№ 626 ร่วมทางไปด้วยกัน
เห็นเช่นนี้ ชายชุดฟ้าก็หัวเราะลั่นและกล่าวเพื่อคลายความสงสัย “วันนั้นบนถนนใหญ่ ข้าเห็นน้องชายโดนม้าตัวนั้นเหวี่ยงออกไปพอดี”
“โอ้ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” ได้ยินคำพูดเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มเจื่อนๆ เฮ้อ! ช่วงนี้ฝึกบำเพ็ญจนลืมเรื่องที่เธอเอาเปรียบเยี่ยจิงคนนั้น ตอนนี้ถูกเอ่ยถึงยังน่าอายอยู่บ้าง
“อันที่จริงสถานการณ์ตอนนั้นก็โทษน้องชายไม่ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าน้องชายจะน่าสนใจเช่นนั้น ถึงกล้าเอาเปรียบเยี่ยจิงคนนั้นกลางถนน ข้อนี้ทำให้พี่ชายชื่นชมยิ่งนัก” คำพูดเขาดูหยอกล้อ มองเฟิ่งจิ่วด้วยท่าทางยิ้มเยาะ
มุมปากเฟิ่งจิ่วกระตุก คิดว่าคนคนนี้เป็นคนแปลกๆ ชื่นชมหรือ? คนอื่นเห็นเช่นนี้ล้วนมองเธอเป็นพวกบ้ากาม แต่คนคนนี้สายตาใจกว้างใจโต มีเพียงความยิ้มเยาะและหยอกล้อ ทำให้เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ข้าเห็นน้องชายก็รู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ พวกเราออกไปดื่มข้างนอกกันสักแก้วไม่ดีกว่าหรือ?” เขาลุกยืนขึ้นและส่งคำเชิญชวนให้เฟิ่งจิ่ว
“เช่นนี้…”
เธอคิดๆ เห็นชายตรงหน้ามองมาด้วยแววตามีรอยยิ้มและสีหน้าเฝ้ารอ ในใจทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะลุกยืนขึ้น “ก็ได้ ออกไปดื่มกันสักแก้ว” อย่างไรเสียก็ว่างไม่มีอะไรทำ ออกไปเดินเล่นสักหน่อยแล้วกัน!
สองคนออกจากโรงเตี๊ยมไป ระหว่าทางก็คุยเล่นไปพลางๆ หลังจากสองฝ่ายลงชื่อเฟิ่งจิ่วก็รู้ว่าเขาคนนี้เป็นลูกชายตระกูลที่มาจากแคว้นระดับหกอีกแคว้นหนึ่ง นามว่าเซียวอี้หาน เป็นคนที่ค่อนข้างเสเพลรักอิสระ แม้เป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นแต่ไม่ได้กระตือรือร้นกับการเข้าไปฝึกบำเพ็ญในสำนักศึกษาหมอกดาราเท่าไร ครั้งนี้เป็นเพราะพ่อแม่ออกคำสั่งเข้มงวดถึงจะมาลงชื่อสมัครที่สำนักศึกษาหมอกดารา
ในใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย ระดับแคว้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆ มองไปยังแคว้นระดับเก้าถึงหก มีเพียงแคว้นระดับเก้ากับแปดที่อยากจะเข้าสำนักศึกษาต้องแข่งขันกัน สองสามชื่อแรกถึงจะมีคุณสมบัติเข้ามาลงชื่อที่สำนักศึกษา แต่ก็แค่ลงชื่อไว้เข้าได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ลูกตระกูลจากแคว้นระดับเจ็ดและหกกลับมาลงชื่อเข้าร่วมการประเมินที่สำนักศึกษาได้ทันที นี่คือข้อแตกต่างที่ไม่เหมือนกัน
“น้องเฟิ่ง? น้องเฟิ่ง?”
เฟิ่งจิ่วที่กำลังคิดเรื่องอื่นได้ยินเสียงเรียกน้องเฟิ่ง มุมปากจึงกระตุก ถึงจะเดินไปหนึ่งช่วงถนนและคุยกันไปสักพัก หลังจากรู้ว่าเธอชื่อเฟิ่งจิ่วก็เปลี่ยนจากน้องชายเป็นน้องเฟิ่งทันที คนคนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าจะว่าเขาอย่างไรดี
น้องเฟิ่ง? นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่มีคนเรียกเธอเช่นนี้ คำเรียกนี้มากพอจะทำให้เธอหมดคำพูดจริงๆ
“พี่เซียว มีเรื่องอะไรหรือ?” เธอเอ่ยถามพลางมองยังเขา
เซียวอี้หานมองหนุ่มน้อยชุดแดงข้างกายที่หน้าตาหล่อเหลา เอ่ยยิ้มๆ อย่างหยอกล้อ “หรือว่ากำลังคิดถึงสาวงามคนไหน? พี่ชายเรียกตั้งหลายครั้งเจ้าถึงจะได้สติกลับมา”
“พี่เซียวไม่ต้องแกล้งข้าแล้ว” เธอส่ายหน้าพร้อมหลุดยิ้ม
“ได้ แค่ล้อเจ้าเล่นเอง เจ้าดูสิ โรงเหล้าร้านนี้มีชื่อเสียงมากในเมืองฝั่งตะวันออก หากมาช้าก็ไม่เหลือที่แล้ว” เขาพูดพลางสาวก้าวเดินไปด้านใน บอกว่า
“รีบตามพี่ชายเข้ามาสิ”
เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วถึงจะก้าวเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสี่ยวเอ้อกำลังคุยกับเขาว่าไม่มีห้องเหลือมีแต่ที่นั่งเล่นตรงชั้นสอง
“เช่นนั้นก็ได้! ที่นั่งเล่นก็ที่นั่งเล่น” เซียวอี้หานโบกมือ บอกกับเฟิ่งจิ่วว่า “น้องเฟิ่ง ไม่มีห้องเหลือมีแต่ที่นั่งเล่น เจ้าคงไม่รังเกียจกระมัง?”
“ไม่แน่นอน”
เธอพูดยิ้มๆ แล้วเดินไปยังที่นั่งเล่นชั้นสองพร้อมกับเขา
สองคนสั่งอาหารแนะนำมาแปดอย่าง สั่งเหล้ามาสองไห กินกันไปคุยกันไปพลางๆ เซียวอี้หานเห็นหนุ่มน้อยชุดแดงยกเหล้าขึ้นจิบน้อยๆ ก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า
“น้องเฟิ่ง การสมัครสอบอีกสามวันให้หลัง พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”
……………………………….