№ 322 เป็นหรือตาย?
ตอนนี้เอง ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ เสียงเหลิ่งซวงลอยมาจากด้านนอก
“นายท่าน”
“เข้ามา”
เฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่นในห้องมานั่งลงยังข้างโต๊ะด้านนอกพร้อมๆ กัน จึงเห็นเหลิ่งซวงในชุดสีดำมือถือภาดเดินเข้ามา
“นายท่าน คุณชาย นี่คือข้าวต้มรังนกที่ท่านผู้เฒ่าให้คนต้มมาเจ้าค่ะ” นางยกข้าวต้มรังนกสองชามมาตรงหน้าทั้งสองถึงจะถอยไปข้างๆ
“ท่านปู่ข้าหลับแล้วรึ?” เฟิ่งจิ่วทานข้าวต้มรังนกพลางเอ่ยถาม
“อาหวาเฝ้าท่านผู้เฒ่าอยู่ทางนั้น บอกว่าเขาหลับไปแล้วเจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงพูดจบเสียงก็ชะงักไป บอกว่า “หัวหน้ากององครักษ์หกคนนั้นมารอพบนายท่านอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
เฟิ่งจิ่วกินข้าวต้มรังนกก่อนจะเลื่อนชามไปข้างๆ บอกว่า “ให้พวกเขาพักอยู่ในจวนก่อน รอข้าว่างค่อยไปพบ”
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงขานรับ ออกไปส่งต่อคำพูด
หลังทั้งหกคนที่คอยอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดนั้นก็มองหน้ากันแล้วออกไปก่อน พวกเขาได้ยินข่าวว่าผู้นำตระกูลเกิดเรื่องจึงรับกลับมา เดิมทีนึกว่าคุณหนูใหญ่ไม่อยู่กลับไม่คิดว่าที่แท้นางกลับมา
แต่ไม่รู้ว่าอาการผู้นำตระกูลตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? พ้นช่วงอันตรายไปหรือยัง?
แม้ทั้งแปดคนจะออกนอกจวนกลับยังไปไม่ไกล แต่เฝ้าอยู่รอบๆ เรือนเหมือนกับเหล่าทหารอารักขาในจวน คอยปกป้องอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
คืนนี้ไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งจิ่วที่ไม่ได้นอน แม้แต่มู่หรงป๋อในพระราชวังก็ไม่อาจนอนสนิท กังวลใจอยู่ตลอดทั้งคืนไม่รู้ว่าเฟิ่งเซียวเป็นยังไงบ้าง? ตายไปแล้ว? หรือยังไม่ตาย?
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นในตอนนั้นเฟิ่งเซียวฟังเสียงเขาออก หากเขายังไม่ตาย เกรงว่า…
นึกถึงตรงนี้ เขาลุกยืนขึ้นเดินวนไปวนมาอยู่กลางห้องบรรทม นั่งไปก็ไม่สงบใจ เพียงหวังให้ฟ้าสว่างเร็วขึ้นบ้างจะได้ส่งคนไปสอบถามข่าวคราวเสียหน่อย
เดิมทีเขาคิดจะส่งคนเข้าไปคืนนี้เพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น กลับหยุดความคิดไปหลังได้ยินถึงการคุ้มกันอย่างเข้มงวดของจวนตระกูลเฟิ่งในยามนี้ หากคืนนี้ส่งคนเข้าไปลอบสังหาร เกรงว่าจะทำให้พวกเขาสงสัยขึ้นมา
หลังผ่านการใคร่ครวญหลายครั้งจึงทำได้เพียงหยุดความคิดนั้นไว้
เหมือนกับพวกเขา คืนนี้มู่หรงอี้เซวียนในจวนอ๋องก็นอนไม่หลับเช่นกัน ท่าทางการกระทำของเสด็จพ่อวันนี้ทำให้เขาเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ด้วยกลัวว่าเรื่องที่เฟิ่งเซียวโดนโจมตีจะเกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ หากเป็นเช่นนี้…
ไม่! เขาอาจจะคาดการณ์ผิดไป เสด็จพ่อคงไม่ทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นโดยไม่นึกถึงผลที่ตามมาเช่นนั้น
ทว่าในใจกลับมีเสียงหนึ่งกำลังบอกเขาว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มากที่จะเป็นฝีมือเขา เพราะตอนนั้นเขาก็อยากฆ่าเฟิ่งเซียว หากเฟิ่งเซียวตายไปในตอนนั้น หลังจากนั้นทั้งหมดจะตกอยู่ในการควบคุมของเขา และยิ่งไม่มีสถานกาณ์น่ากังวลกระวนกระวายเช่นตอนนี้เกิดขึ้น
กลุ่มอำนาจแต่ละฝ่ายในเมืองอวิ๋นเยวี่ยต่างกำลังครุ่นคิด หากเฟิ่งเซียวล้มลงเช่นนี้ จวนตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นไร? หากเฟิ่งเซียวจากไปตอนนี้ จวนตระกูลเฟิ่งจะกลับเข้าราชวงศ์หรือถูกครอบครองโดยเครือญาติ?
ถึงอย่างไรหากไม่มีเฟิ่งเซียวปกปักษ์จวนไว้ ลำพังพึงแค่ผู้เฒ่าเฟิ่งที่แก่ชรากับเฟิ่งชิงเกอที่อายุเพียงสิบหกก็คุ้มกันจวนตระกูลเฟิ่งที่ใหญ่โตได้ไม่ไหว และท้ายที่สุดจวนตระกูลเฟิ่งนี้จะเป็นเช่นไร? พวกเขาตอนนี้ฉงนใจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงต่างสนใจความเป็นความตายของเฟิ่งเซียว
จนกระทั่งเวลาฟ้าสว่างวันต่อมา เหล่าตระกูลและกลุ่มอำนาจก็แทบจะส่งคนออกไปสอบถามคราวทันที…
แต่ที่ทำให้แปลกใจคือภายในจวนตระกูลเฟิ่งนึกไม่ถึงว่าจะไม่มีเสียงร้องไห้เศร้าโศก หน้าประตูใหญ่ไม่แขวนโคมไฟขาว และไม่มีการส่งข่าวว่าเฟิ่งเซียวสิ้นใจ
เช่นนั้น เขารอดแล้ว?
และยังมีชีวิตอยู่รอดต่อหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสและพิษรุนแรงเช่นนั้น?
………………………