Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 674

ตอนที่ 674 ลงทัณฑ์ในเมืองหลวง

เขตทักษิณส่วนใหญ่เป็นที่พักราษฎรทั่วไป แต่รอยต่อเขตทักษิณกับเขตบูรพาและเขตปัจจิมกลับมีสภาพรุ่งเรืองหลายส่วน

นายกองร้อยที่ได้คุมพื้นที่นี้นัยได้ว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดขององครักษ์เสื้อแพ มีค่าน้ำร้อนน้ำชาอยู่มาก เขตบูรพา เขตปัจจิม เขตอุดรยิ่งร่ำรวย การค้าหน้าร้านก็ยิ่งมาก แต่การค้าพวกนี้เบื้องหลังล้วนเป็นผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ องครักษ์เสื้อแพรในพื้นที่ย่อมรู้จักหนักเบา ย่อมไม่ไปหาเรื่องใส่ตัว เขตทักษิณย่อมไม่ต้องพูดถึง ค่าน้ำร้อนน้ำชาไม่น้อยเลยจริงๆ

เขตรอยต่อนี้ การค้ายิ่งรุ่งเรืองกว่าเขตทักษิณมาก คนรวยก็มาก และยังไม่ใช่พวกที่มีผู้หนุนหลังอันใดนัก มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือที่นี่หน่วยงานทางการน้อย ค่าน้ำร้อนน้ำชาองครักษ์เสื้อแพรระดับล่างสุดเช่นพลทหารที่เดินลาดตระเวนตามท้องถนนได้มากกว่าเขตทักษิณถึงห้าเท่า นายกองธงเล็ก นายกองธงใหญ่ไปจนถึงนายกองร้อยก็ย่อมยิ่งได้มาก

ตำแหน่งงานที่ทำรายได้เช่นนี้ ผู้ที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ย่อมมีสายสัมพันธ์นั่นนี่หลายทาง นายกองร้อบที่นี่สองคนเป็นคนของโจวหลินปิ่ง แต่เป็นพวกไม่สนใจฟังคำสั่งสักเท่าไร ทุกเดือนที่ต้องจัดสรรเงินให้ บางครั้งก็อาจไม่ตรงเวลาโจวหลินปิ่งก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อย่างไรก็เบื้องหลังนายกองร้อยและนายกองธงใหญ่พวกนี้ เขาเองก็ไม่อาจล่วงเกิน

องครักษ์เสื้อแพรที่ได้มาคุมเขตปัจจิมกับเขตทักษิณมีนายกองธงใหญ่ผู้เดียว ก็คือนายกองธงใหญ่เหรินชุนไหล เขาเป็นน้องชายรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถง

รอยต่อเขตปัจจิมกับเขตทักษิณมีบ่อนพนันและสำนักคณิกามีชื่ออันดับต้นๆ อยู่เจ็ดแห่ง ยังมีสาขาอีกสิบกว่าแห่ง ยังไม่ต้องพูดถึงร้านสุราร้านอาหารร้านน้ำชาพวกนี้ ที่เช่นนี้ เดินลาดตระเวนย่อมออกไปกระเป๋าโล่งกลับบ้านกระเป๋าตุง น้ำร้อนน้ำชาได้มากยิ่ง

งานดีเช่นนี้ ผู้ใดไม่อยากยัดคนของตนเองเข้ามากัน นายกองร้อยหนึ่งคนตามหลักต้องมีนายกองธงใหญ่สองคน แต่ที่นี่มีแค่คนเดียว อีกตำแหน่งว่างมาตลอด นายกองธงใหญ่มาสามคนล้วนถูกเหรินชุนไหลบีบจนต้องไป เหรินชุนไหลเติบโตมาจากพลทหารชั้นล่างสุด ขอบกินคนเดียว ไม่ชอบแบ่งปันกับผู้ใด

นับประสาอันใดกับนายกองร้อยเหนือเหรินชุนไหลขึ้นไปก็เป็นคนของลั่วซือกง ลั่วซือกงแต่ไรมาก็อ่อนปวกเปียก ตอนนี้หวังทงมาแล้ว ตำแหน่งลั่วซือกงก็ไม่มั่นคงแล้ว คนใกล้ชิดทำงานให้ก็ไม่พอ ไม่กล้าหืออันใด นายกองร้อยผู้นี้ก็เท่ากับอยู่ในกำมือเหรินชุนไหลแล้ว

เหรินชุนไหลปีนี้อายุ 34 อยู่ในรายชื่อทหารใหม่ที่หวังทงต้องการให้เข้ารับการฝึก แต่วันที่ 12 เดือนสอง อย่างไรก็ไม่ยอมตื่นเช้า

พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว สาวใช้เหรินชุนไหลเข้ามาปรนนิบัติให้ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นไม่ยอมไปรายงานตัว หากเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาทันที ร้านน้ำชาก็รีบยกน้ำชาชั้นดีออกมาต้อนรับ และยังมีขนมขึ้นชื่อเจียงหนานอีกหลายอย่าง ฟังร้องงิ้วไปฟังเล่านิทานไป สำราญใจได้สองสามชั่วยาม จึงได้ไปต่อที่หอเฟิงหลินก่วน

หอเฟิงหลินก่วนเป็นร้านสุรามีชื่อในเมืองหลวง แม้มีแค่สิบโต๊ะ แต่มักมีคหบดีมีเงินมาเยือนเสมอ ตอนกลางวันทำการค้าหนึ่งชั่วยาม ก็เท่ากับทำการค้ายามกลางคืนสองชั่วยามเลยทีเดียว แต่พอเหรินชุนไหล ธรรมเนียมนี้ก็หมดไป พ่อครัวหอเฟิงหลินก่วนต้องมาทำเลี้ยงรับรองแค่โต๊ะเดียว

สุราเกาเหลียงร้อนจากเป่าติ้ง อาหารแปดอย่างน้ำแกงหนึ่งชั้นดี เหรินชุนไหลดื่มไปได้ครึ่งหนึ่งก็เมา เดินโงนเงน ออกไป ยามนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว

พอออกมา ก็มีคนมารอรับ มือถือห่อผ้า หน้ำตายิ้มแย้มปรี่เข้ามากล่าวว่า

“ท่านเหริน วันนี้เงินที่เก็บได้ ท่านนับดูก่อน?”

เหรินชุนไหลสีหน้าไม่สนใจ โบกมือกล่าวว่า

“เศษเงินเหรียญไปแลกเป็นเงินตำลึงก้อนที่บ่อนพนันมา พวกเจ้าเอาไปสองส่วน”

“ขอบคุณท่านเหรินๆ !”

องครักษ์เสื้อแพรก้าวมาถึงตำแหน่งนายกองธงใหญ่ ข้างกายย่อมมีคนทำงานรับใช้จิปาถะ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารองครักษ์เสื้อแพรผู้น้อยในสังกัด หากเหรินชุนไหลไม่เหมือนผู้อื่น ข้างกายเขาล้วนเป็นคนทำงานในร้านค้ามาก่อน ไม่มีสถานะองครักษ์เสื้อแพร เงินทองพวกนี้ก็ไม่แบ่งให้ผู้ใด

เดินมาตามถนนได้สองก้าว ก็มีนายกองธงเล็กอายุราว 40 กว่าเดินมา พอเห็นเหรินชุนไหล นายกองธงเล็กผู้นี้ก็ฉีกยิ้มคำนับถามขึ้น

“นายกองธงใหญ่เหริน วันนี้ไม่ไปเข้ารับการฝึกนอกเมืองหรือ?”

“ไปหามารดามันสิ ข้างานยุ่งขนาดไหนยังยุ่งไม่เสร็จ ผู้ใดมีเวลาไปรับใช้เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น!!”

นายกองธงเล็กผู้นั้นยิ้ม กลับไม่กล่าวต่อ ได้แต่ทักทายสองสามคำ ก่อนจะเดินจากไป บอกว่าทำงาน ทำกับผีน่ะสิ กลิ่นสุราสามเมตรยังได้กลิ่น แต่ผู้ใดก็คงไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้

เหรินชุนไหลเดินอยู่บนถนน คนงานร้านสองข้างทางก็พยักหน้าก้มคำนับทักทาย ท่านนี้ล่วงเกินไม่ได้ จะต้องรับใช้ให้ดี หากทำให้โมโห คงต้องมีเรื่องปิดร้านแน่ แต่ตอนเหรินชุนไหลเดินผ่านไป เสียงด่าเสียงถ่มน้ำลายไล่หลังมาก็ไม่น้อย เจ้าคนบัดซบไม่ใช่คน จะเอาแต่เงินให้ได้ เอาเปรียบ ไม่เคยทำงานอะไรให้เลยแม้แต่น้อย

เดิมคิดจะเดินกลับไปร้านน้ำชาตงชิงดื่มให้สร่างเมาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่ามาได้ครึ่งทาง ก็มีเกี้ยวหนึ่งแบกเข้ามา หยุดตรงหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ท่านเหริน ถนนหวยซู่มีแม่นางมาใหม่ แม่เล้าให้ข้านำเกี้ยวมาเชิญท่าน”

ร้านอันดับหนึ่งอันดับสองยังดี หากร้านที่ไม่ได้อันดับ แม่นางมาใหม่ต้องเชิญเหรินชุนไหลไปนอนก่อน เป็นธรรมเนียมสองปีกว่าที่ผ่านมา

คนมีชีวิตอยู่ ก็แค่เพื่อสุรานารี เหรินชุนไหลดื่มเสร็จ ก็ย่อมมีนารีส่งมาถึงที่ ย่อมเป็นชีวิตที่แสนสำราญ กลับไปรับความสำราญให้เต็มที่

*************

ฟ้ายังไม่ทันมืดก็เริ่มดื่มหนัก ดื่มจนแทบเมากลิ้ง หลังจากเสร็จกิจอย่างว่า เหรินชุนไหลก็เหน็ดเหนื่อยมาก หลับไปทันที

ย่อมหลับราวกับตาย ไม่รู้สึกตัวอันใด เช้าวันที่สองเหรินชุนไหลรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด คิดจะแต่โอบกอดหญิงสาวนอนต่อ แต่กลับได้ยินคนตีกลองข้างหู ตึงๆ ๆ น่ารำคาญมาก จะให้นอนต่อได้อย่างไร นอนอย่างไรก็คงไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาด่ามารดามันทันที

ยามนี้จึงได้สติ ไม่ใช่เสียงตีกลอง แต่เป็นเสียงคนพยายามถีบประตูเข้ามา เหรินชุนไหลยังไม่แต่งงาน อยู่ในเรือนเล็กคนเดียว ชีวิตเสเพลยิ่ง แม้แต่คนไปเปิดประตูก็ไม่มี

เหรินชุนไหลสะบัดหน้าไปมาจึงได้สติว่าข้างกายมีคน หันไปตบเรียกหญิงสาวข้างกาย กล่าวว่า

“ไปเปิดประตู!”

ตนเองพลิกตัวคิดนอนต่อ แต่พอหลับตาลงเท่านั้น ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังมา ประตูถึงกับถูกถีบเปิดออก!

เหรินชุนไหลพลิกตัวร่วงจากที่นอน ด่าเสียงดังว่า

“ใครกันไร้ลูกกะตาเช่นนี้……”

วาจานี้ยังกล่าวไม่ทันจบ ประตูห้องก็มีเสียงคนถีบออก ตามมาด้วยมีคนเลิกม่านประตูขึ้น หญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องก่อนจะเข้าไปแอบ ลมหนาวพัดเข้ามา เหรินชุนไหลรีบหดตัว ยังไม่ทันได้ด่าออกไป ก็เห็นนายกองร้อยที่เป็นนายตนยืนอยู่หน้าประตู

หากเป็นแค่นายกองร้อยผู้เป็นหัวหน้าตนก็แล้วไป เหรินชุนไหลไม่กลัว ใช่ว่าไม่เคยชี้หน้าด่ากันมาก่อน แต่พอเห็นนายกองร้อยเจ้านายตนยืนเรียบร้อยท่าทางเหมือนรับคำสั่งอยู่ข้างๆ ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองสามนาย ชายที่มีผ้าแถบแดงผูกที่แขนขวาสีหน้าเคร่งเครียด นี่ไม่ได้การแล้ว

ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ก็ได้ยินชายผู้นั้นถามขึ้น

“คนผู้นี้ก็คือเหรินชุนไหล นายกองธงใหญ่ของกองร้อยเจ้า?”

“ขอรับ!!”

“จับตัวไว้!!!”

หนึ่งถามหนึ่งตอบ เหรินชุนไหลยังไม่ทันได้สติ ชายสองคนก็เข้ามาหยุดเบื้องหน้า เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า กอปรกับกลิ่นสุราหึ่งไปทั้งตัว ไหนเลยจะมีแรงขัดขืน ถูกคนหิ้วมัดราวกับอินทรีย์จับลูกไก่ ยามนี้เหรินชุนไหลเพิ่งเริ่มดิ้นรน ตะโกนดิ้นไปด่าไปว่า

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นน้องชายรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหรินนะ พวกเจ้ารู้จักไหม!!”

ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรหากเอ่ยชื่อผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหริน ผู้ใดก็ล่วงต้องไว้หน้า แต่ชายที่จับเขากลับไม่หยุดมือแม้แต่น้อย จับมัดโยนออกไปทันที

หิ้วตัวออกจากประตูบ้าน โยนลงพื้น เหรินชุนไหลถูกโยนอย่างแรงจนมึนไปหมด หน้ามืดอยู่นานยังไม่ได้สติ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นขาม้าขาคน รีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นทหารม้าสิบกว่านายเบื้องหน้าตน

“เจ้าก็คือเหรินชุนไหล?”

มีคนถามขึ้น ยังไม่รอให้เหรินชุนไหลตอบ ก็มีคนเสียงดังขึ้นว่า

“เมื่อวานการฝึกนอกเมือง เหรินชุนไหลไม่ได้มา ลงโทษทางวินัย โบย 30 ไม้ เฆี่ยนแส้ 10 ที!!”

พอได้ยิน ก็มองไปทางรองผู้บัญชาการหนุ่มน้อยที่รายล้อมด้วยทหารสิบกว่านาย เหรินชุนไหลรู้ทันทีว่าเป็นผู้ใด เขาตะเกียกตะกายสุดชีวิต กล่าวว่า

“ข้าน้อยเมื่อวานปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ไปทางนั้น ขอใต้เท้าโปรดอภัย……”

“เมื่อวานเจ้าตื่นยามซื่อ[1] ไปร้านน้ำชาตงชิงจิบชา แล้วก็ไปร่ำสุราที่หอเฟิงหลินก่วน สุดท้ายยังพาสาวจากหอฟางชุนกลับบ้าน เจ้าปฏิบัติหน้าที่อันใดกัน ลงมือได้!!”

หวังทงบนหลังม้าสั่งเสียงเยียบเย็น เหรินชุนไหลคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้การเคลื่อนไหวของตนเองละเอียดเช่นนี้ อึ้งไปพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเดินเข้าจับเหรินชุนไหลกดลง มองไปทางหวังทงบนหลังม้า หวังทงยกมือขวาชูห้านิ้ว มีความหมายว่า ห้า

ก็หมายความว่า แรงโบยไม้ต้องการให้เหรินชุนไหลนอนอยู่บนเตียงห้าวัน เจ้าหน้าที่รีบยกไม้ขึ้นโบยเสียงดังป้าบๆ

ไม้กระทบเนื้อ ยังเนื้อตัวเปลือย หน้าประตูกลางถนน อย่าว่าแต่ก้นกับขาที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเลย หากความอับอายที่บรรดาชาวบ้านบนท้องถนนที่ปกตินอบน้อมไม่กล้าหือกับเขามองอยู่ หน้านี้แตกยับเยิน ปกติเหรินชุนไหลวางอำนาจบาตใหญ่ ไหนเลยจะรับได้ อดไม่ได้เงยหน้าตะโกนว่า

“ใต้เท้าหวัง พี่ชายข้าเป็นรองผู้บัญชาการ ไม่เห็นแก่หน้าสงฆ์ก็ควรเห็นแก่หน้าพุทธะบ้าง ตีหมายังต้องดูเจ้าของ ท่านทำเช่นนี้ ไม่กลัวแตกหักกับพี่ชายข้าหรือ!!”

“เฆี่ยน 15 แส้!!”

เบื้องล่างยังพูดไม่จบ หวังทงก็ตะโกนดังขึ้น ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้ไม้โบยเสร็จ ทหารหวังทงก็โดดจากหลังม้า มาเบื้องหน้าใช้แส้หนังเฆี่ยนทันที

แรงทหารไม่น้อย แส้โบยใส่แผ่นหลัง เนื้อเริ่มปริแตก เหรินชุนไหลส่งเสียงร้องราวกับสุกรถูกเชือด คิดจะกลิ้งตัว ก็ถูกกดไว้ ได้แต่ทนรับ

“ซื่อเต๋อ เจ้าตัวบัดซบ ถึงกับช่วยหวังทงมาจัดการข้า ข้ากัดเจ้าไม่ปล่อยแน่!!”

เหรินชุนไหลไม่กล้ากล่าวกับหวังทง กลับไปตะโกนใส่นายกองร้อยหัวหน้าตนแทน นายกองร้อยหรี่ตามองหวังทง ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า

“ไม่ใช่ว่าไม่ช่วยเจ้า ข้าเองไปสายยังโดนไป 30 ที ไม่กล้าหย่อนก้นนั่งมาวันหนึ่งเต็มๆ”

………………

[1] ราว 9-11 โมง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version