ตอนที่ 693 ฮ่องเต้แสดงพระอำนาจ
บัณฑิตหลี่ตอนนั้นชอบออกว่าความให้ผู้อื่น อาศัยตำแหน่งจวี่เหริน ว่าความชนะได้เงินทองมาไม่น้อย
ไปๆ มาๆ ก็ไปสมคบกับโจร พวกโจรมีของโจรในมือขายไม่ออก บัณฑิตหลี่รับว่าความ ก็ย่อมส่งของพวกนี้ให้เขาแทนเงิน
เพราะของโจรไร้ราคา ดังนั้นจึงมอบให้ไปมาก แต่บัณฑิตหลี่ไม่รู้ว่าเป็นของโจร พอเห็นก็ตกใจ จึงได้สอบถาม แม้แต่คดีของโจรยังกล้ารับว่าความ พวกโจรจึงลองหยั่งเชิงถาม บัณฑิตหลี่กลับละโมบ ถึงกับรับซื้อของโจรออกไปขายแทน
เขามีตำแหน่งจวี่เหริน ทำการอันใด คนอื่นย่อมไม่สงสัย สินค้าราคาต่ำกว่าตลาดหลายเท่า ก็ขายออกอย่างรวดเร็ว
กำไรที่ได้มาก้อนนี้มหาศาล โจรนั่นจึงเห็นช่องทาง สองฝ่ายสมยอม จึงเริ่มการค้าขึ้น สินค้าโจรก็ไม่พอ เริ่มไปหามาจากถิ่นอื่น ขนถ่ายสินค้าโจรมาขายต่อ
บัณฑิตหลี่ใช้ชื่อพ่อตาออกหน้าเปิดโรงจำนำ กิจการรังโจรก็ยิ่งเติบโต เมืองหลวงมีร้านค้าเห็นแก่ของถูกไม่น้อยก็นำเข้าสินค้าพวกนี้ ถึงกับยามต้องการสินค้าใด ก็จะส่งคนมาติดต่อต่างเมืองที่ทำคดีพวกนี้เพื่อรับของมาขายต่อ
เพราะตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหริน กับการค้าที่ไม่ออกหน้า ทำให้บัณฑิตหลี่แต่ไรมาก็ได้ใจ แต่พอตอนที่องครักษ์เสื้อแพรบุกเข้าไป เขาก็รู้แล้วว่าจบสิ้นแล้ว
ตอนนี้เลี้ยงดูภรรยาไว้ 7-8 คน ยังมีลูกชายลูกสาวอีกมา ตอนองครักษ์เสื้อแพรสอบสวนไม่ต้องใช้การลงทัณฑ์มาขู่ แค่เอ่ยชื่อคนในครอบครัว บัณฑิตหลี่ก็รีบตอบมาอย่างไม่ปิดบัง
หลังกวาดล้างริบทรัพย์ตระกูลไป ยังเหลือไว้ให้บัณฑิตหลี่อีก 1,500 ตำลึง ให้ครอบครัวได้เดินทางกลับบ้านเกิด และยังเปิดโอกาสเข้าเยี่ยมบัณฑิตหลี่อย่างไม่เคยมีนักโทษคนใดได้รับโอกาสนี้
พอรู้ทางการจัดการเช่นนี้ บัณฑิตหลี่เองทำใจได้ รู้ว่าตนเองย่อมไม่มีหวังมีชีวิตต่อไป ทางการทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เขามีอันใดก็รีบพูดมา อย่าได้เล่นลูกไม้อีก
ตอนยังไม่จับกุม ทหารองครักษ์เสื้อแพรก็ไปยังพื้นที่ที่ถูกปล้น เอาคดีจากทางการมา พาเจ้าทุกข์ที่ยังมีชีวิตอยู่มา เมืองหลวง
คดีไม่พลิกแน่แล้ว บัณฑิตหลี่จึงได้สารภาพทุกเรื่องออกมา โยงใยไปถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ก่อคดีอีกส่วนหนึ่งมาดำเนินคดีได้
แต่ก็ยังคงไม่มีคนสนใจเรื่องนี้ แม้ว่าคดีจะแปลกใหม่ แต่เรื่องเช่นนี้ก็แค่บัณฑิตจวี่เหรินคนหนึ่ง พ่อค้าตายไปก็ไม่กี่สิบคนเท่านั้น เรื่องพวกนี้ ไม่อาจเป็นที่สนใจของบรรดาขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง
ปลายเดือนสี่ รองแม่ทัพลี่อวิ๋นไหลแห่งเมืองเซวียนฝู่ก็ทำตามธรรมเนียมก่อนไปรับตำแหน่งใหม่ เข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขอบพระทัยในพระเมตตา ทัพเมืองจี้โจวเกือบสองแสน ทุกปีมีเบี้ยหวัดไม่น้อยย่อมมีคนเกี่ยวข้องอยู่มากยิ่งกว่ามาก คนไม่น้อยอาศัยจังหวะที่ลี่อวิ๋นไหลเข้าเมืองไปสร้างสัมพันธ์ต่อ
ลี่อวิ๋นไหลมิใช่คนที่ไม่รู้ทิศทางน้ำใจ ย่อมมีน้ำใจมามีน้ำใจตอบ
***********
วันที่ 2 เดือนห้าหลังประชุมขุนนาง รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงยื่นฎีกา ความในฎีกานำมาซึ่งกระแสคลื่นลมแรง
ฎีกาว่า ชาวเมืองหลวงเกือบล้าน ศาลซุ่นเทียนแค่พัน ศาลอาญาใหญ่แค่สองพัน ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบในเมืองหลวงได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
เมืองหลวงแบ่งเป็นเหนือใต้ออกตก แต่ละแห่งแบ่งองครักษ์เสื้อแพรออกลาดตระเวนจับกุม การจับกุมผู้กระทำผิดและรักษาความสงบให้อยู่ใต้การดูแลของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ราษฎรฟ้องร้องก็ให้ศาลซุ่นเทียนสืบคดี ศาลซุ่นเทียนมีขุนนางสอบและตัดสินคดี มือปราบก็ส่งออกไปยังกองลาดตระเวนด้วย มือปราบเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ทำงาน พอดีสามารถช่วยงานองครักษ์เสื้อแพรในการทำคดี
องครักษ์เสื้อแพรหน่วยวินัยทหารและหน่วยฝึกทหารร่วมมือกันทำงาน สารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารกับทหารหน่วยฝึกทหารทุกวันก็จะเข้ารับการฝึก หากเมืองหลวงมีเหตุที่กองลาดตระเวนเอาไม่อยู่หรือไม่ทันการณ์ ก็จะให้ทหารสองหน่วยนี้ออกช่วยเหลือระงับเหตุ
การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับรวบอำนาจการรักษาความสงบในเมืองหลวงกลับมาอยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพร แม้ว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยให้ทุกคน แต่อำนาจที่ไม่อาจควบคุมมามีอำนาจอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะวางใจได้
‘ทำลายกฎระเบียบที่บรรพชนวางไว้’ ‘คิดการไม่ซื่อ’ วาจาต่างๆ โจมตีออกมาไม่หยุด วันรุ่งขึ้นที่ทุกคนรู้ข่าวก็มีฎีกาเต็มโต๊ะทำงานกรมฎีกา
หกกรมกองก็กำลังถกเรื่องนี้ในที่ประชุมขุนนาง แต่ไรมาก็มีแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ครานี้กลับเป็นหนึ่งเดียวกันได้ หาได้ยากยิ่ง มหาอำมาตย์เซินสือหังไม่พูดอันใด
แต่การประชุมที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ขณะที่บรรดาขุนนางต่างพากันออกมาออกความเห็น ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงหยิบม้วนกระดาษปึกหนึ่งกางขึ้นตรัสขึ้น
“ตั้งแต่ปีรัชสมัยหลงชิ่งที่ 5 มาถึงตอนนี้ แม้เพียงเมืองหลวงแห่งเดียว คดีขโมยปล้นชิง ต้มตุ๋นหลอกลวง ทุกปีก็มากกว่าปีที่ผ่านมา 100 กว่าคดี ห้าปีก่อนมาถึงตอนนี้ ทุกปีเพิ่มขึ้น 200 กว่าคดี ราษฎรเกรงกลัวขุนนาง ที่ใด ๆ ก็กล่าวเช่นนี้ นี่มีอีกเท่าไรที่ไม่มีรายงาน?”
ขุนนางเบื้องหน้าพากันอึ้งไป พวกปฏิกิริยาไวก็เริ่มคิดได้ หลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนรวบรวมคดีก็เพื่อการนี้นี่เอง
“เมืองหลวงเป็นที่ตั้งวังหลวง เราอยู่เมืองหลวง กลับเกิดเหตุการณ์วุ่นวายกันเช่นนี้ได้ ราษฎรวัน ๆ ก็หวาดกลัวไม่เป็นสุข ทุกท่านไม่ละอายใจบ้างหรือ?”
ทุกคนพอคิดถึงว่าเอกสารในพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ว่าคือหลักฐานแน่นหนา ตนเองได้แต่หลักการลอยๆ ดูจะด้อยน้ำหนักไปหลายส่วน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงออกถึงความเจ็บปวดพระทัย พระอารมณ์ยามนี้ ขุนนางไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าเสแสร้ง แต่ไม่กล้ากล่าวอันใดออกมา ได้แต่รับฟังฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า
“บัณฑิตจวี่เหริน ถนนจวี้เป่า เขตปัจจิม เป็นพวกเรียนหนังสืออ่านตำราปราชญ์มา ถึงกับทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ รับซื้อของโจรจากที่ต่าง ๆ ขุนนางที่รักทั้งหลาย ได้ยินแล้วน่ำตกใจ แม้แต่คนเรียนตำราปราชญ์ขงจื่อยังทำเช่นนี้ได้ นับประสาอันใดกับพวกมากเล่ห์ฉ้อฉล คนพวกนี้ราวเสือร้ายมากอุบาย ราษฎรราวกับหมูแพะตัวน้อยๆ ได้แต่ปล่อยให้เขมือบกินไป ศาลซุ่นเทียน ศาลอาญาใหญ่แม้ทำงานหนัก แต่ไหนเลยจะสามารถดูแลได้ทั่วเมืองหลวงที่มีราษฎรมากมายเช่นนี้ได้?”
“ฝ่าบาท กฎระเบียบบรรพชน องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ หวังทงคิดการตามอำเภอใจเช่นนี้ ขัดต่อกฎระเบียบที่บรรพชนวางไว้ เขาคิดการไม่ซื่อ กระหม่อมคิดว่าควรลงโทษ!!”
“ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรสืบคดีจับกุมคนร้ายก็มีอำนาจมากแล้ว จะให้มีอำนาจรักษาความสงบอีก เมืองหลวงเราก็คงกลายเป็นที่ทำการกับสนามฝึกทหารองครักษ์เสื้อแพรไปหมดแล้ว ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้!!”
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ตรัสว่า ‘วุ่นวายกันเช่นนี้ได้ ราษฎรวันๆ ก็หวาดกลัวไม่เป็นสุข’ ที่พักกระหม่อมในเมืองหลวงไม่เห็นมีเรื่องเช่นนี้ สงบสุขอย่างมาก ทุกอย่างสมดุลปกติ ผู้ใดกล้าทูลกลับเรื่องดำเป็นขาว เรื่องขาวเป็นดำกับพระองค์เช่นนี้กัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ขุนนางหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อก็ทยอยกันออกมาค้าน วาจารุนแรงหนักหนา ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกเอกสารไปมา ก็ไปเจอที่เขียนว่า ‘กฎระเบียบบรรพชน’ คำนี้ ทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตรัสว่า
“เจ้าว่า ‘กฎระเบียบบรรพชน’ ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้มีพระราชโองการก่อนสวรรคต หกกรมกองมีเรื่องหารือให้รายงานราชสำนัก แต่ตอนนี้หกกรมกองมีเรื่องกลับรายงานแค่คณะเสนาบดีใหญ่ แต่ละหน่วยงานก็ให้หารือกับคณะเสนาบดีใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตำแหน่งมหาอำมาตย์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คนนอกเรียกมหาอำมาตย์ว่าอย่างไร หากทำตามธรรมเนียมบรรพชน คณะเสนาบดีใหญ่นี้ควรมีอยู่หรือไม่?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอ่านตำรามามาก แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าปรีชาอันใด เมื่อก่อนตอนประชุมถกประเด็นปัญหาก็มักจะไม่ตอบทันที รอทุกคนทูลจบ จึงได้บอกเสมอว่า ‘ค่อยหารือ’ ให้ทุกคนมีเวลาคิด คิดไม่ถึงว่าวันนี้ปฏิกิริยาฮ่องเต้ว่านลี่จะไวเช่นนี้พระดำรัสที่ตรัสออกมาก็รุนแรงยิ่ง
“คณะเสนาบดีใหญ่ควรมีอยู่หรือไม่?”
การถามเช่นนี้ ทำเอาเซินสือหังคิดจะออกมากราบทูลบ้าง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกวาดพระเนตรอ่านอีกรอบ ตรัสว่า
“หากไม่มีคณะเสนาบดีใหญ่ การจัดการงานแผ่นดินจะราบรื่นได้อย่างไร เราแค่คนเดียว เรื่องรวมมากมายให้เรามาจัดการคนเดียว จะให้รับรองได้ว่าทุกเรื่องไม่พลาดได้อย่างไร ก็ด้วยเหตุนี้ อดีตฮ่องเต้เฉิงจู่ได้ให้ทรงมีคณะเสนาบดีใหญ่ สืบต่อมาจนถึงตอนนี้ พอมีคณะเสนาบดีใหญ่ ทุกอย่างในราชสำนักก็เปลี่ยนไปมาก กฎระเบียบบรรพชนที่วางไว้จะว่าดีก็ดี แต่อย่างไรก็ควรปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ตำแหน่งผู้ตรวจการมีมาแต่เมื่อใด? ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีตำแหน่งนี้?”
ทุกคนล้วนเป็นใบ้ในยามนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกเอกสารไปอีกหน้า กวาดพระเนตรอ่านอีกรอบ ตรัสว่า
“ไหนเลยจะว่าอำนาจมาก องครักษ์เสื้อแพรลาดตระเวนสืบคดีมาเกือบร้อยปี อำนาจหน้าที่ก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน กลับเป็นการเปิดช่องให้โดนโจมตี ตอนนี้แบ่งงานให้ชัด ทำงานตนเองไป ให้พวกเขารู้ในหน้าที่ตน จะบอกว่าอำนาจมากไปได้อย่างไร ก็แค่เติมรายละเอียดหน้าที่เท่านั้น”
เซินสือหังถวายคำนับรับฟัง แต่เขากับบรรดาคนด้านหน้าสุดสองสามคนต่างคิดอยากรู้ว่าในพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่คือเอกสารอันใด แต่ระดับองศาที่อ่านเห็นย่อมเป็นระยะที่ล่วงเกินฮ่องเต้พอดี ทุกคนพากันงง ได้แต่แปลกใจอย่างทำอันใดไม่ได้
“พานจี้ซวิ่น เจ้าบอกว่าตนเองไม่เคยเห็นเหตุวุ่นวาย ไม่เคยรู้ราษฎรหวาดกลัว เราถามเจ้า เจ้าเดินถนนเท่าไร ที่พักเจ้ามีคนดูแลป้องกันเท่าไร เจ้าเป็นขุนนางราชสำนัก กินเบี้ยหลวง กลับกล่าวเช่นนี้ ตำราที่เจ้าร่ำเรียนมา ได้อ่านเรื่อง ‘ไม่มีข้าวก็ให้กินโจ๊กแทน’ ก็รู้สึกขัน วันนี้ได้ยินวาจาเจ้า เรารู้ว่ามีเรื่องนี้จริง เราเป็นบิดาของราษฎรใต้หล้า มีหน้าที่ดูแลราษฎร ยังเป็นพื้นที่เมืองหลวงที่เราอยู่ เจ้าไม่รู้ เรารู้ หรือว่าเรามากางคดีนี้แล้วเรากับเจ้าออกไปเดินสอบถามกันดี?”
พานจี้ซวิ่นที่ถูกเรียกชื่อ ก็ได้แต่คุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล่าวอันใดต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นบรรดาขุนนางอึ้งไป สีพระพักตร์ก็พึงพอพระทัย ตรัสว่า
“พวกโจรชั่วลัทธิไตรสุริยันก่อการ การรักษาความสงบในเมืองหลวงแต่ละแห่งล้วนถึงกับต้องใช้คนของชนชั้นสูงออกหน้า ศาลซุ่นเทียนกับสำนักรักษาความสงบต้องส่งคนมาร่วมปราบปราม หากทำตามฎีกาหวังทง คงไม่มีสภาพน่าอนาถเช่นวันนั้น!! หวังทงยื่นฎีกาเปลี่ยนแปลงระบบในเมืองหลวง ก็เพื่อปกป้องเราให้ดีขึ้น ทุกท่านกล่าวเช่นนี้ หรือว่าไม่ยินยอมกัน?”