Chapter 5
พบเบาะแสชิงชิงฉวน
ผู้เฝ้ามองรู้สึกว่าสตรีชรานางนี้หน้าตาคุ้นๆ เขาเพ่งมองสตรีชรานางนั้นไม่สะสายตา พลัน! เขาเห็นผิวของนางค่อยๆ เรียบตึงขึ้น นางเห็นหลังมือตัวเองเรียบตึงก็มีสีหน้าตกใจ นางรีบเดินออกจากห้องไป ผู้เฝ้ามองตามไปดู เขาเห็นนางเดินเข้าไปในห้องข้างๆ เห็นนางใช้เข็มจิ้มๆ ตามเนื้อตัว ผิวหนังก็กลับมายับย่นดังเดิม นางเก็บเข็มแล้วเดินออกมา เขาจึงรู้ว่าที่แท้แล้วสตรีชรานางนี้จริงๆ แล้วนางไม่ได้ชราอย่างที่เห็น
“ท่านแม่เฒ่า ท่านหายไปไหนมา?” กู่เสียนฟางถาม สตรีชราตอบว่า “ข้าไปถ่ายเบา”
“อ่อ” กู่เสียนฟางพยักหน้ารับรู้ แล้วพูดอีกว่า “เช่นนั้นท่านช่วยข้าจับแผลหน่อย ข้าจะเย็บแผลที่ท้อง ฮูหยินท่านนั้นไม่อาจช่วยข้าได้ นางเอาแต่ร้องไห้เช่นนั้นข้าจึงต้องรบกวนท่านแม่เฒ่าสักหน่อยขอรับ”
“ได้” สตรีชราพยักหน้า ฮูหยินผู้เป็นมารดาคนเจ็บรีบกุมมือพูดทั้งน้ำตา “แม่เฒ่าร้อยพิษโปรดช่วยเหลือลูกข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม” เฒ่าร้อยพิษพยักหน้าแล้วเดินไปจับแผลคนเจ็บ กู่เสียนฟางก็จัดแจงเย็บแผลให้คนเจ็บทันที ผู้เฝ้ามองมองดู ‘เฒ่าร้อยพิษ’ เขาสงสัยว่านางเป็นใคร จึงเฝ้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น เฉินมู่อิ๋งก็มองดูท่านหมอกู่เสียนฟางไปเรื่อยๆ เขามองดูจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของท่านหมอเทวดากู่เสียนฟางซึ่งป่วยตายไปโดยมีแม่เฒ่าร้อยพิษคอยดูแลอยู่ข้างๆ เมื่อกู่เสียนฟางสิ้นใจ ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งชมว่า “ท่านหมอท่านนี้เก่งสมกับที่ได้รับชื่อหมอเทวดาจริงๆ”
“อืม” ผู้เฝ้ามองพยักหน้า “ถ้าไม่เก่งข้าจะมองดูรึ”
จากนั้นทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เฉินมู่อิ๋งเห็นแม่เฒ่าร้อยพิษกำลังร้องไห้เสียใจ เขามองอย่างงุนงงที่กลับมาดูท่านแม่เฒ่าทำไม? เฒ่าร้อยพิษก็ถือว่าเป็นหมอ แต่นางเก่งเรื่องพิษ เขาเห็นนางทำแต่ยาพิษขาย เขาคิดว่ารอให้ดูหมอคนอื่นๆ แล้วค่อยขอผู้เฝ้ามองมาดูชีวิตของแม่เฒ่าร้อยพิษทีหลัง หรือว่าผู้เฝ้ามองจะรู้ความคิดของข้า?
เขาหันไปมองผู้เฝ้ามอง เห็นผู้เฝ้ามองมองแม่เฒ่าร้อยพิษอย่างสนอกสนใจมาก ทั้งสองเห็นเฒ่าร้อยพิษหยุดร้องไห้แล้วลุกออกไป พวกเขาตามนางไป เห็นนางขุดหลุมปักๆ เดาว่าหลุมนี้นางคงขุดเพื่อฝังศพหมอเทวดากู่เสียนฟางแน่นอน
เฒ่าร้อยพิษขุดหลุมไปเรื่อยๆ จนได้หลุมใหญ่พอแล้วก็จัดการแบกศพกู่เสียนฟางออกมา ฝังศพลงไป นางกลบหลุมศพ แล้วขุดต้นไม้พิษมาปลูกบนหลุมศพ จากนั้นนางก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วก็กรีดอากาศเปิดออกเดินเข้าไปในรอยแยกดำมืด
“โอ!” ผู้เฝ้ามองอุทานตาโต เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงงๆ ยังไม่ทันคิดอะไร ก็ถูกผู้เฝ้ามองคว้าตัววิ่งตามเฒ่าร้อยพิษเข้าไปในรอยแยกดำมืดนั่นแล้ว พวกเขาเห็นเฒ่าร้อยพิษพูดกับมังกรสีดำตัวหนึ่งว่า “พาข้าไปยมโลกที”
“เจ้าจะไปยมโลกทำไม?” มังกรถาม
“ข้าจะไปตามผู้ชายของข้าน่ะซิ” เฒ่าร้อยพิษตอบ มังกรตกตะลึง! “ผู้ชายของเจ้า!?”
เฒ่าร้อยพิษรู้ว่าคำพูดตัวเองทำให้สหายรักตกใจและงุนงง จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด “คือข้า………”
เมื่อฟังจบแล้ว มังกรก็พูดว่า “อ่อ เจ้าจึงจะไปถามเหยียนหลัวหวางซินะว่า ผู้ชายของเจ้าไปเกิดใหม่เป็นอะไร?”
“อืม” เฒ่าร้อยพิษพยักหน้ารับ
“แล้วถ้ามันเกิดใหม่เป็นสัตว์เล่า เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าก็จะเอามันมาเลี้ยงจนกว่ามันจะตายน่ะซิ ถ้ามันเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ข้าก็จะไปหมั้นหมายมันไว้ก่อน รอจนมันโต ก็แต่งกับมัน”
“แล้วถ้ามันเกิดเป็นผู้หญิงเล่า?” มังกรถาม
“ข้าก็จะรับมันเป็นลูกบุญธรรม เลี้ยงดูมันจนกว่ามันจะตาย แล้วไปเกิดใหม่น่ะซิ”
“แล้วถ้ามันเกิดเป็นมารเล่า?”
“ยิ่งดีใหญ่ ข้ากับมันจะได้อยู่ร่วมกันไปนานแสนนาน”
“แล้วถ้ามันเกิดเป็นเทพเล่า?”
“เอ่อ…” เฒ่าร้อยพิษอึ้งไป นางไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย หากมันเกิดเป็นเทพ เทียนจวินจะยอมให้เทพของตัวเองเกี่ยวข้องกับนางงั้นหรือ? ย่อมไม่แน่นอน!
“ไปถามเหยียนหลัวหวางก่อน” นางบอก
มังกรพยักหน้ารับแล้วก็ก้มหัวลงไปให้สหายรักปีนขึ้นมา เมื่อสหายขึ้นมาแล้วมังกรก็ทะยานออกไป ครั้นพ้นจากถ้ำแล้ว มังกรก็กางกรงเล็บกรีดอากาศเปิดมิติ แล้วพุ่งเข้าไปในรอยแยกที่เปิดออก ในรอยแยกเป็นชายแดนยมโลก มังกรพาสหายรักทะยานไปยังวังยมโลกทันที
(อ่านฉากนี้ต่อได้ในเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ ตอนที่ 122 ค่ะ)
ทิวทัศน์เปลี่ยนกลับมาเป็นใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งงงๆ “เมื่อกี้?”
“มิน่าเล่า ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” ผู้เฝ้ามองพึมพำออกมา เฉินมู่อิ๋งมองเขาอย่างงงๆ ผู้เฝ้ามองจึงอธิบายว่า “เฒ่าร้อยพิษผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นมาร นางไม่ใช่มนุษย์ นางปลอมแปลงตัวนางให้ดูแก่เฒ่าแฝงตัวอยู่กับมนุษย์”
เฉินมู่อิ๋งมองอย่างงงๆ เขารับรู้แค่ว่ามารก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์นี่เอง แต่มังกร! เขาเพิ่งจะได้เห็นมังกรตัวจริงๆ ชัดๆ ตาก็คราวนี้แหละ มังกรที่มีอยู่ในตำนาน เห็นแต่ภาพวาด เมื่อได้เห็นตัวจริงๆ เขาก็ตกใจไม่น้อยเชียวล่ะ เขายังตะลึงอยู่จึงไม่ได้ขอดูชีวิตของใครต่อ ผู้เฝ้ามองก็กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ เกิดความเงียบงันระหว่างทั้งสองไปพักใหญ่ จนกระทั่งผู้เฝ้ามองเลิกครุ่นคิดแล้ว เขาจึงถามว่า “เจ้าอยากดูชีวิตของใครอีก?”
“มังกร ข้าอยากดูมังกร” เฉินมู่อิ๋งพูดโพล่งออกมา ผู้เฝ้ามองตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วคลี่ยิ้มบางๆ เขาคิดถึงมังกรตัวอื่นไม่ออกนอกจากมังกรดำตัวนั้น ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นมังกรดำนอนหมอบอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว มังกรกำลังใช้เล็บจิ้มลูกท้อกินทีละลูก…ทีละลูก เฉินมู่อิ๋งมองดูอย่างตื่นตาตื่นใจมาก “โอ…”
เฮยหลงรู้สึกว่าถูกใครสักคนมองอยู่ นางจึงหันไปมองตามความรู้สึก ทางด้านข้างทางซ้าย นางเห็นเงาเลือนราง 2 เงา หนึ่งบุรุษหนึ่งทารก นางเคยเห็นรูปลักษณ์ของบุรุษเช่นนั้นมาก่อน “หือ? ผู้เฝ้ามองรึ”
ผู้เฝ้ามองตกใจ มังกรตัวนี้มองเห็นเขาด้วยหรือ!? เป็นไปได้อย่างไร? พลังของผู้เฝ้ามองนั้นล้ำลึกมาก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองเห็นผู้เฝ้ามองได้ แต่มังกรตัวนี้กลับสามารถเห็นเขาได้!
ฟิ้ว— เขายังไม่ทันคิดอะไรก็ถูกกรงเล็บใหญ่โตนั่นดีดจนตัวลอยละลิ่วไปแล้ว! “อ๋า—”
“หึ! คิดจะแอบดูข้า เจ้าช่างบังอาจนัก!” เฮยหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชา นางเพียงแค่ดีดผู้เฝ้ามองคนนั้นออกไป ไม่ได้คิดฆ่าฟันให้ตกตาย เพราะผู้เฝ้ามองเป็นเผ่าพันธุ์เผ่าหนึ่งที่มีพลังแปลกประหลาด เผ่าพันธุ์นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ว่ากันว่าสืบทายาทยากเย็นยิ่งกว่าเผ่าเฟิ่งหวงเสียอีก นางยังไม่อยากสร้างศัตรูจึงเพียงแค่ไล่คนผู้นั้นไปเท่านั้น
เฉินมู่อิ๋งก็กระเด็นตามผู้เฝ้ามองไปด้วย เขาอยู่ภายใต้พลังของผู้เฝ้ามองดังนั้นเรียกว่าเขาถูกลูกหลงไปด้วยคงอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ได้ตรงประเด็นที่สุดแล้ว ทั้งสองกระเด็นไปไกลลิบ ผู้เฝ้ามองรีบคว้าตัวเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ เขากอดเฉินมู่อิ๋งไว้กับอกใช้ตัวเป็นเบาะกันกระแทกให้เจ้าทารกน้อย ตัวเขากระแทกกับต้นไม้ใหญ่ ตู้ม!
ต้นไม้หักกลาง ลำต้นข้างบนเอนล้มดังโคร้ม!
“อั๊ก!” ผู้เฝ้ามองกระอักเลือดออกมาคำโต เลือดสาดเปื้อนพื้นเป็นวงกว้าง เขาก้มมองเฉินมู่อิ๋ง โชคดีที่เขากอดเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเขาปกป้องอยู่ป่านนี้เจ้าเด็กคนนี้คงตายไปแล้ว แรงกระแทกขนาดนี้ มนุษย์ย่อมแหลกเป็นกองเนื้อแน่นอน ขนาดเขามีพลังล้ำลึกถึงเพียงนี้ยังบาดเจ็บไม่น้อย นับว่ามังกรตัวนั้นมีพละกำลังแข็งแกร่งมากทีเดียว หากเขาเจอมังกรตัวนั้นอีก เห็นทีต้องระวังให้มากเสียแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าพลังที่ดีดเขาออกมานั้นยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของมังกรดำตัวนั้น เขารู้สึกว่ามังกรตัวนั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก
อาจจะแข็งแกร่งพอๆ กับราชามังกรเลยกระมัง
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” เขาถามพลางอุ้มร่างเฉินมู่อิ๋งขึ้นมาดู เขาดูจนทั่วไม่พบบาดแผลสักรอยก็เบาใจ เขาเดินไปหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วนั่งลง วางร่างเฉินมู่อิ๋งบนตัก หยิบโอสถออกมากิน 1 เม็ด เขากลืนเลือดในปากลงไปแล้วเข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ
จิตวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองตาปริบๆ เขาไม่รู้ว่าผู้เฝ้ามองกำลังทำอะไร เห็นแต่ผู้เฝ้ามองนั่งหลับตา เขาเห็นเลือดตรงมุมปากจึงรู้ว่าผู้เฝ้ามองบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่รู้อีกว่าบาดเจ็บมากน้อยเท่าใด จิตวิญญาณของเขาไม่อาจทำอะไรได้มาก ทำได้เพียงมองดูอย่างเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ผู้เฝ้ามองลืมตาขึ้น ร่างกายยังไม่หายดี แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว เขาก้มมองจิตวิญญาณเฉินมู่อิ๋ง “ข้าเกือบพาเจ้าไปตายเสียแล้ว”
เฉินมู่อิ๋งมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ผู้เฝ้ามองพูดอีกว่า “ตอนนั้นข้าไม่ได้พาเจ้าไปดูความทรงจำในอดีตแต่ข้าเผลอพาเจ้าไปเฝ้ามองมังกรตัวนั้นในปัจจุบันกาล การที่มังกรนั่นมองเห็นข้าได้ทำให้ข้าแปลกใจมากทีเดียว พลังของข้าคือการพรางตัว ยากนักที่ผู้ใดจะเห็นข้าได้หากข้าไม่ต้องการให้เห็น แต่มังกรตัวนั้นกลับมองเห็นข้าซ้ำยังตบข้าอีกด้วย”
เฉินมู่อิ๋งไม่ค่อยเข้าใจนัก เรื่องราวที่ผู้เฝ้ามองพูดนั้นเกินความสามารถของความรู้อันน้อยนิดที่เขามีอยู่จะทำความเข้าใจได้ แค่เรื่องมังกรเอย มารเอย สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเหมือนตำนานปรัมปราที่มีในตำราทั้งหลาย การที่เขาได้เห็นมาร เห็นมังกร ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว ส่วนเรื่องอื่นช่างมันเถอะ ผู้เฝ้ามองเห็นเฉินมู่อิ๋งทำหน้าไม่เข้าใจเขาจึงบอกว่า “วันนี้เจ้ายังไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ วันหน้าเจ้าเข้าสู่หนทางฝึกฝนเป็นเทพหรือมารเมื่อไหร่ เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเอง”
เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าในใจ นั่นซิๆ ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจก็ช่างมันเถิด แต่เขาอยากดูชีวิตของหมอคนอื่นๆ แล้วนะ ศาสตร์ความรู้ทางการแพทย์น่าสนใจไม่น้อย วันหน้าเขาเติบโตขึ้นย่อมได้ใช้ความรู้เหล่านี้ อย่างน้อยศึกษาเอาไว้รักษาท่านแม่ของเขาก็ยังดี ท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อากาศหนาวไปนิดร้อนไปหน่อยนางก็ป่วยไข้ได้ง่าย เขาอยากศึกษาศาสตร์การแพทย์เพื่อท่านแม่ของเขา
“มองข้าเช่นนี้ เจ้าอยากดูชีวิตใครอีกงั้นรึ?” ผู้เฝ้ามองถามยิ้มๆ เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ ผู้เฝ้ามองถามต่อ “แล้วเจ้าอยากดูชีวิตใครล่ะ?”
“ท่านหมอที่เก่งๆ ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก “ข้าอยากรู้ศาสตร์การแพทย์เอาไว้รักษาท่านแม่ขอรับ ท่านแม่ไม่ค่อยแข็งแรง ข้าอยากช่วยรักษาท่านแม่จะได้ไม่ต้องรอหมอมารักษา”
“โอ๋? กตัญญูเสียด้วย” ผู้เฝ้ามองยิ้มบางๆ ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนไป เฉินมู่อิ๋งเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังบดสมุนไพรอย่างขมักเขม่น เขาจึงมองดูเด็กคนนั้นไปเรื่อยๆ ผู้เฝ้ามองก็มองดูเฉินมู่อิ๋งไปเรื่อยๆ
วันเวลาผ่านไป 15 วันแล้ว ตลอด 15 วันที่ผ่านมา เฉินมู่อิ๋งเฝ้ามองความทรงจำในอดีตของผู้คนมากมายหลายคน ทั้งหมอ บัณฑิต ขุนนาง จอมยุทธ์เลื่องชื่อ พ่อค้า เจ้าสำนัก นางรำ นักดนตรี ฯลฯ เรียกว่าทุกอาชีพเลยก็ว่าได้ แต่อาชีพที่เขาเฝ้ามองมากหน่อยนั้นคือหมอ จอมยุทธ์และบัณฑิตมากความรู้ ผู้เฝ้ามองก็มองดูเฉินมู่อิ๋งจนกระทั่งร่างเล็กๆ ลืมตาขึ้น เฉินมู่อิ๋งมองผู้เฝ้ามองผ่านดวงตาของร่างกาย เมื่อเห็นผู้เฝ้ามองเขาก็มองไม่เห็นประกายแสงจางๆ จากตัวผู้เฝ้ามองแล้ว เขาไม่รู้ว่าตาเนื้อไม่อาจมองเห็นประกายของจิตวิญญาณได้ เขาทำหน้างงๆ อ้าปากพูด แต่เสียงที่ออกจากปากคือเสียงอ่อแอ้ๆ
ผู้เฝ้ามองยิ้มๆ บอกว่า “ร่างเจ้ายังพูดไม่ได้ เจ้าจึงไม่อาจพูดอะไรกับข้าได้ในตอนนี้”
เอ๋? เฉินมู่อิ๋งทำหน้างงๆ กะพริบตาปริบๆ ส่งเสียงอ่อแอ้ๆ ข้าหิวๆ
ผู้เฝ้ามองเข้าใจเฉินมู่อิ๋งจากจิตวิญญาณ ภาษาจิตนั้นไม่ต้องฟังผ่านหูแต่ใช้จิตสื่อถึงจิต เขากำลังจะหาของกินให้เฉินมู่อิ๋ง พลัน! ก็มีนกสีน้ำเงินบินมาเกาะบ่าเขา ส่งเสียงจิ๊บๆๆๆๆ
เขาฟังนกตัวนั้นแล้วเบิกตาโต “พบเบาะแสชิงชิงฉวนแล้วรึ!?”
“จิ๊บๆ” นกร้องอีก ผู้เฝ้ามองฟังแล้วคิดหนักทันที พบเบาะแสของชิงชิงฉวนอยู่แดนเทพ เขาไม่อาจพาเฉินมู่อิ๋งไปแดนเทพด้วยได้ เฉินมู่อิ๋งเป็นมนุษย์ไม่อาจทนรับแรงกดดันของแดนเทพได้ พาไปด้วยก็เท่ากับพาไปตายน่ะซิ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
เขาคิดๆ แล้วตัดใจปล่อยเฉินมู่อิ๋งอยู่ที่นี่ไปก่อน รอเขาได้ชิงชิงฉวนมาแล้วค่อยมารับเฉินมู่อิ๋งวันหน้าก็ได้
เมื่อคิดแล้วเขาจึงพาเฉินมู่อิ๋งกลับไปส่งที่บ้าน ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นในจวนหลังนั้น มารดาของเฉินมู่อิ๋งนอนหลับอยู่บนเตียง หน้าตาซูบเซียวมาก ที่แก้มยังมีคราบน้ำตาเป็นทางติดอยู่ ส่วนบิดาของเฉินมู่อิ๋งก็นอนฟุบอยู่ข้างเตียง มือกุมมือฮูหยินเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งเห็นท่านแม่กับท่านพ่อแล้วก็รู้สึกปวดใจมาก เขาส่งเสียงอ่อแอ้ๆ
“ข้าพาเจ้ากลับมาก่อน วันหน้าข้าค่อยมาพาเจ้าไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะสองสามปี หรือไม่ก็สิบปีร้อยปีก็ได้ ข้าตามหาชิงชิงฉวนมานานแล้ว ข้าจะต้องหาชิงชิงฉวนให้เจอให้ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่กับพ่อแม่เจ้าไปก่อน” ผู้เฝ้ามองบอกพลางวางเฉินมู่อิ๋งข้างๆ มารดาของเขาแล้วหายตัวไป เฉินมู่อิ๋งส่งเสียงอ่อแอ้ๆ เพราะว่าท้องของเขาหิวมาก
เฉินม่านอิ๋งได้ยินเสียงเด็กก็ลืมตาดู วินาทีที่เห็นลูก นางตกตะลึงงัน!
“แอ๊ๆ” เฉินมู่อิ๋งส่งเสียง เฉินม่านอิ๋งยื่นมือไปจับแก้มลูกอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝัน ทันทีที่นิ้วสัมผัสความอุ่นนุ่มนางก็ดีใจจนร้องไห้โฮๆ “โฮ…”
นางอุ้มลูกมากอดแนบอก ร้องไห้อย่างดีใจสุดชีวิต เฉินจงกุ้ยสะดุ้งตื่น “เกิดอะไร…”
เขาพูดไม่ทันจบก็ชะงักค้างไป มองดูฮูหยินกอดเด็กร้องไห้โฮๆ อยู่บนเตียง เขาเห็นหน้าเด็กคนนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาทันที “ลูกข้า! โฮ…”
สาวใช้สะดุ้งตื่น “เกิดอะ…”
พวกนางปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า มองดูนายท่านกับฮูหยินที่กำลังร้องไห้โฮๆ เห็นฮูหยินกอดเด็กคนหนึ่งเอาไว้แน่น พวกนางรีบลุกไปล้อมดู ครั้นเห็นหน้าตาเด็กคนนั้นพวกนางก็ตะลึงไป “คุณชายน้อย!”
เฉินจงกุ้ยร้องไห้อยู่พักใหญ่แล้วค่อยๆ สงบจิตสงบใจ เขาเช็ดน้ำตาออกแล้วถามฮูหยินว่า “เจอลูกได้อย่างไร?”
“ข้า อึกๆ เห็น อึกๆ เขา อึกๆ อยู่ข้างๆ อึกๆ…” ฮูหยินพูดปนสะอึกสะอื้น เฉินจงกุ้ยยื่นมือไปลูบๆ ศีรษะฮูหยิน “เจอลูกก็ดีแล้ว ดีแล้ว”
เขากอดฮูหยินกับลูกเอาไว้ น้ำตาซึมตรงหางตา เขาดีใจที่สุดที่เจอลูก เฉินมู่อิ๋งหิวจนหันหน้ามุดๆ อกท่านแม่ เฉินม่านอิ๋งตะลึงไปสองอึดใจ จากนั้นก็อุ้มลูกกินนม เฉินมู่อิ๋งดูดนมจ๊วบๆ อย่างหิวจัด เฉินม่านอิ๋งดีใจมากที่เจอลูก อีกทั้งลูกยังกินนมได้แล้ว โอ!
หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าเจอเฉินมู่อิ๋งแล้วแพร่กระจายออกไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอแค้นใจยิ่งนัก พวกเขารีบไปดูให้เห็นกับตาว่าเจอเจ้าเด็กนั่นแล้วจริงๆ บ่าวก็รายงานนายท่านว่า “ท่านเฉินไฮ่ผิงกับท่านเฉินเหวินเคอมาขอรับ”
“ไล่ไปซะ” เฉินม่านอิ๋งสั่งอย่างไม่ไว้หน้า เฉินจงกุ้ยจึงบอกว่า “ข้าจะไปพบพวกเขาสักหน่อย เจ้าก็รออยู่นี่แหละ ข้าไปไม่นานหรอก”
“เจ้าค่ะ” เฉินม่านอิ๋งพยักหน้า เฉินจงกุ้ยจึงเดินออกไปพบน้องๆ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบน้องทั้งสองแต่ถึงอย่างไรก็เป็นน้องพ่อเดียวกัน จะตัดญาติขาดมิตรกันก็น่าเกลียดเกินไป เฉินไฮ่ผิงกับเฉินเหวินเคอเห็นพี่ใหญ่เดินมาก็รีบถามทันที “ได้ข่าวว่าเจอหลานแล้วข้าจึงรีบมาดูขอรับ”
“อืม เจอแล้ว” เฉินจงกุ้ยพยักหน้า เฉินไฮ่ผิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พึมพำว่า “มันยังไม่ตายอีกรึ? พิษนั่นสมควรที่จะทำให้มันตายไปแล้วซิ”
เฉินเหวินเคอรีบทำทีเซไปกระแทกพี่รอง “โอย”
“อ่ะ!” เฉินไฮ่ผิงจับน้องสามประคองไว้ตามสัญชาตญาณ เฉินจงกุ้ยได้ยินที่น้องรองพูดไม่ถนัดนัก แต่เขาก็ทำหน้าเฉยไม่กระโตกกระตากอะไร ทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย ถามว่า “น้องสาม เจ้าเป็นอะไรรึ?”
“ข้ารู้สึกเวียนหัวขอรับ” เฉินเหวินเคอบอกแสร้งทำท่าให้สมจริง เฉินไฮ่ผิงจึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้เขาพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เขาเหลือบมองพี่ใหญ่ เห็นท่าทางพี่ใหญ่ก็ปกติดี คงไม่ได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้กระมัง
“เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอมาตรวจสักหน่อยเถอะ หากเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้รีบรักษา” เฉินจงกุ้ยบอกอย่างมีน้ำใจ เฉินเหวินเคอพยักหน้า “เดี๋ยวข้ากลับบ้านไปจะให้คนไปตามหมอขอรับ”
เฉินไฮ่ผิงจึงโล่งอกที่พี่ใหญ่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเผลอพูดเมื่อครู่ “น้องสามไม่ค่อยสบาย เช่นนั้นข้าพาเขาไปส่งก่อนนะขอรับ”
“อืม ไปเถอะ” เฉินจงกุ้ยบอก เฉินไฮ่ผิงก็ประคองน้องสามเดินออกจากจวนไป เฉินเหวินเคอก็ทำท่าทางให้สมจริง
เดินออกไปพร้อมกับพี่รอง เฉินจงกุ้ยเรียกพ่อบ้านเหลียงเข้ามากระซิบสั่งว่า “ส่งคนไปจับตาดูน้องรองกับน้องสามให้ดี ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะทำอะไรไม่ดีกับลูกข้าก็ได้ เมื่อกี้ข้าได้ยินเขาพูดถึงพิษ”
“ขอรับ” พ่อบ้านเหลียงรับคำสั่งแล้วส่งคนไปจับตาดูน้องทั้งสองของนายท่านอย่างลับๆ
วันต่อมา เฉินจงกุ้ยก็ไปทำงาน ฮ่องเต้ดีใจที่เฉินจงกุ้ยสามารถมาทำงานได้แล้ว แต่เสนาบดีไฉฟู่ไม่ดีใจเลยสักนิด น่าจะป่วยจนไม่อาจกลับมาทำงานได้ตลอดไปยิ่งนัก! หึ!
เมื่อได้ลูกคืนมาเฉินม่านอิ๋งก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ นางกินได้มากขึ้น สีหน้าผ่องใสขึ้นมาก ติงเฟิ่งเหล่ยมาตรวจอาการก็ดีใจมากที่ฮูหยินเฉินอาการดีขึ้น เขาตรวจคุณชายน้อยด้วย พบว่าคุณชายน้อยแข็งแรงดีก็ดีใจมาก เฉินม่านอิ๋งจึงพูดกับติงเฟิ่งเหล่ยว่า “ข้าคงต้องรบกวนท่านหมอให้ช่วยแพร่ข่าวออกไปว่าลูกชายข้าอ่อนแอใกล้ตาย คาดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี”
“หือ?” ติงเฟิ่งเหล่ยงงๆ เฉินม่านอิ๋งพูดต่อ “หากคุณชายน้อยแข็งแรงดีคงตกเป็นเป้าสังหารของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีกับสามีข้า เรื่องเช่นนี้ท่านคงเข้าใจกระมัง”
“อ่อ” ติงเฟิ่งเหล่ยเข้าใจ “แต่หากคนอื่นเห็นว่าคุณชายน้อยแข็งแรงดี ข่าวนี้ก็ไม่อาจปิดฟ้าได้น่ะซิ”
“วันหน้าค่อยบอกว่าคุณชายน้อยหายป่วยก็ได้นี่นา” เฉินม่านอิ๋งบอก ติงเฟิ่งเหล่ยพยักหน้าเข้าใจ “อ่อ”
“เช่นนั้นข้าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้” เขาบอกอย่างมีน้ำใจ เฉินม่านอิ๋งยิ้มให้ ติงเฟิ่งเหล่ยก็สั่งยาให้ฮูหยินแล้วลากลับไป
เฉินม่านอิ๋งมองลูก อุ้มลูกมากอดไม่ยอมวางเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งก็หลับอยู่ในอ้อมอกท่านแม่อย่างมีความสุข เขาไม่ร้องไห้โยเยอีกแล้ว เพราะจิตวิญญาณของเขาเติบโตแล้ว การเฝ้ามองผู้คนมากมายในช่วงหลายวันนั้นทำให้จิตวิญญาณของเขาเติบโตเกินเด็ก เรียกว่าจิตวิญญาณเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กก็ได้
เฉินม่านอิ๋งมองลูก รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ลูกไม่ร้องไห้โยเยเลย หากว่านางจำลูกไม่ได้ก็คงคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่ใช่ลูกของนางกระมัง แต่เพราะปานแดงรูปลูกท้อตรงหลังหูซ้ายทำให้นางจำได้แม่นว่านี่คือลูกของนาง คนอื่นแทบไม่ได้จับลูกของนางเลยจึงไม่รู้ว่าลูกมีปานแดงที่หลังหูซ้าย อีกทั้งต่างหูไพลินข้างนั้นก็ยังติดอยู่ที่หูซ้าย สองสิ่งนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของนางจริงๆ
แม้จะแปลกใจแต่นางก็ไม่คิดอะไรมากนัก นางเลี้ยงลูกไปเรื่อยๆ ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยนอกจากสามี สาวใช้ก็คอยช่วยทำงานอย่างอื่นแทน อย่างเช่นเก็บผ้าไปซัก เตรียมน้ำอาบ เตรียมอาภรณ์ ฯลฯ
วันคืนผ่านไปโดยที่เสนาบดีเฉินไม่ได้จัดฉลองเดือนให้ลูกชายเพราะล่วงเลยมาแล้ว อีกทั้งเขาต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าลูกของเขาอ่อนแอใกล้ตาย หากให้คนอื่นเห็นลูก เช่นนั้นข่าวที่ว่าคุณชายน้อยของจวนเสนาบดีเฉินอ่อนแอย่อมไม่เป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงเลี้ยงลูกให้อยู่แต่ในจวน สาวใช้บ่าวไพร่ล้วนปิดปากเงียบ ใครถามเกี่ยวกับคุณชายน้อยก็บอกว่าคุณชายน้อยอ่อนแอยิ่งนัก สามวันดีสี่วันไข้
บางคนที่หวังดีก็แนะนำให้ท่านเสนาบดีเฉินทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เฉินจงกุ้ยก็ทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอน ก็พิธีเช่นนี้ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา ส่วนคนที่ไม่หวังดีก็คอยพูดกระทบกระเทียบบ่อยครั้งว่าให้เสนาบดีเฉินทำใจวันไหนคุณชายน้อยจะตายก็ไม่อาจรู้ได้ ปุ๊บปับตายไปก็อย่าได้เสียใจมาก เฉินจงกุ้ยก็ไม่ตอบโต้อะไร เขาฟังคำพูดเหล่านั้นเหมือนลมผ่านหู
เมื่ออายุเข้าเดือนที่ 8 เฉินมู่อิ๋งก็เริ่มพูด ส่งเสียงเป็นคำๆ อ่อแอ้ๆ เฉินม่านอิ๋งดีใจมาก สอนลูกเรียกแม่ทั้งวันเลยทีเดียว เฉินจงกุ้ยปลื้มใจมากที่ลูกเริ่มหัดพูดแล้ว
ครั้นเข้าเดือนที่ 9 เฉินมู่อิ๋งก็เริ่มยืนและหัดเดิน เฉินม่านอิ๋งดีใจยิ่งนัก เฉินจงกุ้ยก็ปลื้มใจมากที่ลูกหัดเดิน
เมื่อครบปี เฉินมู่อิ๋งก็เดินเตาะแตะๆ ไปมาอยู่ในเรือน สาวใช้ล้วนประหลาดใจมากที่คุณชายน้อยเลี้ยงง่ายเหลือเกิน ไม่โยเย ไม่งอแง ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ฮูหยินก็ชอบเอาตำรามาอ่านให้คุณชายน้อยฟังบ่อยๆ บางคราวก็ท่องกลอนเป็นท่วงทำนองไพเราะ เฉินมู่อิ๋งก็ฟังอย่างเพลิดเพลิน เขาชอบเสียงของท่านแม่มาก เสียงของท่านแม่ไพเราะที่สุด เขาฟังเพลินจนหลับไปบ่อยๆ
เมื่ออายุครบปี เฉินจงกุ้ยก็จัดงานฉลองเล็กๆ ภายในจวน เชิญคนสนิทมาร่วมงานไม่กี่คน เฉินม่านอิ๋งก็พาลูกออกมาพบปะผู้คนชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็พาลูกกลับเรือนไป ให้เหตุผลกับแขกที่มาร่วมงานว่าคุณชายน้อยไม่ค่อยสบายนัก