№ 69 กระบี่คมพยับออกโรง!
ผู้อาวุโสรึ?
แววตาเธอสั่นไหว ใช้ดวงจิตตรวจสอบดู สองท่านนี้เป็นปรมาจารย์นักรบขั้นสมบูรณ์แบบ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะปรากฏตัวด้านหลังเธอได้อย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ช่างแตกต่างกับความมั่นใจในชัยชนะที่ชายวัยกลางคนกุมไว้ ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสี่ต่างพินิจมองเฟิ่งจิ่วผู้สวมชุดแดงงดงามร้ายกาจ
หากไม่มีคนคอยชี้ชัด พวกเขาก็ดูไม่ออกเลยว่าเด็กหนุ่มที่แต่งชุดชายชาตรีตรงหน้าจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
แม้สองท่านจะผ่านโลกมาไม่น้อยก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้ ว่าบนร่างคนคนนี้มีกลิ่นอายที่จำแนกชายหญิงไม่ออกอยู่
หนำซ้ำ…ยังลึกซึ้งเกินคาดเดา
ด้วยพลังของพวกเขา นึกไม่ถึงว่าจะมองวรยุทธ์นางไม่ออก? หากไม่ใช่ยากเกินคาดเดาจะเรียกว่าอะไรได้?
ตั้งแต่พวกเขาโผล่มา ไม่เห็นนางมีท่าทีตื่นตกใจ ริมฝีปากที่ปรากฏอยู่นอกหน้ากากยังอมยิ้มชั่วร้าย ทำให้ในใจพวกเขายิ่งระวังตัวมากขึ้นบ้างอย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้าเป็นใครกันแน่? ไยต้องมาเป็นศัตรูกับตระกูลสวี่เราด้วย?”
ท่านผู้อาวุโสใหญ่เค้นเสียงถาม แววตาแหลมคมเพ่งมองร่างสีแดงตรงหน้า
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองผู้อาวุโสใหญ่แวบหนึ่ง น้ำเสียงมีความแปลกใจอยู่บางส่วน “เป็นศัตรูกับพวกท่านรึ? ไม่ถูกกระมัง? ตลอดมานี้คือพวกท่านที่เป็นศัตรูกับข้า ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวก่อน?”
น้ำเสียงชะงักลง เธอเหลือบมองชายวัยกลางคนตรงหน้าแวบหนึ่งด้วยท่าทางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หากไม่ใช่เพราะคุณชายรองตระกูลท่านวิ่งแจ้นไปตั้งรางวัลค่าหัวข้าที่ตลาดมืด ข้าจะหาเขาพบได้เช่นไรเล่า?”
“แม้จะเป็นเช่นนั้น เรื่องที่ฆ่านายน้อยตระกูลสวี่ และทำลายแขนข้างหนึ่งของคุณชายรอง เจ้าล้วนไม่อาจปฏิเสธได้”
“อ้อ? พูดขนาดนี้ หากพวกท่านต้องการฆ่าข้า ข้าก็ทำได้เพียงยื่นคอให้พวกท่านเชือดงั้นสิ?” เธอเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่ริมฝีปากยังคงอยู่ เพียงในแววตานั้นเย็นเยียบน้อยๆ
สีหน้าผู้อาวุโสใหญ่มืดลงไปบ้าง พลางยิ้มเย็น “พูดได้เพียงว่าเจ้าดันไปยุแหย่คนที่ไม่ควรยุ่ง! ตระกูลสวี่อันมีเกียรติของข้าสืบเชื้อสายกันมาเป็นร้อยปี เจ้าจะมาดูหมิ่นได้เยี่ยงไร? ในเมื่อรู้แล้ว ทางที่ดีก็ยอมให้จับโดยละม่อม มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้น?”
มุมปากเธอยกขึ้นส่งเสียงหัวเราะอย่างป่าเถื่อน กล่าวถามด้วยความรู้สึกสนใจหน่อยๆ “มิเช่นนั้นจะยังไง? จะฆ่าข้ารึ?”
“มิเช่นนั้น ข้าจะยกหัวเจ้ากลับไปรายงานเสีย!” สิ้นน้ำเสียงเยือกเย็นของท่านผู้อาวุโสใหญ่ นิ้วมือจับกลายเป็นกรงเล็บ เพียงออกท่วงท่าก็รู้ว่าฝึกเคล็ดวิชาจับจุดมาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“งั้นข้าจะสนองพวกท่านอย่างดี!” เธอยิ้มเย็น พลันขยับร่างปะทะออกไปซึ่งๆ หน้า
มือหนึ่งของผู้อาวุโสใหญ่ที่แฝงไปด้วยพลังเร้นลับอันแกร่งกล้าเข้าจับข้อมือนางบิดไปด้านหลัง แต่ใครจะรู้ว่านางดิ้นหลุดได้ทันทีราวกับงูผี ข้อมือกลับถูกนางจับดึงไปด้านหน้า ฐานล่างโดนโจมตี เพียงรู้สึกถึงพลังที่กระจายออกมาจากในมือนั้น ทั่วทั้งร่างก็ถูกนางยกเหวี่ยงออกไป
เขาถ่ายพลังเข้าปรับสมดุลร่างกายกลิ้งตัวลงบนพื้น สีหน้าหมองลงเล็กน้อย “ถือว่ามีฝีมือจริงๆ น่าเสียดาย ที่วันนี้เจ้าต้องตายที่นี่!”
“ช่างน่าเสียดายเหลือเกินนะ” เธอพยักหน้าเห็นด้วย มองเขาอย่างเวทนาและเห็นใจ ราวกับคนที่มั่นใจว่าต้องตายจะเป็นท่านอาวุโสใหญ่อย่างแน่นอน
แววตาเสียดายและเห็นอกเห็นใจทำให้ท่านผู้อาวุโสใหญ่โกรธเคือง จึงดึงกระบี่ยาวออกมาชี้ตรงไปที่นาง แผดเสียงร้องเกรี้ยวกราด “เจ้าเด็กโอหัง! เจ้าจะต้องชดใช้ความจองหองพองขนของเจ้าด้วยความทุกข์ทรมาน! หัวของเจ้า! ข้าจะจัดการเอง!”
ปลายดาบชี้ตรง พลังเร้นลับแข็งแกร่งพรั่งพรูออกจากร่างราวกับน้ำไหลทะลัก มาบรรจบกันบนคมกระบี่ ทันใดนั้น พลังดาบอันรุนแรงที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเยือกเย็นก็พลุ่งพล่านออกมา! เขาพลันเคลื่อนตัวไปด้านหน้า แรงอาฆาตน่าหวาดหวั่นถาโถมเข้าหาเงาร่างสีแดงด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
“ชิ้ง!”
กระบี่ยาวฉายแสงสีดำขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า สองกระบี่กระทบกัน พลังกระบี่อันรุนแรงไม่มีใครยอมใคร และในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีเสียงสูดหายใจและเสียงร้องอุทานดังขึ้น
“กระ กระบี่คมพยับ!”
…………………………………….