ตอนที่ 659 จะสร้างชื่อต้องด่าคน
แม้กล่าวว่าไม่สนใจ แต่กลางวันแสกๆ อย่างไรก็ไม่อาจให้ม้าชนคนได้ พวกหวังทงดึงม้าเอาไว้ รถด้านหลังก็รีบหยุดทันที
เดินทางอยู่ดีๆ ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าจะมาหยุดเช่นนี้ ทั้งขบวนวุ่นวายไปชั่วขณะหนึ่ง ความวุ่นวายนี้อยู่ในสายตาของคนสองข้างทาง เหมือนว่าหวังทงก็ไม่ได้แข็งแกร่งอันใด จึงพากันยืดอกเชิดหน้าเข้ามา มีคนตะโกนดัง
“พี่เฉินช่างกล้าหาญจริง!!”
ด้านข้างก็มีคนตะโกนร้องเชียร์ หวังทงมองไป เห็นด้านหน้ามีคนหนึ่งขวางทางอยู่ แสงอาทิตย์ยามจะตกดินส่องผ่านมา ฝั่งหวังทงเป็นฝั่งรับแสงพอดี เงาคนด้านหน้าดำเป็นเงามองไม่ชัด หวังทงได้ยินเสียงเอะอะข้างทาง ก็แค่นยิ้มกล่าวว่า
“ข้าจะไปด้านหน้า!?”
“ใต้เท้า ด้านหน้าผิดปกติ!”
“เหลวไหล ข้าย่อมรู้ว่าผิดปกติ หลีกทาง!”
ถูกหวังทงตำหนิ ทหารรายรอบหวังทงจึงได้แหวกทางออก เฉินต้าเหอจับตาดูด้านหน้ากระซิบเตือนว่า
“ใต้เท้าต้องระวัง……”
“เจ้าพวกด้านหน้าเนี่ยรึที่ข้าต้องระวัง!!”
หวังทงแค่นหัวเราะ ค่อยๆ ขี่ม้าไปด้านหน้า พอเห็นหวังทงเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ คนที่ขวางทางก็เริ่มเครียด ล้วนพากันก้าวถอยหลังสองสามก้าว
พอเข้าไปใกล้พอควร หวังทงก็เห็นการแต่งกายของสองสามคนตรงหน้า อย่างไรก็เคยอยู่เมืองหลวงมาก่อน พอเห็นก็รู้ทันทีว่าพวกเขาเป็นขุนนางระดับล่างในเมืองหลวง แปดเก้าส่วนเป็นพวกที่เรียกกันว่า ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว
“ข้าเข้าเมืองมารับตำแหน่ง พวกเจ้าขวางทางทำไมกัน?”
หวังทงถามเสียงนิ่งจากมุมสูง คนขวางทางหกคนก็สบตากัน ก่อนจะมีคนหนึ่งก้าวออกมาสองสามก้าว กล่าวว่า
“เจ้ากำเริบเสิบสาน ไร้กฎหมายในสายตา พวกข้าเหตุใดจึงขวางไม่ได้!”
“ขวางขบวนรถขุนนาง ตามกฎหมายหมิงต้องจับไปลงโทษ สถานเบาก็โบยด้วยแส้ สถานหนักก็เนรเทศตัดหัว กฎหมายเขียนไว้ชัดเจน พวกเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าข้าไร้กฎหมายในสายตาหรือ?”
หวังทงกล่าวช้า ๆ ไม่รีบร้อน คนหลายคนตรงหน้าพอถูกถามเช่นนี้ ก็อึ้งไปอึดใจ คิดไม่ถึงว่าขุนนางบู๊ผู้นี้จะใช้กฎหมายหมิงมาสู้กับพวกเขา เช่นนี้จึงไม่รู้รับมือเช่นไรดี หวังทงแค่นเสียงเย็นตวาดว่า
“วันนี้ข้าเข้าเมืองหลวง ไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเจ้า รีบหลีกทาง!!”
พอตวาดออกไป น้ำเสียงดุดัน คนพวกนั้นพากันตกใจสะดุ้ง เริ่มตัวสั่นเทา หนึ่งในนั้นขี้ขลาดก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที ไม่รู้ว่ามีอะไรขัดขา จึงได้ล้มลงนั่งแปะกับพื้น
เดิมคนข้างที่เริ่มวุ่นวายก็เงียบลงทันที พอเห็นสภาพคนเหล่านี้ มีคนอดไม่ได้หัวเราะดังออกมา พอได้ยินเสียงหัวเราะ เดิมที่คนที่คิดว่าได้ออกหน้าเป็นวีรบุรุษก็เริ่มอึกอักไปไม่เป็น คนหน้าสุดจึงได้แต่ตะโกนดังขึ้นว่า
“หวังทง เจ้าแอบอ้างพระเมตตา ทำตัวกำเริบเสิบสานที่เทียนจิน ขูดรีดประชา อายุยังน้อยกลับไม่รู้จักทำตัวให้ดี กลับฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นนี้ ตลอดทางมาก็วางอำนาจบาตรใหญ่ ทำลายพระบำรมีฝ่าบาท ทำลายชื่อเสียงราชสำนัก คนเช่นเจ้ามาเมืองหลวง วันหน้าต้องเป็นขุนนางชั่วแน่นอน จะต้องเป็นภัยของราชสำนัก คนชั่วเช่นนี้ บัณฑิตเมืองหลวงจะรับไว้ได้อย่างไร เจ้ากรมสอบสวนเฉินเกอขอเตือนเจ้า หากเจ้ายังมีความละอายอยู่บ้าง ก็รีบอำลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปเสีย บางทียังอาจรักษาชีวิตให้อยู่จนแก่เฒ่าได้ หากยังดึงดันเข้าเมืองหลวง วันหน้าพวกบัณฑิตผู้มีคุณธรรมย่อมร่วมตัวกันขับไล่ เกรงว่าเจ้าคงต้องตายไร้ที่ฝัง!”
วาจากล่าวได้รุนแรง น้ำเสียงได้กำลังดี พอกล่าวจบ ข้างทางเงียบกริบ ไม่รู้ว่ามีใครเงยหน้าขึ้นก่อนตะโกนร้องชมเชย ทุกคนจึงได้ตามกันร้องไปด้วย ชั่วขณะหนึ่งก็เริ่มเอ็ดอึง ทั้งว่า ‘กล่าวได้ดี’ ‘สมเป็นผู้กล้า’ ‘วันหน้าเฉินเกอย่อมได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่’ เหมือนกับกำลังดูงิ้ว แต่ละคนแสดงบทบาทส่งเสียงดัง พากันร้องตะโกนเชียร์เช่นยามดูงิ้ว
“บัดซบ กล้าสาดโคลนใส่ร้ายผู้อื่น!!”
คนด้านหน้ำกำลังโห่ดีใจ หากทหารอารักขาหวังทงกลับโมโห เฉินต้าเหอยกแส้ม้าขึ้นฟาดม้าควบไปด้านหน้า หากก้าวไปได้ก้าวเดียว ก็ถูกหวังทงรั้งไว้ คนผู้นั้นเห็นเฉินต้าเหอก้าวเข้ามาก็ตัวสั่นเทา ยังไม่ทันได้วิ่งหนี ก็เห็นหวังทงรั้งไว้ จึงได้กล้าวางอำนาจเสียงดัง ตะโกนดังว่า
“วันนี้ข้าเฉินเกอมานี่ ก็เตรียมพร้อมแล้ว เจ้าคนชั่วเช่นเจ้านอกจากทำเรื่องวางอำนาจชั่วร้ายแล้ว ยังมีความสามารถอันใดอีก ไม่รู้ใต้หล้านี้ยังมีคำสอนคุณธรรมบัณฑิต ยังมีศีลธรรมความถูกต้องอีกหรือไม่!!?”
วาจาอ้างถึงคุณธรรมยิ่งใหญ่อีกแล้ว คนรอบๆ พากันร้องชมว่าเยี่ยม หากหวังทงส่ายหน้าค่อยๆ ถามว่า
“เฉินเกอ ระหว่างทางข้าจับคนมาสอดแนมขบวนข้าได้ ในนั้นบอกว่าเป็นคนจากกรมสอบสวนกวางตุ้ง ดูท่าแล้วคงเป็นเจ้านี่เอง คนจำนวนมากหน้าประตูเมือง ได้ฟังเจ้าเอะอะ หลังจากวันนี้ไป เจ้าคงมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง แต่ละแห่งก็ล้วนรู้จักเจ้าแล้ว จากนั้นเจ้าก็ค่อยอาศัยชื่อเสียงว่ามือสะอาดมีคุณธรรมไต่เต้าขึ้นไป ใช่หรือไม่ หากข้าลงมือกับเจ้า เกรงว่าชื่อเสียงเจ้าคงยิ่งดัง เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
สิ่งที่เรียกว่าแสวงหาชื่อเสียงก็คงเป็นเช่นนี้ เฉินเกออึกอักครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายมองทะลุได้เพียงนี้ จึงได้แต่พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็นึกได้ทันที รีบปั้นหน้าบึ้งตึง
ตอนนี้เฉินเกอหวังให้หวังทงระงับไม่อยู่ คว้าแส้ออกมาฟาด เช่นนั้นเขาย่อมมีชื่อเสียงโด่งดัง เดิมคิดว่าหวังทงอายุยังน้อย คงอดทนระงับอารมณ์ไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับอดกลั้นได้เพียงนี้ เขากำลังคิดอยู่ว่าควรจะกล่าวอันใดออกมาเสียดแทงใจอีกฝ่าย ให้หวังทงโมโหให้ได้ คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“เจ้าว่าข้าฉ้อราษฎร์ ว่าข้าวางอำนาจที่เทียนจิน ขูดรีดประชา เจ้ามีหลักฐานไหม อย่าบอกว่าเจ้ากล่าวได้ไร้ความผิด เจ้าเป็นขุนนาง เจ้าใส่ร้ายข้ากลางถนน เป็นความผิดฐานใส่ความ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถถวายฎีกา แล้วข้าไม่สามารถงั้นหรือ?”
ตั้งแต่ขวางทางมาถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่หวังทงแสดงสีหน้าร้ายกาจ คนที่ผ่านสมรภูมิรบมา พอโมโห รัศมีย่อมแผ่กระจาย เฉินเกอและคนข้างๆ พากันตัวสั่น ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เฉินเกอรู้สึกเสียใจที่ได้ทำลงไป คิดไม่ถึงว่า หวังทงจะร้ายกาจเพียงนี้ อย่าได้ต้องโทษโบยแส้เลย ถูกดาบฟันทิ้งก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสงบลงได้ ดูท่ารองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้อายุยังน้อยจริงๆ มาเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องตอนนี้ได้ เฉินเกอยืนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะชี้ไปด้านหลังหวังทงกล่าวว่า
“พูดกันถึงขั้นนี้ เจ้ายังไม่รู้จักละอาย เจ้าคิดว่าใต้หล้านี้ตาบอดหรือไง เจ้าคิดว่าขุนนางตาบอดหรือไง?”
กล่าวจบ เขาก็เดินไปยังขบวนรถด้านหลังหวังทง เดินไปก็ตะโกนดังไปว่า
“ทุกท่านๆ เดือนหนึ่งเส้นทางแข็งเป็นน้ำแข็ง นับประสาอันใดกับหน้าประตูเมือง ทุกวันมีรถแล่นผ่านไปมา ยังมีชาวบ้านนำดินมาถมให้เรียบ แข็งแรงกว่าปกติ แต่ทุกคนมาดูนี่ พื้นกดทับเป็นรอยล้อรถ ของอะไรหนักเพียงนี้ หากไม่ใช่เงินทอง พวกเจ้ามาดูกัน รถใหญ่มากมายเช่นนี้ แต่ละคันบรรทุกมาเท่าไร ทั้งหมดเป็นเงินมหาศาลเท่าไร หวังทงมาเมืองหลวงนำเงินมามากมายเช่นนี้ หรือว่าเป็นหยาดเหงื่อชาวประชา ทุกท่าน ราษฎรเทียนจินมีเลือดมีเนื้อ พื้นที่เล็กๆ แค่นั้น ถูกขูดรีดเช่นไรจึงสามารถขูดเงินขูดทองออกมาได้มากมายเพียงนี้ เขาถึงกับกล้าเถียงคำหน้ำตาเฉยเช่นนี้ได้!!”
ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เฉินเกอยังไม่ได้พักดื่มน้ำ เสียงจึงแหบแห้งอยู่บ้าง ทุกคนถูกเขาปลุกระดมขึ้นมา บนรถบรรทุกเงินมา ร้อยกว่าคน ในใจลองคำนวณดู ผู้ใดย่อมโมโห เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้คว้าเงินทองไปได้มากมายเช่นนี้ แล้วไม่แบ่งให้พวกเราบ้าง คนเช่นนี้หากไม่ล้มทิ้งจะไปล้มผู้ใด
คนสองข้างทางล้วนกรูไปยังขบวนรถ เฉินต้าเหอกระตุกม้าหันไปตวาดกล่าวว่า
“ป้องกันขบวนรถ เข้าใกล้เกินสามก้าวให้ลงมือไล่ไป!!”
ทนกันอยู่นาน พวกหวังทงล้วนทนไม่ไหวแล้ว ได้ยินเฉินต้าเหอสั่งการ ก็ตะโกนรับพร้อมกันออกมาตั้งป้องกัน
คนมุงรอบๆ ไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้ เฉินเกอกระโดดออกไปชี้สั่งการ ฟ้ายังไม่มืดนัก รอยล้อรถมองเห็นชัด ทุกคนยิ่งส่งเสียงดัง
“ทุกคนเห็นแล้วยัง ล้อรถชัดเพียงนี้ รถบรรทุกเลือดเนื้อหยาดเหงื่อพี่น้องเทียนจินมาตั้งเท่าไร!!”
เฉินเกอเสียงดังยิ่งขึ้น เสียงดังอาจหาญ สองข้างทางก็ตะโกนตามกัน ตะโกนใส่ว่า
“หวังทงคนชั่ว หากได้เข้าเมือง ไม่รู้ว่าชาวประชาจะเดือดร้อนอีกเท่าไร คนเช่นนี้แม้พวกเราต้องตายก็ห้ามให้เข้าเมืองหลวงไปได้!!”
“แผ่นดินยืนหยัดมาสองร้อยปีจนถึงวันนี้ แม้ว่าถูกลงโทษ ก็ต้องขับไล่ขุนนางชั่วผู้นี้ออกจากเมืองหลวง!!!”
วาจาสะเทือนอารมณ์ตะโกนดังออกมา แต่กลับไม่มีคนก้าวขึ้นหน้า สถานการณ์เริ่มวุ่นวาย หวังทงยังคงนิ่งสงบ ขี่ม้าไปหน้าเฉินเกอ กล่าวว่า
“เฉินเกอ เจ้าว่าเลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา เจ้าพูดอีกทีซิ!!”
เฉินเกออึ้งไป สมองแล่นอย่างเร็ว คิดว่าอย่างไรหวังทงคงไม่อาจมีคำอธิบายได้จึงได้โก่งคอตะโกนดังว่า
“ความยุติธรรมย่อมดำรง เจ้าคิดว่าเจ้าขี่ม้าชักดาบมาก็สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้หรือ? วันนี้จะต้องให้เจ้าได้ร่าใต้หล้านี้ยังมีความยุติธรรมอยู่!”
ทุกวาจาเขาจะมีคนข้างๆ คอยส่งเสียงเชียร์ เฉินเกอยามนี้เป็นศูนย์กลางของทุกคนตรงนี้ เขาตื่นเต้นอย่างมาก หวังทงถามเสียงดังอีกว่า
“ยังมีผู้ใดกล่าวว่า ‘เลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา’?”
ทุกคนส่งเสียงเชียร์ดัง ทุกคนคิดว่าวันนี้ได้ผดุงคุณธรรม คิดว่าได้เป็นวีรชนแห่งแผ่นดิน จากวันนี้ไปย่อมมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล ในใจก็ตื่นเต้นยินดียิ่ง ไม่สนใจจะคิดอันใดอีก ในตอนนั้นจึงมีคนไม่น้อยตะโกนดังว่า
“นี่เป็น ‘เลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา’ ……”
ได้ยินคนตะโกนดังพร้อมกันเช่นนี้ หวังทงบนหลังม้าก็แค่นเสียงหัวเราะดัง กระตุกม้าไป ทุกคนคิดว่าหวังทงกลัว ก็ยิ่งเฮโลดัง คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับสะบัดแส้ ตะโกนดังบนหลังม้าว่า
“เจ้าหน้าที่ จับพวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พวกใส่ร้ายฝ่าบาทไปขัง!!!”