№ 684 พวกเรารังแกนางเสียแล้วหรือ?
เยี่ยจิงได้ยินเสียงก็มองไป เมื่อเห็นไป๋รั่วเฟยที่ยืนอยู่ไม่ไกลรอยยิ้มบนใบหน้าโดนเก็บไปเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ “รั่วเฟย”
หลังจากทักทายกัน นางบอกเฟิ่งจิ่วว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
เฟิ่งจิ่วมองทั้งสองอย่างซุกซน หยักหน้า “อืม” แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกันกับนางโดยไม่พูดอะไร ทว่าเมื่อผ่านข้างกายไป๋รั่วเฟยคนนั้น กลับเห็นนางขวางอยู่เบื้องหน้าเยี่ยจิง
“อาจิง ทำไมช่วงนี้เจ้าไม่สนใจข้าเลย?” นางกล่าวอย่างน้อยใจเล็กน้อย พลางยื่นมือไปดึงแขนเสื้อเยี่ยจิงเขย่าเบาๆ
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง”
เยี่ยจิงพูดจบ แม้ท่าทางจะอ่อนโยนตามปกติแต่ท่าทีบนใบหน้ากลับเฉยชา มองคนตรงหน้าพลางบอกเสียงเบา “หากเจ้าไม่มีธุระอื่น พวกเราต้องไปก่อน ข้ายังต้องพาเขาไปทำความคุ้นเคยกับสำนักพลังวิญญาณ”
“ข้าไม่ได้มีธุระอะไร จะไปด้วยกันกับพวกเจ้าแล้วกัน!”
นางเอ่ยพลางมองๆ เฟิ่งจิ่วข้างๆ แล้วเผยรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนหวาน “เจ้าชื่อเฟิ่งจิ่วสินะ? ข้าชื่อไป๋รั่วเฟย เรียกข้าว่ารั่วเฟยหรือเสี่ยวเฟยก็ได้”
เฟิ่งจิ่วมองนาง ในดวงตาฉายแววขี้เล่น บอกว่า “ข้าคิดว่าดอกไม้ขาวน้อยเหมาะสบกับเจ้ามากกว่า”
“หา?” ไป๋รั่วเฟยตกใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่านั่นหมายความเช่นไร
รอยยิ้มเฟิ่งจิ่วยิ่งลึกขึ้น “อืม ดอกไม้ขาวน้อย เป็นดอกไม้ขาวน้อยบอบบางน่าสงสาร”
ได้ยินคำพูดนี้และเห็นสายตาทรงเสน่ห์ของเด็กหนุ่มหยุดนิ่งบนร่างไป๋รั่วเฟย ใบหน้านางอดไม่ได้ที่จะแดงจัด ขณะที่ดวงตาหลุบลงเล็กน้อยสายตาก็หยุดลงบนขนนกเคลือบหลากสีชิ้นนั้นตรงเอวเขา
ภายในสำนักศึกษาต่างพูดต่อๆ กันว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง และไม่รู้ว่ากำลังเขาเป็นอย่างไร แต่เรื่องมีคนหนุนหลังกลับเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นขนนกเคลือบหลากสีที่สิบผู้มีพรสวรรค์ยังแลกมาไม่ได้กลับถูกเขาแลกไป
หนำซ้ำรองเจ้าสำนักยังไปหาเขาถึงสำนักยาเซียนด้วยตนเอง และยืนกรานจะย้ายเขาไปเป็นนักเรียนระดับสวรรค์ที่สำนักพลังวิญญาณ ยังมีรายงานว่าทั้งสำนักศึกษามีเขาคนเดียวที่ควบสองสำนัก
เป็นทั้งนักเรียนสำนักยาเซียนและสำนักพลังวิญญาณ นี่เป็นเรื่องที่สำนักศึกษาหมอกดาราหลายปีมานี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น
เยี่ยจิงข้างๆ เห็นเช่นนี้ เพียงมองเฟิ่งจิ่วโดยไม่พูดอะไร
วันนั้นเฟิ่งจิ่วเอ่ยเตือนนางถึงจะระวัง หลังจากกลับมาคิดอย่างละเอียดย่อมสังเกตเห็นจุดผิดปกติ แต่สิ่งที่นึกไม่ถึงคือคนที่เห็นเป็นพี่เป็นน้องจะทำกับนางแบบนี้ เวลาช่วงนี้นางจึงจงใจเหินห่างจากไป๋รั่วเฟย
“ข้ากับอาจิงเป็นพี่เป็นน้องกัน เพื่อนนางก็เป็นเพื่อนข้าเหมือนกัน ภายหน้าอยู่สำนักพลังวิญญาณอย่างไรหรือมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยแค่บอกมาตรงๆ” นางเผยรอยยิ้มหอมหวานพลางเอ่ยมองเด็กหนุ่ม
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองป้ายหยกแสดงตัวตนชิ้นนั้นตรงเอวนาง “เจ้าเป็นนักเรียนระดับโลกสินะ? ข้าได้ยินว่าระดับแตกต่าง สถานที่เรียนและฝึกบำเพ็ญจะไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่เยี่ยจิง?”
เยี่ยจิงพยักหน้า “อืม ระดับสวรรค์เป็นป้ายหยกสีหมึก ระดับโลกเป็นหยกขาว ระดับนภาเป็นหยกเขียว ระดับแผ่นดินเป็นหยกเหลือง ความแตกต่างของนักเรียนระดับต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน นักเรียนระดับสวรรค์เป็นนักเรียนเมล็ดพันธุ์จึงจะเน้นการฝึกอบรมมาเสมอ”
ไป๋รั่วเฟยได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนจากแดงเป็นขาว มองเยี่ยจิงอย่างเขินอายอยู่บ้าง จากนั้นค่อยก้มหน้าต่ำลง
“ขะ ข้านึกได้ว่ามีธุระ ไม่ไปกับพวกเจ้าแล้ว”
นางเอ่ยเสียงค่อย แล้ววิ่งไปทั้งดวงตาแดงก่ำด้วยท่าทางราวกับน้อยอกน้อยใจ
เฟิ่งจิ่วส่งเสียงจิ๊จ๊ะ
“เฮ้ ดอกไม้ขาวน้อยจะร้องไห้แล้ว พวกเรารังแกนางเสียแล้วหรือ? เหมือนจะไม่นี่?”
เธอเอ่ยถามพลางมองยังเยี่ยจิง
“ไม่หรอก แค่พูดตามความจริง”
เธอชำเลืองมองคนที่วิ่งไปไกล และดึงสายตากลับมาอย่างเย็นชา
………………