ตอนที่ 712 ทุกเรื่องมีจุดเริ่มต้น เริ่มมีกระแส
ลูกหลานตนโดนโบย ก่อนถูกไปใช้แรงงานที่เทียนจิน เหมือนว่าการขอบคุณเช่นตระกูลหลัวจะน้อยมาก หากในใจโกรธแค้นกลับมากกว่า
ลองคิดถึงวันนั้นที่โบยซุนหย่งกัง บุตรชายหนิงซีป๋อไป ทุกคนก็ได้แต่กัดฟันทน หากยังไม่รู้ความก่อเรื่องอีก เกรงว่าคงนำภัยหายนะใหญ่มาสู่ตนเป็นแน่
พลทหารองครักษ์เสื้อแพรกองลาดตระเวนออกเดินตามท้องถนน พบเรื่องผิดกฎหมาย พบหัวขโมย พบการปล้นชิงพฤติกรรมต้มตุ๋นต่างๆ ก็จะยื่นมือเข้าจัดการ คนชั่วถูกจับดำเนินคดี คนที่ได้รับการช่วยเหลือก็จะขอบคุณซาบซึ้ง บางร้านยังมอบป้ายประกาศเกียรติคุณบ้าง สุราอาหารบ้าง มาตอบแทนมากมาย
ป้ายประกาศเกียรติคุณแผ่นหนึ่ง ไม่ว่าไม้ดำอักษรแดง หรือไม้ดำอักษรทอง ก็ไม่น้อยกว่าห้าตำลึง งานประณีตหน่อยก็ต้องสิบตำลึงขึ้นไป
มีคนนำข่าวนี้ไปบอกหวังทง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“หากยังปล่อยให้ส่งมอบต่อไป ห้องทำงานองครักษ์เสื้อแพรใช่ว่าเต็มไปด้วยป้ายประกาศเกียรติคุณหรือไง ส่งมอบธงแพรสักผืนก็พอแล้ว”
ธงแพรนี้เป็นเรื่องที่หวังทงพูดไปอย่างงั้น แต่คนถามก็งงอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ อย่างไรก็ต้องถามต่อสักหน่อยหวังทงอธิบายว่า
“ธงสี่เหลี่ยมแขวนได้ บนธงเขียนอักษรชมเชยงดงาม อันนี้ประหยัด และยังได้แสดงการขอบคุณด้วย”
วาจานี้แพร่ออกไป ย่อมมีคนทำตาม ร้านขายผ้าก็ย่อมทำการค้านี้ บอกว่าจะเขียนคำขอบคุณอันใด พวกเขาก็จะทำออกมาให้
แม้แต่กิจการบรรเลงประโคมในเมืองหลวงก็พลอยคึกคักตามไปด้วย จะไปส่งมอบที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่อาจไปเช่นปกติ อย่างไรก็ต้องมีดนตรีไปประโคมบรรเลงให้คึกคัก สองฝ่ายล้วนได้หน้า
องครักษ์เสื้อแพรเดิมในเมืองหลวง ชื่อเสียงไม่ดีอย่างยิ่ง เรียกกันว่า ‘สุนัขอินทรี[1]’ ก็นับว่าเป็นคำชมแล้ว คิดว่าพวกนี้ไร้ยางอาย เป็นพวกชั่วร้ายที่สุด เมื่อก่อนการกระทำขององครักษ์เสื้อแพรเหมาะกับชื่อนี้จริง ชอบเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ รังแกชาวบ้านตาดำๆ ตัวเองยังขี้ขลาด ไม่กล้ายุ่งเรื่องหัวขโมย คนที่พอมีระดับย่อมไม่เห็นองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในสายตา
ตั้งแต่ตั้งกองลาดตระเวนมา เห็นเรื่องไม่ดีออกหน้าจัดการ เห็นการกระทำชั่วออกหน้าปราบปราม ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ทุกคนย่อมเปลี่ยนความคิดเดิม
แต่ทว่า อย่างไรก็แค่ไม่กี่เดือน มีพวกหัวดื้อที่ยังคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดในเวลาอันรวดเร็ว แต่พอฮูหยินตราตั้งตระกูลหลัวส่งมอบป้ายประกาศเกียรติคุณไปถึงหน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรเพื่อขอบคุณองครักษ์เสื้อแพรที่อบรมสั่งสอนบุตรชาย เป็นเรื่องเล่าไปตามตรอกซอกซอยทั่วว่า กลับตัวกลับใจได้มีค่าดั่งทองคำ เรื่องเช่นนี้ทุกคนชอบฟังที่สุด
วงการขุนนางเมืองหลวงเดิมก็วุ่นวายด้วยเรื่องฎีกาของเว่ยหยุนเจิน และเพราะเรื่องสวีเจี้ยจากไป ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่น
การเปลี่ยนความคิดที่มีต่อองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงของราษฎร ไม่เป็นที่สนใจแต่อย่างใด จะว่าไป แม้ว่าไม่มีเรื่องยุ่งๆ พวกนี้ ก็ไม่มีคนสนใจอยู่ดี
ตรอกม้าหินเป็นถนนที่รุ่งเรืองสายหนึ่งของเมืองหลวง เทียบกับถนนสองสายข้างๆ แล้ว ความคึกคักต่างกันมาก แต่พื้นที่กับหน้าร้านยังถูกว่าตรอกม้าหินมาก ตอนเดือนหก ไม่รู้ว่ามีคหบดีจากที่ใด ซื้อที่ไปผืนใหญ่
เดิมคิดว่าจะนำมาทำการค้าเปิดหน้าร้าน แต่พอรื้อถอนอาคารเดิมออก ด้านนอกใช้แผงไม้กับไม้ไผ่สร้างขึ้น ใช้ผ้าปิดกั้นไว้ ไม่ให้ผู้ใดเห็นว่าข้างในทำอันใด ทั้งวันเห็นแต่ขนย้ายเครื่องก่อสร้างเข้าไปทั้งหินทั้งไม้เป็นคันๆ เสียงดังตึงตังไม่หยุด
นอกพื้นที่เมืองหลวง ผู้ใดทำอันใดย่อมไม่มีคนสนใจ แต่หากเป็นเมืองหลวง เจ้าล้อมพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ กลับไม่ให้ดูว่าทำอันใดกัน เจ้าหน้าที่ก็ย่อมต้องมาสอบถาม พลทหารองครักษ์เสื้อแพรเข้าไปสอบถาม จากนั้นก็ไม่สนใจอีก ทหารจากศาลอาญาใหญ่ก็ไปสอบถาม เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนก็ไปสอบถาม ถามเสร็จก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใด หันกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ
คนเมืองหลวงเคยพบเห็นมาทุกรูปแบบ เห็นเจ้าหน้าที่ทางการเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมรู้ว่านายเบื้องหลังไม่ธรรมดา ไม่อาจล่วงเกิน และทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้างในนั้นจะก่อเรื่องไม่ดีอันใด
************
คณะงิ้วยุคนี้ที่ชั้นดีจริง ที่ร้องได้ดี แสดงได้ดี จะไม่ออกมาหาเงินเปิดเผย แต่จะมีคหบดีใหญ่เลี้ยงไว้ในจวน คณะงิ้วเล็กนอกจากแสดงงิ้วแล้ว บางครั้งยังเป็นภรรยาน้อยของบรรดาคหบดีใหญ่อีกด้วย หรือพวกนางบรรเลงพิณ ก็มีรายได้ไม่น้อย ของกินของใช้ล้วนดีกว่าคหบดีระดับกลางด้วยซ้ำ
แต่ร้านน้ำชาหรือร้านอาหารที่มีเวทีให้แสดงงิ้วนั้น เรียกได้ว่าสภาพแย่มาก ไม่ต้องพูดถึงเสียงเอะอะในร้าน ไม่มีคนสนใจ ร้องไปก็ได้แค่เงินพอให้อิ่มท้อง หากต้องการเงินมากก็เลิกคิดได้ อาจมีบางครั้งที่จวนคหบดีใหญ่หรือหมู่บ้านที่ต้องการนำไปไหว้เทพเจ้าก็อาจจะมาเชิญไปแสดงพอได้เงินบ้าง
เพราะว่าชีวิตลำบาก ดังนั้นจึงไม่พิถีพิถันมากนัก คณะงิ้วในตระกูลใหญ่จึงดูมีระดับกว่า พิถีพิถันคำร้องมากกว่า คณะงิ้วพวกนี้อยากร้องไรก็ร้อง ภาษาอยากหยาบหรือสวยหรูก็ร้องกันได้หมด ร้องให้ผู้ชมพอใจจึงจะได้เงินรางวัล
ต้นเดือนเจ็ด เมืองหลวงในเขตทักษิณมีคณะงิ้วเลี้ยงชีพสองคณะอยู่ๆ ก็หายไป ไม่มาอีกแล้ว หรือว่าไปร้องในจวนคหบดีหรือว่าร้านน้ำชาร้านอาหาร สองคณะนี้แม้ว่าเป็นคณะระดับชาวบ้าน แต่ก็ร้องได้ไม่เลว มักจะแต่งบทงิ้วใหม่ๆ แขกก็ยังมาชมไม่ขาด แต่อย่างไรก็ทำเงินได้ไม่มาก ว่ากันว่าในตอนแสดงเท่านั้นจึงจะมีเงินหาเนื้อสุราอาหารกินกันได้ ชีวิตยากลำบากมาก คณะเช่นนี้ยุบไปย่อมน่าเสียดาย แต่ยุบก็ยุบไปเถอะ คณะงิ้วเมืองหลวงเช่นนี้มีไม่น้อย ไม่ขาดแคลน หาคณะอื่นเอาก็ได้
***********
การค้าร้านสามธาราแห่งเทียนจินใหญ่มาก แม้จะเปิดมาได้แค่ 5-6 ปี การค้าเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกร การค้าทะเลไม่ต้องพูดถึง การค้าที่เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจว เมืองต้าถงและเมืองเหลียวโจวเรียกได้ว่าเต็มไปหมด ทุกวันทำเงินได้ราวกับภูเขาทองทะเลเงิน
คนที่อยู่เทียนจินใน 5-6 ปีมานี้จำได้ว่า ตอนนั้นเทียนจินยังไม่มีร้านสามธารา ตอนนั้นมีแค่ร้านทงไห่ ร้านจิ้นเหอกับร้านหย่งเซิ่งสามร้านเท่านั้น
แค่เวลาสั้นๆ สามร้านค้าก็หายไป ถูกร้านสามธาราควบรวมไป ตอนนี้คนนอกมาทำการค้าที่เทียนจิน บางครั้งไม่อยากทำการค้ากับร้านสามธาราก็จะไปร้านอื่น คนพวกนี้เป็นลูกค้าเก่าของร้านทงไห่ ร้านหย่งเซิ่งกับร้านจิ้นเหอ
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า กิจการสามร้านนี้เป็นกิจการร้านสามธาราหมดแล้ว พวกสายสัมพันธ์ทางการค้าเก่าแก่กับสามร้านนี้ ร้านสามธาราสู้ไม่ได้ เช่นพวกชนเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกชายแดนเมืองต้าถง ทำการค้ากับสามร้านนี้มานานหลายปี พ่อค้าหลายร้านที่เมืองต้าถงก็นำเข้าสินค้าจากสามร้านนี้
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 การค้านอกด่านของร้านทงไห่ ร้านจิ้นเหอกับร้านหย่งเซิ่งบนทุ่งหญ้านอกด่านเกิดปัญหา ไม่รู้ว่าเหตุใด พวกนอกด่านจึงไม่ทำการค้ากับสามร้านนี้
สถานการณ์นี้ก็แก้ไขง่ายมาก ก็แค่เปลี่ยนชื่อร้าน ถึงขั้นไปเปิดร้านค้าใหม่ที่เมืองต้าถงกับเมืองไท่หยวน จากนั้นก็นำสินค้าขายผ่านทางนั้น
รองแม่ทัพหม่าต้งแห่งเมืองต้าถงคนเดิมตอนนี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพชั่วคราว ให้การดูแลร้านสามธาราอย่างมาก ได้รับการดูแลเช่นนี้ แม้ว่าพวกนอกด่านก็ยังต้องให้เกียรติ
ทุ่งหญ้านอกด่านกับแผ่นดินหมิงต่างกัน แต่ละแห่งบนแผ่นดินหมิงมีกฎหมาย มีคนปล้นชิงพ่อค้าแผ่นดินหมิง หากมีคำสั่งมา ขุนนางท้องที่ก็ต้องนำกำลังจับกุมผู้กระทำผิด แม้ว่าหนีไปสุดขอบฟ้า ก็ไม่มีที่ให้หนีได้ แต่ทุ่งหญ้านอกด่านไม่เหมือนกัน พื้นที่พวกนอกด่านป่าเถื่อน ไม่ใช่ที่มีกฎหมาย แม้เผ่าใหญ่อย่างเผ่าอันต๋าจะมีกฎหมายระบุ แต่พื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เหมือนทะเลเช่นนี้ โจรที่เร่ร่อนอยู่ในพื้นที่หรือพวกเผ่าเล็กๆ ปล้นก็ปล้นไปแล้ว คนก็สังหารและทำร้ายไปแล้ว สินค้าก็แย่งมาแล้ว ไม่มีที่ให้ร้องทุกข์ ไหนเลยจะมีทางการมารับเรื่องฟ้องร้อง พื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่จะไปตามจับได้ที่ใด
บางครั้งมีขุนนางเผ่าอันต๋านำทหารม้าออกมากระทำการส่วนตัว เช่นนี้ก็ย่อมไม่รู้จะไปฟ้องร้องเอากับผู้ใด ได้แต่ยอมรับความซวยไป แต่พวกทุ่งหญ้านอกด่านก็ยังพึ่งพาสินค้าแผ่นดินหมิงหลายอย่าง พ่อค้าไม่กล้ามา ก็เท่ากับทำลายตัวเอง เรื่องนี้ก็มีให้เห็นบ่อย
เมื่อก่อนร้านสามธารานำขบวนการค้าไปทำการค้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน เรียกได้ว่าราบรื่นดี ไม่เคยเกิดเรื่องอันใด แต่พอเข้าสู่เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 คนทำการค้าที่เทียนจินล้วนรู้ว่า ขบวนพ่อค้าร้านสามธาราไม่น้อยถูกปล้นที่ทุ่งหญ้านอกด่านตอนเหนือเมืองต้าถง พูดไปแล้ว เทียนจินมีความสามารถทำการค้ากับเมืองต้าถงและพวกนอกด่านได้ ก็มีเพียงร้านสามธาราเท่านั้น
ในเมื่อถูกปล้น การค้ายังต้องทำ ก็ต้องหาวิธีป้องกัน ดังนั้นร้านสามธาราจึงติดต่อกองกำลังทัพม้า ให้พวกเขาส่งคนมาช่วย
กองกำลังหู่เวยมีสองทัพคือทัพม้าและทัพปืนใหญ่ที่ไม่อยู่ในระบบ ทัพม้านั้นเรียกให้ถูกต้องก็คือขบวนปกป้องร้านค้าที่ร้านสามธาราเลี้ยงไว้ ในเมื่อไม่อยู่ในระบบทหารหมิง ย่อมไม่ถูกทางการควบคุม ใช้เงินคนอื่น ก็ย่อมต้องลงแรงทำงานให้ จึงต้องส่งทหารม้าหลายร้อยนายมาช่วยปกป้องขบวนการค้า
ทหารม้าหลายร้อยแบ่งเป็นสองสามกอง เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่พ่อค้าพื้นที่เทียนจินไม่น้อย ที่แท้เป็นการค้าใหญ่หรือไร แม้แต่ทหารม้าก็ยังต้องหนึ่งทหารต่อสองม้า เกราะครบ การอารักขาเช่นนี้เหมือนอารักขาแม่ทัพทั้งหลาย แต่กลับไปเอารักชาขบวนการค้า
กองแรกคุ้มกันผ่านเขตพื้นที่เมืองหลวง หม่าซานเปียวนำกำลังสิบกว่านายออกไปรอรับ เดินทางต่อไปยังเมืองต้าถงมณฑลซานซี
มณฑลซานซีทางนั้น ร้านสามธาราใช้ชื่ออื่นเปิดร้าน กำลังเตรียมรับสินค้าอยู่ พ่อค้าที่มองกันอยู่ก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้สภาพทั่วไปกำลังดี พวกทุ่งหญ้านอกด่านไม่ขาดแคลนอาหาร เจ้าเตรียมเสบียงไปมากมายเช่นนี้ทำไมกัน นำเสบียงไปไม่สู้ไปหาซื้อเอาตามเมืองต่างๆ ในมณฑลซานซีไม่ดีกว่าหรือ?
……………
[1] สมัยโบราณใช้สุนัขและอินทรีล่าสัตว์ ต่อมาเปรียบถึงสุนัขรับใช้นาย