมหาอำมาตย์ได้ เป็นขุนนางบัณฑิตที่พูดอะไรก็ได้ไม่มีความผิด ที่ผ่านมาล้วนเป็นคนพวกนี้เป็นออกหน้าเคลื่อนไหวและเข้าร่วมเคลื่อนไหวในเมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ
การมาลอบส่องเป็นเรื่องเลวร้าย แต่เหตุใดพวกนี้จึงส่งคนมาที่นี่ หวังทงเป็นขุนพลคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ไรมาไม่เคยดีในสายตาคนพวกนี้ หวังทงในใจนั้นกระจ่างดี
เห็นหวังทงลังเล ทหารที่จะเข้าจับมัดก็หยุดมือ ทำให้สามคนนั้นคิดว่าหวังทงเริ่มคิดกลัว จึงได้ตะโกนอย่างสุดชีวิตว่า
“ใต้เท้า ข้าน้อยแค่มาปฏิบัติหน้าที่ พบกับขบวนใต้เท้า อดไม่ได้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงเข้ามาลอบมอง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนใต้เท้าจับ ข้าน้อยยังต้องไปทำงานอีก ขอใต้เท้าปล่อยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยกลับเมืองหลวงไปย่อมไม่พูดมาก”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงอดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า
“พวกเราต้องคิดว่าข้ากลัวเจ้านายพวกเจ้าใช่หรือไม่ โบยคนละห้าสิบที จากนั้นสั่งไปจำคุกที่ละกัน!!”
ทั้งสามมั่นใจว่าหวังทงเกรงกลัว ที่เมืองหลวงนั้นแม้แต่ขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ยังต้องเกรงใจเหล่าขุนนางบัณฑิตชิงหลิวนี้สามส่วน นับประสาอันใดกับขุนนางบู๊ที่เพิ่งจะมาเมืองหลวงผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล้าตัดสินใจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยคน ยังมีคำสั่งให้โบย
มีคำสั่งหวังทงเช่นนี้ ทหารก็ย่อมไม่เกรงใจ จับการกดตัวลง ให้นอนราบ แล้วใช้แส้โบยอย่างแรงทันที
ลูกน้องมีม้าขี่ เห็นได้ว่าเจ้านายสถานะไม่เลว คิดแล้วว่าทั้งสามน่าจะไม่เคยลำบาก โบยไปสิบหน้าทีก็ทนไม่ไหว คนหนึ่งร้องเรียกหาพ่อแม่ แต่ไม่มีผู้ใดสงสาร โบยเสร็จก็จับมัดส่งขึ้นรถ ขบวนออกเดินทางต่อ
***********
“นายท่าน เมื่อครู่โบยเสร็จเข้าไปสอบถามต่อ สามคนนั้นเป็นคนที่เจ้านายส่งมาจับตาดูใต้เท้า เรื่องอื่นไม่มีอันใด บอกว่าให้ดูให้ละเอียดแล้วกลับไปรายงาน”
ได้ยินถานเจียงกล่าวเช่นนี้ หวังทงบนหลังม้าก็เงียบไปนาน ค่อยๆ เดินตามขบวนไป ไปสักระยะหนึ่งก็จึงได้กล่าวว่า
“มีอะไรน่าดูกัน พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาหาเรื่องก็เป็นสิ่งที่คาดไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้ ต้องดูว่าสิ่งที่เตรียมการไว้ก่อนหน้าจะใช้การได้หรือไม่”
“นายท่านได้รับความไว้พระทัยจากฝ่าบาท ย่อมมีคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็คงไม่มีอันใดเป็นอุปสรรค!”
“สามคนก็กลายเป็นพยัคฆ์ได้ คนพูดมาก แม้ว่าไม่มีเรื่องก็กลายเป็นเรื่องได้ แม้ว่าฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ แต่อย่างไรก็หากปล่อยพวกเขาพูดพร่ำไปก็ทำให้รำคาญพระทัยได้”
แม้ถานเจียงจะปลอบ แต่หวังทงก็ยังคงไม่คลายใจ
เดินมาได้ราวครึ่งชั่วยาม คนที่รู้สึกไวก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง พ่อค้าที่ตามมาด้วยกันเริ่มห่างออกไป เกรงว่าหากเข้าใกล้รถของขุนนางองครักษ์เสื้อแพรจะเป็นการนำภัยมาสู่ตนเองได้ ขบวนเดินทางหวังทงตั้งธงผืนใหญ่ประกาศชื่อเสียงเรียงนาม แต่ละคนยังอยู่ในชุดมัจฉาเวหาล้วนเป็นสัญลักษณ์เด่นชัด
แต่การเดินทางวันนี้ คนเหล่านี้เห็นชัดว่าตามขบวนหวังทงมา พวกเขาบ้างขี่ม้ามา บ้างก็เดินตามมา ถึงกับวิ่งวนอยู่รอบๆ คนพวกนี้ไม่ใช่พ่อค้าทั่วไปธรรมดา แต่ละคนแต่งกายดูดีและยังขี่ม้าไม่ชำนาญนัก
แต่งกายดูดี ขี่ม้าไม่ชำนาญ ทั้งสามคนนี้น่าจะมีสถานะเหมือนสามคนที่จับได้เมื่อเช้า ไม่รู้ว่าเป็นคนของผู้ใด
“ใต้เท้า ขบวนเราตอนนี้ล้อมรอบด้วยคนที่น่าสงสัยราว 70 กว่าคนได้ ดูแล้วเหมือนกับพวกตอนเช้าที่มา ไม่ใช่ทหารหรือพวกสายสืบกองโจร”
เฉินต้าเหอเข้ามารายงาน หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“เจ้าออกไปจับมาถามคนหนึ่ง ต้องบอกว่าเป็นคนของผู้ใดสักผู้หนึ่งในเมืองหลวง มาเพื่อทำงานให้นาย ไม่ทันระวังตัวจึงได้มาดูพวกเรามากไปหน่อย”
ได้ยินหวังทงสัพยอกเช่นนี้ เฉินต้าเหอก็อดหัวเราะไม่ได้ นี่เป็นวาจาปฏิเสธของสามคนเมื่อเช้าที่จับได้ หวังทงยิ้มกล่าวอีกว่า
“จะว่าไป รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเข้าเมืองหลวง กลับทำให้คนมากมายต้องมากลอบจับตามอง เกรงว่าข้าเองก็เกินไปสักหน่อยแล้ว”
หวังทงยังกล่าวว่า
“ตอนเด็กได้ยินพ่อข้าเล่าว่า ขุนนางนำขบวนรถผ่านมาห้ามเข้าไปชนเข้า ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก เบาก็แค่โบยให้หลาบจำ ต้าเหอ ข้าเป็นถึงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ขบวนรถเรานับว่าเป็นรถขุนนางกระมัง!”
เฉินต้าเหอพยักหน้าตอบรับ หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็นำคนออกไปจัดการ ไม่ต้องใช้อาวุธ แค่ใช้แส้หรือกระบองก็พอ ไล่แมลงวันพวกนี้ให้ไปไกลๆ หน่อย เห็นแล้วรำคาญ!!”
เดินทางมาดีๆ มาเจอกคนไม่เกี่ยวข้องเกะกะขวางทางสอดแนม ไม่ว่าเป็นใครก็คงรู้สึกไม่สบอารมณ์ เฉินต้าเหออายุน้อยจึงทนไม่ไหว พอได้ยินคำสั่งหวังทง ก็รีบตะโกนรับเสียงดังทันที เฆี่ยนม้าควบออกไป วิ่งไปก็ตะโกนสั่งการไป ให้ ‘คนงาน’ ที่ติดตามขบวนมาออกไปด้วยกัน
คนที่สอดแนมอยู่ด้านนอกยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทางนั้นส่งเสียงดัง คนพวกนี้ก็ยิ่งเข้าใกล้ คิดจะฟังดูว่าเกิดอันใดขึ้น คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ ‘คนงาน’ ที่ยังอารักขาขบวนอยู่ก็ขี่ม้าปรี่เข้ามาทางตนเอง ในช่วงเวลากระชั้นชิด คนพวกนี้ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ไม่รู้ว่ามุ่งมายังตนเอง
รอจนม้ามาหยุดตรงนี้ คิดจะหนีก็สายเสียแล้ว เมื่อครู่เส้นทางหลวงที่วุ่นวายยามนี้อยู่ ๆ กลับเอะอะดังขึ้น แต่ละแห่งล้วนมีแต่เสียงด่าทอและร้องไห้ดัง
โดนฟาดไปหลายที ผู้ใดก็ไม่กล้าอยู่ต่อ พวกที่ไวก็วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็ว พวกที่ช้าก็ร่วงจากหลังม้า มีบ้างที่วิ่งเปะปะไร้ทิศทางออกไปสองข้างทางลงไปยังที่นาด้านข้าง กระจัดกระจายวุ่นวายกันไปหมด
เห็นคนพวกนี้สภาพทุลักทุเลเช่นนี้ พวกหวังทงก็พากันหัวเราะฮาลั่น ความรู้สึกรำคาญที่ถูกล้อมสอดแนมเมื่อครู่มลายหายไปไม่น้อย หวังทงยิ้มถามถานเจียงข้างๆ ว่า
“พอข้าถึงเมืองหลวง เรื่องแรกที่ต้องจัดการเกรงว่าคงจะเป็นฎีกาจากบัณฑิตชิงหลิวพวกนี้ว่าข้าวางอำนาจบาตรใหญ่ปล่อยปละลูกน้อง ไล่ตีชาวบ้านตามท้องถนน คนโหดเหี้ยมเช่นนี้จะให้รับตำแหน่งสำคัญได้อย่างไรกระมัง”
ได้ยินหวังทงหยอกตัวเองเช่นนี้ ถานเจียงก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ
เส้นทางหลวงเงียบสงบลงไม่น้อย แต่ความเร็วของการเดินทางก็ยังไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะเสียเวลาตอนเช้าไปไ แต่ตอนกลางวัน ก็ยังไปถึงทงโจว
ทงโจวเป็นพื้นที่ที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองซุ่นเทียนหวังทง มีขบวนใหญ่มาเช่นนี้ ในเมืองนอกเมืองย่อมต้องจัดหาโรงเตี๊ยมไม่ต่ำกว่าสิบกว่าแห่ง หวังทงพักนอกเมือง วันรุ่งขึ้นค่อยเข้าเมืองหลวง
ทว่า พอถึงทงโจว สายสืบสอดแนมรอบๆ ก็ยิ่งมากขึ้น บอกว่าสายสืบสอดแนมไม่สู้บอกว่ามาล้อมวงดูขบวนหวังทงจะดีกว่า ไม่กลัวว่าจะเปิดเผยสถานะแม้แต่น้อย พากันชะเง้อหน้ามอง มองคน มองรถม้า เหมือนหาอะไรสักอย่าง คนงานโรงเตี๊ยมเห็นอะไรมามาก ก็พากันงงกล่าวว่า
“เมืองหลวงทางนั้นส่งคนมาดูอะไรกันนี่? แค่ขุนนางมารับตำแหน่ง เหตุใดจึงดูตื่นเต้นกันเช่นนี้?”