ตอนที่ 742 กระโจมข่านในเมืองกุยฮว่าเฉิง
“กองกำลังเช่นนี้ปรากฏตัวบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเจ้ายังเชื่อว่าเขาออกมาปราบปรามกองโจรม้างั้นหรือ!”
รายงานของต๋าหลู่ฮัวชื่อทำให้โดนเซิงเก๋อตูกู่เหลิงตวัดแส้ฟาดใบหน้าไปทีหนึ่ง ในวังข่านหยุดการระบำทั้งหมด ทหารส่งข่าวออกไป ไม่นาน ถูสือม่อเอ่อร์ซ้ายและขวากับจาเอ่อร์ฮู่ฉีเผ่าอันต๋าหลายท่านรีบเข้าวังมา
ถูสือม่อเอ่อร์ก็คือที่ปรึกษาของข่านอันต๋า สถานะก็เหมือนกับเสนาบดีใหญ่แผ่นดินหมิง มีฝ่ายซ้ายและขวาสองตำแหน่ง ล้วนเป็นชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าที่ข่านอันต๋าไว้ใจที่สุด จาเอ่อร์ฮู่ก็คือผู้ช่วยของถูสือม่อเอ่อร์ ที่จริงแล้วหากเป็นเผ่าใหญ่มากๆ จาเอ่อร์ฮู่ฉีก็จะได้นำคณะขุนนางใหญ่ ก็เหมือนกับเจ้ากรมในหกกรมกองของแผ่นดินหมิง ต๋าหลู่ฮัวชื่อผู้มีตำแหน่งปาหลางก็คือหัวหน้าขุนนางฝ่ายในในวังราชวงศ์หยวน ตอนนี้ก็น่าเท่ากับสำนักส่วนพระงอค์แผ่นดินหมิง เป็นศูนย์กลางสั่งการอำนาจของท่านข่าน
ข่านเผ่าอันต๋ามาจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ สร้างกำลังยิ่งใหญ่มาได้เช่นนี้ ก็จำเป็นต้องอาศับการปกครองที่มีประสิทธิภาพ ที่ควรค่าแก่การศึกษาก็คือระบบขุนนางของราชวงศ์หยวนในตอนนั้น
ตอนนั้นศูนย์กลางของราชวงศ์หยวนกับขุนนางใหญ่ท้องที่ล้วนเป็นแบบขุนศึกน้อยใหญ่ อำนาจเป็นเอกเทศมาก เผ่าอันต๋าได้รับบทเรียนจากการนี้ กำลังทหารจึงได้อยู่ในมือท่านข่านเพียงผู้เดียว
“กำลังทหารห้าพันทางนั้นน่าจะต้านกำลังทหารหมิงอยู่ ท่านข่านไม่ต้องเป็นกังวลพะยะค่ะ!”
ตั้งแต่เซิงเก๋อตูกู่เหลิงขึ้นดำรงตำแหน่งท่านข่านมา ก็ไม่ค่อยมีคนได้เห็นเขาระเบิดอารมณ์เช่นนี้ ถูสือม่อเอ่อร์คนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง เซิงเก๋อตูกู่เหลิงหรี่ตามอง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ทหารม้าหมิงเองไม่ใช่แค่ห้าพัน ยังมีทหารราบ 20,000 พวกเจ้าคิดว่าไห่ยื่อกู่จะเอาอยู่หรือ ข้าถามพวกเจ้า แผ่นดินหมิงกี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้นำทหารออกมาตอนเหนือ?”
พอเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็สบตากันไปมา พากันส่ายหน้า การเคลื่อนทัพใหญ่มาเช่นนี้เกรงว่าร้อยปีไม่เคยมีมา เซิงเก๋อตูกู่เหลิงตบโต๊ะเสียงดังตวาดอย่างโมโหหนักว่า
“ในเมื่อกล้าขึ้นเหนือมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าพวกมันมีความมั่นใจ แม้ข้าไม่รู้ว่าคืออันใด แต่เกรงว่าไห่รื่อกู่ต้านไม่อยู่ หลาง!!”
เมื่อครู่ที่ถูกแส้ฟาดใบหน้าห้อเลือดไปผู้นั้นก็คือปาหลาง ตอนนี้ไม่กล้ากล่าวอันใด ได้แต่คุกเข่า พอได้ยินเซิงเก๋อตูกู่เหลิงเรียกจึงได้รีบลุกขึ้นมายังเบื้องหน้า
“ให้ฮูเหอปายื่อวันนำกำลังทหารม้า 4,000 รีบลงใต้ไป หากว่าไห่รื่อกู่ยังต้านอยู่ก็ช่วยพวกเขารบ หากไห่รื่อกู่พ่ายแล้ว ก็รีบเข้าช่วย หากพบเห็นทหารหมิงอย่าได้รบติดพัน ให้กลับมาทันที มารวมกำลังก่อน ตอนนี้รีบไปถ่ายทอดคำสั่ง สั่งให้เขาออกเดินทางตอนฟ้ามืด”
กล่าวจบ เซิงเก๋อตูกู่เหลิงก็เปิดกล่องเหล็กหยิบธนูทองดอกเล็กหนึ่งออกมาโยนให้ปาหลาง ปาหลางรีบคุกเข่าเก็บขึ้นมา วิ่งออกไปทันที
ปาหลางออกไป เซิงเก๋อตูกู่เหลิงก็คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนถามขึ้น
“ในสามวัน สามารถรวมกำลังทหารม้าสี่ห้าหมื่นได้ไหม ยังมีมากกว่านี้อีกไหม?”
“……ท่านข่าน ท่านส่งฮูเหอปายื่อแม่ทัพเก่งกล้าไปแล้ว เขากับไห่รื่อกู่ผสานกำลังกันก็ทหารม้าหมื่นนาย นับว่าส่งไปปราบปรามทหารม้าอื่นได้แล้ว ทหารม้าหมื่นกว่านายหรือว่าไม่อาจปราบทหารหมิงสามหมื่นได้กัน……”
จาเอ่อร์ฮู่ฉีผู้หนึ่งอดไม่ได้กล่าวขึ้น ก่อนถูกเซิงเก๋อตูกู่เหลิงตวัดตามองเย็นเยียบ จึงรีบหยุดทันที ถูสือม่อเอ่อร์ฝ่ายขวาเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ท่านข่าน ตอนนี้นอกเมืองในสามวันสามารถรวบรวมทหารม้าได้มากสุดก็สามหมื่น สองสามวันก่อนส่งออกไปตะวันตกกองหนึ่ง ระยะนี้เผ่าอี้ลี่ปาหลี่คิดไม่ซื่อกันเรา ทหารม้าที่เหลือ……คือว่า……”
“อย่าทำตัวอ้ำๆ อึ้งๆ แบบพวกหมิง ว่ามา รีบว่ามาเร็ว!!”
เซิงเก๋อตูกู่เหลิงยามนี้อารมณ์เดือดจัด พอได้ยินขุนนางลังเล ก็โมโหตบโต๊ะดัง ผู้คุ้มกันด้านนอกหรี่ตาคิดเข้ามาดู
“ท่านข่าน ทหารม้ามเหสี กระโจมทองเราสั่งการไม่ได้……”
ที่เรียกว่ากระโจมทอง ในเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ได้หมายถึงกระโจมของข่าน ในเมืองกุยฮว่าเฉิง กระโจมทอง เทียบได้กับหน่วยเสนาธิการทหารแผ่นดินหมิง มีหน้าที่สั่งการกำลังพล เป็นศูนย์กลางทหารเผ่าอันต๋า ในจำนวนนี้มีทหารม้าเก่งกล้าของเซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามอยู่ด้วย ที่เรียกว่าทหารม้ากระโจมทอง ก็คือองครักษ์ประจำพระองค์ในเผ่าอันต๋า
สีหน้าเซิงเก๋อตูกู่เหลิงไม่ดีนัก นิ่งไปพักหนึ่ง กำลังจะยืนขึ้น แต่อย่างไรก็อายุมากแล้ว พอยืนขึ้นเร็วไปหน่อย ก็รู้สึกหน้ามืดทันที ร่างกายโงนเงนไปมา เกือบล้ม ทุกคนรีบลุกขึ้น นางกำนัลด้านหลังรีบเข้ามาประคอง
“พวกเจ้าไปเคลื่อนกำลังทหารม้าที่อื่นมาก่อน ข้าจะไปพบมเหสีสาม”
ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงยืนมั่นคงแล้ว ก็ถอนหายใจกล่าวขึ้น ขุนนางพากันคำนับออกไป เตรียมออกจากวังไปจัดการตามคำสั่ง เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกล่าวพึมพัมว่า
“บอกว่าข้าเป็นท่านข่าน แต่ทหารม้ามเหสีข้าสั่งการไม่ได้ ทหารม้าไซ่ต๋าเท่อข้าก็สั่งการไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่านี่มันท่านข่านอันใดกัน!!?”
พอได้ยินเช่นนี้ ขุนนางก็พากันตัวสั่นงันงก ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้น ธรรมเนียมชาวมองโกลบนทุ่งหญ้านอกด่าน ทหารม้าไม่ได้ตกใจอำนาจสั่งการของกองทัพใหญ่ หากเป็นอำนาจการสั่งการของแม่ทัพชนชั้นสูงแต่ละหน่วย ยามศึกต้องการก็จะมารวมกัน แต่ทหารก็ยังคงตามนายไม่เปลี่ยน ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเอกภาพนัก ตอนทำศึกก็ยากที่จะเกิดการไม่ประสานงานกัน ไม่อาจรับความเสียหายหนักได้ ระแวงกันเอง ปัญหาต่างๆ มากมาย
เผ่าอันต๋ารุ่นแรกสามารถยิ่งใหญ่เหนือทุ่งหญ้านอกด่านมาได้ ก็เพราะค่อยๆ รวบรวมทหารม้าแต่ละเผ่าให้เข้ามาอยู่ใต้อำนาจรับคำสั่งได้ ทหารม้าแม้ว่าตามกำหนดจะอยู่ใต้บังคับบัญชาชนชั้นสูง แต่ที่จริงแล้วเป็นนายทหารที่ข่านส่งไปควบคุมสั่งการ จึงได้ทำให้สามารถรวมกำลังให้ฟังคำสั่งเป็นหนึ่งเดียวได้ จึงได้ทำให้เกิดกำลังเอกภาพที่แท้จริง
หากมาระยะหลัง ข่านเผ่าอันต๋าลุ่มหลงนารีและความสำราญบันเทิง ยังนับถือพุทธวัชรยาน ควบคุมลูกน้องไม่เข้มงวดเหมือนเก่า ทำให้เกิดเหตุกลับไปเชื่อคำสั่งนายทัพตนเป็นหลักอีกครั้ง
นายทหารที่ข่านเผ่าอันต๋าส่งไปเข้าแทนการควบคุมของชนชั้นสูงเดิมนั้นค่อยๆ กลายเป็นเจ้านายแท้จริงของบรรดาทหารม้า การรวมกลุ่มอำนาจค่อยๆ อ่อนแอลง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข่านเผ่าอันต๋าในวัยชราโปรดมเหสีสาม มองทหารม้าหมื่นนายให้มเหสีสามสั่งการ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้กองกำลังเกิดความแตกแยกที่สุด ที่เหลวไหลน่าขันที่สุดก็คือ ราชสำนักแผ่นดินหมิงกลับมาช่วยเผ่าอันต๋าที่แตกแยกกันแล้วให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ด้วยการที่ราชสำนักหมิงส่งราชทูตมาเกลี้ยกล่อมให้เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามอภิเษกกัน เพื่อธำรงเผ่าอันต๋าให้สืบไป
แตงที่บีบคั้นมานั้นไม่หอมหวาน เซิงเก๋อตูกู่เหลิงเป็นข่าน มเหสีสามเป็นพระมเหสีอยู่ร่วมกัน กลับเหมือนกับสัตว์ร้ายไม่อาจร่วมถ้ำ สองคนต่างมีกองกำลังจงรักภักดี คำสั่งแยกกันสั่ง แค่เปลือกนอกที่ปรองดองกันเท่านั้น
ตอนนี้หากต้องการเคลื่อนกำลังทหารม้ามเหสีสาม เซิงเก๋อตูกู่เหลิงจะต้องไปขอด้วยตนเอง เรื่องนี้จะให้เขารู้สึกพอใจได้อย่างไร เผ่าอันต๋าเริ่มค่อยๆ ตกต่ำแตกแยก เซิงเก๋อตูกู่เหลิงเฝ้ามองมาด้วยตาตนเอง ช่างเป็นเรื่องแสนอึดอัดใจอย่างที่สุด
หัวหน้าแต่ละเผ่า ชนชั้นสูงจากทุกที่ ล้วนพากันอุทานตกใจกับวังของข่านอันต๋าในเมืองกุยฮว่าเฉิง คิดว่าตระการตาแล้ว แต่มีพ่อค้าบอกว่า วังนี้เทียบกับพระราชวังต้องห้ามในแผ่นดินหมิงแล้ว เรีกยได้ว่าไม่ถึงหนึ่งในสิบ ขนาดเช่นนี้เรียกว่าเล็กแล้ว
ข้างกายเซิงเก๋อตูกู่เหลิงมีหญิงสาวท่วงท่างดงามอ่อนเยาว์ปรนนิบัติ มเหสีสามก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาข้างกาย นี้เป็นเรื่องน่าขันในวงสนทนาของชนชั้นสูงเผ่าอันต๋า เซิงเก๋อตูกู่เหลิงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ เซิงเก๋อตูกู่เหลิงมาพูดไม่กี่คำ มเหสีสามก็ควักเอาป้ายคำสั่งออกมา ต่างจากธนูทองของเซิงเก๋อตูกู่เหลิง มเหสีสามเป็นป้ายทองคำรูปม้า
“ทหารหมิงขึ้นเหนือมาครานี้ คิดการไม่เล็ก ท่านข่านต้องระวังให้รอบคอบ!”
มเหสีสามกล่าวหนักแน่น ทำให้เซิงเก๋อตูกู่เหลิงซาบซึ้งยิ่ง อย่างไรก็ชาวเผ่าอันต๋าด้วยกัน ในเวลาวิกฤตย่อมต้องแยกแยะหนักเบา เซิงเก๋อตูกู่เหลิงตอบหนักแน่นกลับว่า
“ขอมเหสีวางใจ ฮ่องเต้น้อยแผ่นดินหมิงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถูกขุนนางอายุพอกันเป่าหู จึงได้หน้ามืดตามัวนำทัพมาทุ่งหญ้านอกด่าน ข้าจะต้องตีพ่ายพวกมันให้ยับเยิน ครั้งนี้ พวกเราจะได้เข้าเมืองต้าถงกัน หรืออาจไปถึงเมืองหลวงเลย พวกเราตอนนั้นเข้าไปถึงวังต้องห้ามของฮ่องเต้หมิงกัน ดำเนินรอยตามเจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้าของเรา……”
เพราะอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาล เมืองกุยฮว่าเฉิงที่เริ่มครึกครื้นก็หยุดทุกอย่างทันที ชนชั้นสูงในเมืองต่างก็รวบรวมกำลังนักรบผู้คุ้มกันไปรวมตัวกันนอกเมือง ทหารแจ้งข่าวขี่ม้าออกไปอย่างรวดเร็ว ไปแจ้งข่าวรวบรวมกำลังมาจากบริเวณรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง
************
ไม่ต่างกับที่หวังทงคาดไว้นัก แม้ว่าสายสืบพวกนอกด่านมากันมาก แต่พวกที่กล้าจริงๆ มีไม่มาก ส่วนใหญ่แค่ลอบสังเกตการณ์แล้วก็กลับไปรายงาน
วันที่สามขึ้นเขา พอวันที่ห้าจึงเริ่มมาถึงเนินเขาขาลง ไม่มีเหตุการณ์ต่อสู้อันใด ที่สะดุดตาทุกคนก็คือทัพม้าลาดตระเวน ทหารม้ากองกำลังหู่เวย เมืองจี้โจวกับเมืองต้าถงเหมือนกำลังแข่งกัน แต่ละคนแสดงความสามารถตนออกมา
สายสืบนอกด่านหรือพวกชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่มีสัญชาติญาณมากกว่าชาวบ้านทั่วไป พบว่าทหารแผ่นดินหมิงล้วนฝึกมาดี เป็นนักรบพร้อมยุทโธปกรณ์อย่างดี เป็นการรบที่เรียกได้ว่าน่ากลัวยิ่ง
หิ้วกลับมาวันละหัว ตกดึกรอบสองข้างทางในหุบเขาเป็นที่ต้องลงเท้าเดิน พวกทหารม้าพวกนอกด่านที่ขี่ม้าจนชินได้แต่ค่อยๆ ย่ำเข้าใกล้ ในการรบแบบไม่ใช้ม้าพวกเขาไหนเลยจะสู้ทหารหมิงได้ วันที่ห้าพวกนอกด่านไม่กล้าเข้าใกล้มาสอดแนมแล้ว
ผ่านการสังหารศัตรูมาหลายวัน ทหารม้าเมืองจี้โจวเปลี่ยนความคิดที่เคยมีต่อทหารม้ากองกำลังหู่เวยไปไม่น้อย เป็นทหารม้าแผ่นดินหมิงเหมือนกัน เรื่องกฏระเบียบพอๆ กับกองกำลังหู่เวย ความกระหายเลือดสังหารไม่แพ้กัน ในการควบม้าพร้อมทวนเดี่ยวสังหารศัตรูและการรบแบบกองโจร เหมือนกองกำลังหู่เวยจะเหนือกว่า
วันที่ห้าเดินออกจากเขา นอกจากที่ไกลๆ มีสายสืบเวียนวนแล้ว ก็ไม่มีพวกนอกด่านกล้าเข้าใกล้อีก ทหารม้าหมิงกลับมารายงาน ด้านหน้ามีทหารม้าพวกนอกด่านทัพใหญ่