№ 92 ขัดขวางการเข้าสู่ขั้นสูง!
เหลิ่งซวงนำเขามาไว้ในห้องตัวเอง เมื่อเข้าประตู เฟิ่งจิ่วก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในอากาศ มาถึงข้างเตียง เห็นว่าเสื้อท่อนบนของเหลิ่งหวาถูกถอดไปแล้ว และกำลังนอนฟุบอยู่ ใบหน้าขาวซีดหันไปด้านนอกน้อยๆ
พอมองรอยกระบี่ลากยาวบนหลังเขา แววตาเฟิ่งจิ่วก็มืดลงเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือคลำชีพจร
เหลิ่งซวงที่ติดตามอยู่ข้างกาย ในดวงตามีแววความกระวนกระวายที่ยากจะปิดบัง เอ่ยว่า “แผลบนหลังอาหวาค่อนข้างหนัก แผลหลายรอยด้านหน้าเป็นแค่รอยขีดข่วนบนผิว ตอนที่ข้าประคองเขาเข้ามา เลือดบนปากแผลก็แข็งตัวแล้ว เรียกยังไงก็ไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากเฟิ่งจิ่วคลำชีพจร สายตาก็จับจ้องบนเท้าเขา เห็นรองเท้ายังไม่ถอดออก แต่บริเวณนิ้วเท้ากลับมีเลือดไหลอยู่ ซ้ำยังหลุดลุ่ยเป็นรูเล็กๆ หลายรู
มือเธอยื่นเข้าไปในแขนเสื้อ สองนิ้วคีบเม็ดยาสีน้ำตาลยัดใส่ปากเหลิ่งหวา แล้วยื่นยาขวดหนึ่งให้เหลิ่งซวง กล่าวว่า “ถอดรองเท้าที ทำความสะอาดแผลที่เท้าเขาเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงรีบรับยาที่นางยื่นมา แล้วค่อยถอดรองเท้าของเหลิ่งหวาออกด้วยความระมัดระวัง ขณะที่เห็นสองเท้าผิวหนังหลุดลุ่ยเลือดไหลซิบ เพียงรู้สึกรอบดวงตาร้อนผ่าว และน้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วจึงเอ่ยเสียงเนิบว่า “บาดแผลบนหลังเขาไม่ใช่แค่ถากๆ ยังดีที่เลือดแข็งอยู่ตรงปากแผล ไม่งั้นจากที่นั่นมาถึงที่นี่เกือบสี่ชั่วยามเลือดก็แห้งไปนานแล้ว ส่วนแผลที่เท้าเป็นแค่แผลภายนอก ทายาผ่านไปสองวันก็หาย คงไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
ตอนนี้เธอพะวงพี่ชายคนข้างกายผู้นั้นมากกว่า เหลิ่งหวาหมดสติ จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หลังจากได้ยินคำพูดนาง ใจที่กำลังเป็นกังวลของเหลิ่งซวงถึงจะวางใจลงได้
พอช่วยน้องชายพันแผลเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสังเกตว่านายท่านไม่ได้อยู่ในห้อง จึงลุกขึ้นเดินออกไป เห็นนางยืนอยู่ในลานบ้าน ก็ถามว่า “นายท่าน จะให้ข้ากลับไปไถ่ถามข่าวคราวสักหน่อยไหมเจ้าคะ?”
เฟิ่งจิ่วสายหัว “ไม่ต้องหรอก รอเหลิ่งหวาฟื้นขึ้นมาก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าเขาแล้ว”
“นายท่านอย่าได้เป็นกังวล คุณชายต้องไม่เป็นอะไรแน่เจ้าค่ะ”
“อืม” เธอพยักหน้า เอ่ยว่า “เหลิ่งหวาตื่นแล้วค่อยมาบอกข้า” ถึงจะสาวเท้าก้าวกลับห้อง
เมื่อเข้าห้องมา เธอแวบตัวเข้าไปในห้วงมิติ เพียงพลิกมือ ยาเม็ดหนึ่งก็ปรากฏบนฝ่ามือ
นี่คือเม็ดยาที่ช่วยเธอยกระดับวรยุทธ์พลังเร้นลับได้ แต่อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่ปรับปรุงยา จึงไม่รู้ว่าฤทธิ์ยานี้แรงแค่ไหน? จะมีผลข้างเคียงอื่นๆ หรือไม่? ด้วยเหตุนี้ แม้เธอจะพัฒนายาออกมา แต่กลับไม่เคยทานมาโดยตลอด
หงส์ไฟน้อยในห้วงมิติเห็นนางจ้องยาเม็ดนั้นในมือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จึงก้าวขาสั้นเล็กๆ เดินเข้าไป เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่มีความสงสัย “เป็นเช่นไรเล่า?”
“ข้าอยากจะรีบรุดให้ถึงระดับปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นสูงสุด” เธอกุมเม็ดยาในมือ พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มน้อยๆ
พอหงส์ไฟน้อยได้ยิน ทันใดนั้น ก็ถลึงตาเบิกกว้างและพูดเจื้อยแจ้วอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าบ้าไปแล้ว! ตอนนี้เพิ่งจะถึงระดับปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลางที่สาม วรยุทธ์ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งสามารถเข้าถึงระดับได้ เจ้าอยากเข้าสู่ขั้นสูงสุด แม้จะมีจวนภูตในห้วงมิติ เจ้าก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงจะทำได้ จะรีบรุดขึ้นขั้นสูง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรเข้า สูญเสียวรยุทธ์ในตัวก็เรื่องหนึ่ง ที่ร้ายแรงคือแม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ เจ้ารู้บ้างหรือไม่!”
เห็นนางไม่ตอบโต้อะไรเลยสักนิด จึงจ้องมองเม็ดยาในมือ รีบร้อนกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกนะ! พลังเร้นลับกับศิลปะการต่อสู้ไม่อาจขาดกัน พลังเร้นลับแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น หากศิลปะการต่อสู้ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ ถึงมีเพียงวรยุทธ์พลังเร้นลับก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ารู้หรือไม่เล่า?”
“กวนสีหลิ่นมีอันตราย”
เธอหลับตาลง “เขาเป็นพี่ชายข้า จะไม่แยแสเขาไม่ได้”