№ 426 องครักษ์ตระกูลเฟิ่งฟังคำสั่ง!
ขณะได้ยินคำพูดนี้ กำลังสงสัยอยู่ ก็เห็นนางเก็บรอยยิ้มตรงริมฝีปาก สั่งการหลัวอวี่ซึ่งตามอยู่ข้างกาย เวลาต่อมาจึงได้ยินเสียงที่แฝงด้วยกลิ่นอายพลังเร้นลับจากปากเขา
“เหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่งฟังคำสั่ง!”
พอเอ่ยคำนี้ออกมา คนแคว้นเหินเวหาพลันระแวดระวังตัว นึกว่าพวกเขาคิดจะลงมือ
แม้แต่คนที่มุงดูอยู่ไกลออกไปร้อยเมตรเห็นภาพเช่นนี้ ก็ยังนึกว่าคนจวนตระกูลเฟิ่งจะประมือกับแคว้นเหินเวหา ด้วยเหตุนี้คนตระกูลเกิ่งที่พาคนไม่น้อยมาเฝ้าอยู่ตรงนั้นจึงมองไปทางผู้นำตระกูลและท่านผู้เฒ่าของพวกเขา
“ท่านพ่อ หากคนตระกูลเฟิ่งสู้กับคนแคว้นเหินเวหาขึ้นมา พวกเราจะเข้าไปช่วยจริงๆ หรือ?”
ผู้นำตระกูลเกิ่งมองผู้เฒ่าพลางถาม ความจริงในใจยังค่อนข้างกังวล ถึงอย่างไรกำลังของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังก็ไม่ใช่น้อยๆ คนของพวกเขาต้านทานไม่ได้แน่ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาไม่หวังให้ตระกูลเกิ่งยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้
“ลองดูไปก่อนเถอะ! แม่หนูเฟิ่งคนนี้บอกว่านางจัดการได้ ข้าก็อยากดูเสียหน่อยว่าพละกำลังของนางอยู่ระดับไหน” ผู้เฒ่าเกิ่งพูดพลางมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเล็กน้อย ม้าดีมักโดนขี่ คนดีมักโดนแกล้ง[1] หากตระกูลเฟิ่งมีศักยภาพจริงก็ควรลงมือได้แล้ว
“รอคำสั่ง!”
องครักษ์ทั้งหมดรอบด้านตะโกนเสียงเข้ม เสียงอื้ออึงสะเทือนหู อกผายหลังตั้งตรง มือหนึ่งจับกระบี่ยาวตรงข้างเอว สองตามีประกายสาดออกมา จิตวิญญาณมุ่งต่อสู้ลุกโชน เตรียมตัวพุ่งเข้าจู่โจมทุกเมื่อ!
“ทั้งหมดถอยไปซ้ายขวาสามสิบจั้ง!”
เสียงหลัวอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ ไม่เพียงคนแคว้นเหินเวหาที่อึ้งไป แม้แต่องครักษ์ที่เตรียมพร้อมต่อสู้อย่างดียังผงะไปครู่หนึ่ง แต่คุณสมบัติประจำตัวที่ดีงามก็ทำให้พวกเขาทำตามคำสั่งโดยไร้ซึ่งคำถาม ถอยออกไปยืนนิ่งทางซ้ายขวาในระยะร้อยเมตรอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งจิ่วจ้องมองคนตรงหน้าเหล่านั้น มุมปากยกเล็กน้อย ฝีเท้ากลับถอยไปด้านหลัง เห็นแค่เธอให้สัญญาณเหลิ่งซวงถอยไป พูดกับหลัวอวี่คำหนึ่งว่า “โยน!”
สิ้นเสียง เห็นเพียงหลัวอวี่ฉีกยิ้มกว้าง จับจ้องพวกผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังที่ตั้งรับอยู่เบื้องหน้า ใช้ตะบันไฟจุดชนวนแล้วจึงโยนกระบอกไม้ไผ่แต่ละอันออกไปอย่างรวดเร็วทันที
เมื่อโยนกระบอกไม้ไผ่ออกไป ในใจผู้ฝึกตนคนนั้นแอบหัวเราะเยาะ แต่ยังไม่ทันให้พวกเขาตอบสนองก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นข้างกาย พลังมหาศาลปะทุออกมาทันใด นอกจากควันหนาที่ตลบขึ้นมา สิ่งที่กระจายไปพร้อมกับพลังนั้นยังมีเสียงอุทานและเสียงกรีดร้องของผู้คนด้วย
“อึก! ของบ้าอะไรเนี่ย!”
ตู้ม! ตู้มๆๆ…
“อ๊าก! ขาข้า!”
“ซี๊ด! เจ็บเหลือเกิน! คันจริงๆ…”
ท่ามกลางความโกลาหล เสียงอุทานกรีดร้องแต่ละเสียงดังขึ้นในหมอกควัน ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรมองจนดวงตาเบิกกว้าง เห็นกระบอกไม้ไผ่แต่ละอันนั้นระเบิดออกปล่อยกระแสลมมากมาย กองกำลังที่เดิมเป็นระเบียบชุลมุนวุ่นวายอยู่กลางเสียงระเบิดดังสนั่น ซ้ำยังมีทหารอารักขาบางคนโดนระเบิดกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
“เฟิ่งชิงเกอ!”
เสียงตะโกนขึงขังซึ่งแฝงด้วยไฟโทสะเหลือล้นดังมาจากในควันหนานั้น เวลาต่อมา เห็นเพียงชายชราคนหนึ่งคุ้มครองเนี่ยเถิงทะยานขึ้นกลางอากาศ รอบกายของทั้งสองมีกลิ่นอายพลังวิญญาณที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าควบแน่นจนกลายเป็นเกราะป้องกัน ปกป้องสองคนไว้ด้านในไม่ให้โดนควันหนาด้านนอกกล้ำกราย
“เอ๋?”
เฟิ่งจิ่วจับจ้องชายชราคนนั้นที่พาเนี่ยเถิงขึ้นไปกลางฟ้า ในดวงตาเผยแววแปลกใจอยู่บ้าง ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังล้วนไม่อาจตอบโต้ได้ในเวลานั้น ต่อให้ตอบสนองก็เทียบไม่ได้กับความว่องไวของระเบิดที่กระจายผงยาไปรอบด้าน แต่ชายชราคนนั้นสามารถปกป้องเนี่ยเถิงไว้ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ไม่ธรรมดาเลย
……………………………….
[1] ม้าดีมักโดนขี่ คนดีมักโดนแกล้ง เป็นสำนวนที่มักใช้ปลุกใจให้คนกล้าลุกขึ้นต่อสู้ และยังใช้สื่อว่าตนจะไม่ยอมให้ใครมารังแก