ตอนที่ 692 จากจุดเล็กเห็นจุดใหญ่
ตั้งแต่หวังทงสั่งให้อู๋ต้า อู๋เอ้อร์หาคนในวงการนักเลงมาก็เริ่มมีคนมาขอสวามิภักดิ์อยู่เรื่อย ๆ พื้นที่สำคัญเช่นเมืองหลวง พวกสถานะเป็นที่สนใจปรากฏตัวไม่เหมาะนัก คนพวกนี้ล้วนต้องจัดให้พักที่โรงบ้านหนึ่งในเทียนจินและจัดคนดูแลพร้อมฝึกฝน
คนเช่นนี้ย่อมไม่ยอมอยู่เป็นที่ และยังไม่ชินกับฟังคำสั่ง ทุกวันฝึกฝนย่อมมีคนทนไหวและทนไม่ไหว พวกที่ทนไหวก็อยู่ต่อ พวกที่ทนไม่ไหว ก็มอบเงินค่าเดินทางให้กลับไป อย่างไรก็ไม่มีค่าควรแก่การใช้งานอีก
ในบรรดาคนเช่นนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่แตกต่าง ก็คือพวกสื่อชีที่ปล้นเงินจากรถหวังทง พวกเขาสิบกว่าคนถูกนำมาเมืองหลวงไปพักที่บ้านพักใกล้บ้านหวังทง หวังทงมีคำสั่งให้พวกเขาห้ามออกจากบ้านแม้ก้าวเดียว
ด้านนอกไม่มีคนเฝ้า ทุกวันของใช้ของกินล้วนมีคนนำมามอบให้ แม้แต่ขยะก็กองไว้แค่ประตูบ้าน มีคนมาเอาไปทิ้งให้ ทำเอาน่าแปลกมาก
แต่หลายเดือนนี้ พวกสื่อชีก็ไม่ได้ออกไปไหนจริงๆ ครั้งนี้หวังทงส่งคนไปตาม ไม่เกินครึ่งชั่วยาม สื่อชีก็มาถึง
หยางซือเฉินวางบันทึกที่สนทนากับโหววั่นไฉเมื่อครู่ลงก่อนออกไป ด้านนอกรายงาน สื่อชีเข้ามา จะว่าไปก็ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือนเท่านั้น เหมือนอ้วนท้วนและขาวขึ้นกว่าตอนพบกันครั้งแรกมาก หากไม่ได้สวมเสื้อสีครามแบบคนงาน ก็คงทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายท่านของตระกูลใด
พอเข้ามา สีหน้าสื่อชีก็ตื่นเต้นเงียบๆ เห็นเขาเข้ามา หวังทงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าก็ทนได้ดีนี่นะ หลายเดือนไม่ออกไปไหนจริงๆ”
สื่อชีคุกเข่าลงกับพื้นตอบอย่างนอบน้อมว่า
“ในเมื่อนายท่านสั่งไม่ให้พวกข้าน้อยออกไป พวกข้าน้อยย่อมปฏิบัติตามคำสั่งนายท่าน”
“ได้ยินว่าทุกคืนเจ้านอนไม่ค่อยเต็มที่ พี่น้องเจ้าหลายคนคิดปีนกำแพงออกไป ถูกเจ้าจับกลับมาหมดรึ?”
“พี่น้องข้าน้อยทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าอำนาจวาสนารออยู่เบื้องหน้า ใจร้อนไปหน่อย ข้าน้อยกับพี่น้องสัมพันธ์แน่นหนา ไม่อาจทิ้งพวกเขาไปได้”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หากมีคนหนีออกไป ลูกน้องหวังทงย่อมตามไป หากไม่เข้าเมืองมาก็ย่อมไปจับตัวนอกเมือง หากเข้าเมืองมา ก็อาจสังหารทิ้ง แม้ถูกจับได้นอกเมือง ก็ย่อมถูกสอบสวนหนัก
ขังพวกเขาเอาไว้ดูว่าทนได้หรือไม่ นี่เป็นด่านแรกในการรับคนในวงการนักเลงของหวังทงมาทำงานด้วย ไม่รู้จักครอบครัวพวกเขา ไม่อาจไม่ระวัง
สื่อชีก็รู้งานมาก ไม่เพียงแต่ตนเองไม่ออกไป ยังกำราบพี่น้องตนไว้ให้กระดิกตัวไม่ได้ คนพวกนี้ใช้ชีวิตอิสระมา คนไม่น้อยย่อมไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ นับประสาอันใดกับสถานที่รุ่งเรืองเช่นเมืองหลวงนี้ ผู้ใดก็อยากออกไปเปิดหูเปิดตา มีบางคนยิ่งรู้สึกว่าการที่ใต้เท้ารับเอาไว้ก็มิได้ร่ำรวยกว่าเมื่อก่อน กลับเหมือนติดคุกแทน ไม่สู้กลับไปทำงานเดิมดีกว่า แต่สื่อชีอดทนไหว และจัดการทุกคนเอาไว้ได้
และเพราะการที่สื่อชีจัดการทุกคนได้ และอดทนได้ถึงวันนี้ วันนี้หวังทงจึงเรียกพบ หวังทงหยิบคดีหนึ่งจากบนโต๊ะ กล่าวเสียงดังว่า
“บ้านบัณฑิตหลี่ ถนนจวี้เป่า เขตปัจจิม”
กล่าวจบ สื่อชีไม่ได้ฟังความที่ตามมา ก็เงยหน้าอึ้งไป หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“คำพูดข้าเจ้าจำได้หรือยัง?”
“ข้าน้อยจำได้แล้ว บ้านบัณฑิตหลี่ ถนนจวี้เป่า เขตปัจจิม”
“เจ้าพาพี่น้องเจ้าไปสืบความนัยมาให้กระจ่าง มีบรรณาการใดเข้าบ้าง ปกติคบหาผู้ใด สืบมาให้กระจ่าง เข้าใจไหม?”
สื่อชีโขกศีรษะรับคำ หวังทงกล่าวต่อว่า
“เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ถูกทางการจับได้ ข้าจำเรื่องที่ส่งเจ้าไปทำงานนี้ไม่ได้ และก็ไม่รู้จักพวกเจ้าด้วย”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว เป็นข้าน้อยสนใจเรื่องนี้เอง จึงได้ไปสืบ”
หวังทงยิ้มพยักหน้า สื่อชีผู้นี้ใช้งานได้จริงๆ รู้การรู้งานดี จึงกล่าวว่า
“เอาไปสองพันตำลึงก่อน อย่างไรก็คงไม่ให้ทำงานเปล่า”
สื่อชีโขกศีรษะ ครั้งนี้เสียงโขกศีรษะดังกว่าครั้งก่อนอยู่สักหน่อย
***********
“ใต้เท้า ให้ครั้งเดียวสองพัน? ถุยๆ มิน่าสื่อชีตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้”
สื่อชีทำงานให้หวังทงครั้งแรก หวังทงย่อมไม่ปล่อยให้ทำงานตามลำพัง พวกสื่อชีจับตาดูบ้านบัณฑิตหลี่ ยังมีอีกกลุ่มจับตาดูสื่อชี
ทุกวันจะรายงานเรื่องของพวกสื่อชีแก่หวังทง เรื่องนี้ให้หลี่ว์วั่นไฉจัดการด้วยตนเอง ส่งสายลืบสำนักรักษาความสงบไปจับตาไว้ ได้ยินว่าหวังทงให้ไปสองพันตำลึง หลี่ว์วั่นไฉอดอุทานขึ้นไม่ได้ เห็นหวังทงไม่เข้าใจ หลี่ว์วั่นไฉยิ้มกล่าวว่า
“คนในวงการนักเลงพวกนี้ ไม่ว่าขโมยหรือปล้น หรือว่าต้มตุ๋น โจรใหญ่ปีหนึ่งเหลือไม่ถึงพันตำลึง พวกสื่อชีแม้ว่ามีความสามารถ แต่ทุกปีก็คงได้ราวพันตำลึงเท่านั้น แค่นี้ก็เกรงว่าดีใจกันแทบแย่แล้ว”
“อู๋ต้า อู๋เอ้อร์ได้ไปมากกว่านี้อีก?”
“ใต้เท้าพี่น้องตระกูลอู๋เป็นหัวหน้าใหญ่ในพื้นที่ซานตง เรื่องใดๆ ล้วนต้องมาหาเขาสองพี่น้องออกหน้า ย่อมไม่เหมือนกัน ไม่มีฐานอำนาจเช่นนี้ ก็ย่อมต้องร่อนเร่หากิน ทุกปีหากได้พันตำลึง ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว”
“ก็จริง แต่ทุกปีรถขนเงินก็อาจถูกพวกเขาจ้องอยู่”
ที่หวังทงคิดเช่นนี้ก็เพราะว่ารถตนถูกพวกสื่อชีขโมยไปหมื่นกว่าตำลึง แต่พอมาคิดให้ดี ก็พบกว่าเรื่องนี้มีความไม่ธรรมดาอยู่หลายอย่าง อดหัวเราะกับตนเองไม่ได้ สองคนหัวเราะกันดังลั่น หลี่ว์วั่นไฉจึงได้หันเข้าสู่บทสนทนาหลัก กระแอมไอในลำคอก่อนกล่าวว่า
“ใต้เท้า สำนักรักษาความสงบส่งคนไป วางใจได้ที่สุด ไม่ต้องกลัวข่าวแพร่ออกไป พวกสื่อชีไปจำนำของที่ร้านพ่อตาบัณฑิตหลี่ก่อน จากนั้นก็ไถ่ถอน ไปมาหลายรอบ ก็ย่อมสนิทกับคนงานในร้าน ด้านนอกก็ทำทีส่งคนไปเดินเร่ขายของตามตรอกซอกซอย และคอยชมพวกคนงานเก่าแก่ไว้ รายงานว่าสื่อชีทำงานได้มีหลักการ ไม่ว่าเข้าไปจำนำหรือเร่ขายของ ก็ล้วนไม่ทิ้งร่องรอยไว้”
หวังทงพยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉกล่าวต่อว่า
“เขาไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเงินที่ใต้เท้าให้ไป แต่พี่น้องอายุยังน้อยของพวกเขาหลายคนกลับคิดออกไปร่ำสุรา ถูกลากกลับมา”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉก็เงียบไปก่อนกล่าวว่า
“ใต้เท้า หากต้องการสืบอันใด พื้นที่เมืองหลวง สำนักรักษาความสงบเรามีอันใดไม่ได้ ก็แค่บัณฑิตจวี่เหรินเอง ไม่มีสถานะขุนนางใหญ่อันใด จะว่าไป แม้ว่ามี ขอเพียงทำผิด ก็ย่อมสืบหาความผิดมาลงโทษได้!!”
หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“เรื่องนี้อย่าว่าแต่ท่านเลย แค่องครักษ์เสื้อแพรไปจัดการ มีหรือจะไม่ได้ความ ใช้พวกสื่อชีไปจัดการก็เพื่อดูความสามารถ เป็นการฝึกฝน อีกอย่าง เรื่องนี้ยังคำนึงถึงเรื่องอื่นอีก”
หลี่ว์วั่นไฉลังเล กล่าวว่า
“น้องหวัง เราพี่น้องไม่ควรกล่าวห่างเกิน น้องหวังตอนนี้เป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ที่จริงแล้วก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เป็นผู้ที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยที่สุด สถานะเช่นนี้ ควรใส่ใจเรื่องใต้หล้า ไมใช่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ก็แค่บัณฑิตจวี่เหริน ก็แค่คนในวงการนักเลงไม่กี่คน ไยต้องเสียเวลาลงแรงไปจัดการด้วย ชีจี้กวงกับหม่าต้งเคยคบหากับใต้เท้า เรื่องใหญ่การเมืองเช่นนี้ ควรเป็นเรื่องที่น้องหวังควรจะใสใจให้มาก!”
ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉว่ามาเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า
“พี่หลี่ว์เป็นสหายข้า วาจานี้ก็หวังดีกับข้า ข้าเข้าใจ”
หลังจากคำนับ หวังทงก็นั่งลง ยิ้มกล่าวว่า
“ขุนพลใหญ่ชายแดนใครได้ใครไม่ได้ เรื่องพวกนี้ข้าต้องใส่ใจ ก็คงเป็นการนำภัยมาสู่ตัวข้าเองแล้ว เรื่องบัณฑิตหลี่ หากมองเรื่องเดียว คงเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องทุกเรื่องล้วนจากเล็กเห็นใหญ่ พี่หลี่ว์ ท่านคิดว่าให้ศาลซุ่นเทียนรื้อคดีหลายปีนี้ออกมา เป็นการกระทำที่ไร้ที่มาที่ไปงั้นหรือ?”
หลี่ว์วั่นไฉอึ้งไป คลี่พัดออกพัดไปมาก่อนยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แล้วแต่น้องหวังละกัน”
************
สื่อชีไปสืบก็สืบได้ความมาจริง ๆ เป็นเรื่องบังเอิญ เขาจับตาดูได้ไม่กี่วัน ก็เห็นมีคนเอาของจำนวนมากมาจำนำ
บรรทุกมาด้วยรถม้า มาพร้อมกับร้องโวยวายว่าต้องการเงิน ที่บ้านมีคนป่วยต้องการด่วน มีมารดาอายุ 80 ลูกอีก 3 ขวบ และยังตะโกนอย่างเริงร่า ขนเอาของที่เก่าครึมีแต่รอยหนูแทะ ยังไม่ปัดฝุ่นทิ้งเข้าร้านไป
สินค้างวดนี้ใหญ่มากสักหน่อย ลำดับต่อมาก็ต้องขายให้กับร้านค้าในและนอกเมืองหลวง คนพวกนี้ย่อมนำรถม้าเข้ามาขนไป
แต่การที่ครอบครัวบัณฑิตระดับจวี่เหรินนำเข้าของโจรเช่นนี้ หนึ่ง ไม่เป็นที่สังเกต สอง เรื่องพวกนี้ก็ถูกต้องตามธรรมเนียม สาม บัณฑิตระดับจวี่เหรินสถานะในเมืองหลวงไม่เท่าไร แต่อย่างไรก็มีตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ทางการไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว
ปลายเดือนสี่ พี่น้องสื่อชีคนหนึ่งม้าเร็วไปเมืองเจินติ้งกลับมา มีขบวนพ่อค้าหนึ่งถูกปล้น ของกลับเหมือนกับที่เมื่อวันก่อนเอามาจำนำไม่ผิด
จากรายงาน พวกสื่อชีปีนกำแพงเข้าไปดู ของบางอย่างเก็บอยู่ในห้องใต้ดิน ส่วนพวกผ้าแพรพรรณก็ออกมาผึ่งแดดข้างนอกแทน ดูจากสภาพการใช้สารราดแล้ว น่าจะเปื้อนเลือดมามาก ต้องจัดการให้สะอาดก่อนนำออกขาย
สืบถึงตรงนี้ ก็ไม่ต้องสืบต่อแล้ว หวังทงเซ็นเอกสารคำสั่งให้สำนักรักษาความสงบกับหน่วยวินัยทหารองครักษ์เสื้อแพรออกโรง พังประตูเข้าไปนำควบคุมตัวครอบครัวบัณฑิตหลี่และพ่อตาและคนทั้งโรงจำนำ
บัณฑิตถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุม ในเมืองหลวงก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีคนสนใจ เรื่องที่เมืองหลวงสนใจที่สุดก็คือแม่ทัพเมืองจี้โจวชีจี้กวงจะถูกย้ายไปกวางตุ้ง รองแม่ทัพลี่อวิ๋นไหลเมืองเซวียนฝู่เลื่อนเป็นแม่ทัพใหญ่เมืองจี้โจว แม่ทัพใหญ่เมืองต้าถงว่างลง ก็ให้หม้าต้งไปแทนตำแหน่ง