№ 165 จะร่ำลา!
“ก็แน่สิ! ข้าบอกว่าอย่าชกหน้า แต่นางยังเลือกชกเฉพาะหน้าข้า โหดร้ายเกินไปแล้ว”
ชายหนุ่มชุดฟ้าร้อนรน คลึงขยับแผลบนใบหน้า ก่อนจะสูดหายใจร้องซี๊ดอีกที “ข้าเดินกะโผลกกะเผลกกลับมา พวกสาวใช้ในจวนเห็นก็พากันปิดปากแอบหัวเราะ ทำให้ข้าต้องใช้แขนเสื้อบังไว้ ไม่มีหน้าจะไปพบใครแล้วจริงๆ”
“แผลนี้หรือว่าเป็นฝีมือกวนสีหลิ่น? คงไม่ใช่กระมัง กำลังเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า งั้นเป็นท่านผู้เฒ่ารึ?” คนหนึ่งกำลังคาดเดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
ได้ยินคำพูดนี้ ชายหนุ่มชุดฟ้าก็ยกมุมปาก เผยรอยยิ้มอวดดี “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเดาไม่ถูกหรอก เพราะข้าเองก็เดาไม่ออก ดังนั้นถึงได้ลงทุนเจ็บตัวแทนเช่นนี้ ซี๊ด เจ็บชะมัด”
เขาดึงๆ ชายหนุ่มชุดขาว กล่าวว่า “ฟ่านหลิน รีบหยิบยามาทาให้ข้าหน่อยสิ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“บอกให้ชัดเจนก่อน ไม่งั้นเจ้าก็ไปทายาเองเถอะ” ชายหนุ่มชุดขาวฟ่านหลินนั่งลงข้างๆ กัน ไม่ขยับเขยื้อน
เห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มชุดฟ้าถึงจะบอกว่า “เป็นฝีมือคุณหนูใหญ่ ลงมือได้ทารุณ หนำซ้ำ ข้าจะบอกพวกเจ้าว่า…”
น้ำเสียงเขากดเบาลงบางส่วน “พละกำลังนางแข็งแกร่งมาก ทักษะก็แปลกประหลาดนัก เหนือกว่าข้ากับเจ้าแน่นอน”
ขณะพูด ก็ชี้ๆ บาดแผลบนใบหน้าตัวเอง “เห็นหรือยัง? หากข้ามีแรงต่อต้านสักนิด คงไม่ปล่อยให้ใบหน้าหลอเหลาที่หว่านเสน่ห์หญิงสาวได้เป็นหมื่นเป็นพันนี้ถูกชกเป็นหัวหมูแน่”
ทุกคนฟังแล้วก็ตะลึงอยู่บ้าง “คุณหนูใหญ่? นางซ้อมเจ้าจนเป็นเช่นนี้รึ?”
“ไม่งั้น พวกเจ้าคิดว่าในจวนยังมีใครที่มีฝีมือเช่นนี้อีก?” เขาเบะปาก เอ่ยว่า “ข้าบอกแล้ว! คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ธรรมดา พวกเจ้าก็ไม่เชื่อ จริงด้วย เมื่อครู่ข้าเรียกนางว่านายหญิงแล้ว ขาดแค่สาบานตน”
“เจ้ายอมรับนางเป็นนายแล้วรึ?” พวกเขาแปลกใจเล็กน้อย แค่ออกไปแวบเดียว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับนางแล้ว?
“ใช่ ยอมรับแล้ว ข้ายอมรับนาง ซี๊ด รีบหยิบยามาทาให้ข้าสิ!”
ฟ่านหลินลุกยืนขึ้น มองพวกเขาที่กำลังครุ่นคิดแวบหนึ่ง ถึงจะเดินเข้าห้องไป หยิบกล่องยาออกมาจัดการแผลให้เขา
กลางคืนวันนั้น เฟิ่งจิ่วมาที่ห้องท่านปู่
“แม่หนูเฟิ่ง เมื่อเย็นเหลิ่งซวงบอกว่าหลานมีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องอะไรรึ?”
ท่านผู้เฒ่านั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองหน้าเฟิ่งจิ่วพลางถาม
เฟิ่งจิ่วหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นรินชาสองถ้วย ถึงจะบอกว่า
“ท่านปู่ ด้านตลาดมืดนั้นเชิญหลานไปช่วยงาน เรือบินที่ส่งมารับหลานเดาว่าพรุ่งนี้คงมาถึง ออกไปครั้งนี้อย่างน้อยก็สองสามเดือน ดังนั้นเรื่องในจวนยังต้องให้ท่านคอยดูอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
“ส่งเรือบินมารับหลานรึ?”
ท่านผู้เฒ่าท่าทางตื่นเต้น
“พาหนะบินได้น่ะรึ? นั่นไม่ใช่ของที่แคว้นธรรมดาๆ จะมีไว้ หรือว่าแคว้นที่เดินทางไปครั้งนี้สูงกว่าระดับหกอีกรึ?”
เธอส่ายหน้า
“เรื่องนี้หลานยังไม่ถาม จึงไม่ค่อยรู้ชัด หลานกำลังคิดอยู่ ว่าจะบอกตัวตนภูตหมอให้ท่านพ่อรู้สักหน่อยดีหรือไม่? เพื่อเลี่ยงให้เขาเป็นกังวลที่ข้าออกบ้านไปหลายเดือน”
“ไม่ต้องๆ พ่อหลานคนนั้นมักเอาทุกอย่างมาไว้เบื้องหน้า หากบอกไปคงเก็บคำพูดไว้ไม่ได้แน่ ถ้าวันไหนไปกินเหล้ากับใคร พออารมณ์ดีก็พูดออกมาแล้ว เดาว่าทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ยคงรู้กันหมด”
ฟังเช่นนี้ เธอก็ยิ้มเยาะอย่างอดไม่ได้ “ท่านปู่ แน่ใจนะเจ้าคะว่าไม่ได้พูดถึงตัวเองอยู่?”
“เหอะๆ จะเป็นไปได้ยังไงเล่า? ดื่มเป็นพันจอกปู่ก็ไม่เมาหรอก แต่บางครั้งมักจะสับสน เกรงว่าถึงเวลาก็ลืมเรื่องพวกนี้หมดแล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย
……………………………