Skip to content

ใต้ม่านรัตติกาล 129

บทที่ 129 พบกันอีกครั้งก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว

มู่หลีถูกชิวลั่วเรียกออกไป เหลือเพียงหลานเยี่ยอยู่ที่จู๋เซียงเฉินเพียงลำพัง หลานเฟิงถึงจะก้าวผ่านประตูจู๋เซียงเฉินเป็นครั้งแรก

“แขกท่านนี้ ท่านต้องการดูอะไรหรือ”

ผู้จัดการร้านเห็นมีชายหนุ่มเดินเข้ามา ก็ก้าวขึ้นไปต้อนรับ

“ดูตามอัธยาศัย เจ้าไปจัดการธุระเจ้าเถิด” ระหว่างที่พูด หลานเยี่ยก็ลงมาจากชั้นสอง อาจเป็นเพราะมู่หลีไม่อยู่จึงรู้สึกเบื่อหน่าย

“เช่นนั้นท่านก็ค่อยๆ ดูเถิด คุณชายหลาน ท่านลงมาแล้ว” เมื่อเห็นหลานเยี่ยเดินลงมา ผู้จัดการคนนั้นก็เอ่ยทักทาย

“อืม วันนี้กิจการเป็นอย่างไรบ้าง”

หลานเยี่ยมองเครื่องประดับที่วางอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยเปื่อย

“เพราะท่าน ไม่เลวเลยทีเดียว”

“คุณชายท่านนี้ ขลุ่ยหักนี่คือของท่านใช่หรือไม่” หลานเยี่ยเก็บขลุ่ยหักท่อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เอ่ยถามหลานเฟิง

“เป็นข้าน้อยเอง ขอบคุณ คุณชายมาก”

หลานเฟิงรับขลุ่ยไม้ไป ขัดเอาไว้ตรงเอว

“ขลุ่ยหักยังเก็บเอาไว้ข้างกาย คิดว่าต้องเป็นของสำคัญเป็นแน่กระมัง”

“เป็นของที่คนสำคัญให้”

“ในเมื่อเป็นของสำคัญอย่างมาก เช่นนั้นก็ต้องเก็บรักษาให้ดี อย่าให้หายอีก”

“คุณชายสั่งสอนถูกแล้ว” หลานเยี่ยปฏิบัติต่อหลานเฟิงอย่างเต็มไปด้วยมารยาท หลานเฟิงเองก็ปฏิบัติตอบกลับไปเช่นเดียวกัน

“ขออนุญาตถามคุณชายว่ามาจู๋เซียงเฉินเพื่อซื้อเครื่องประดับให้ใครหรือ”

จู่ๆ หลานเยี่ยก็ถามหลานเฟิงขึ้น หลานเฟิงเกิดประหม่าขึ้นมาในทันใด ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร

“เป็นข้าน้อยที่หยาบคายเอง ไม่ควรสอบถามเรื่องส่วนตัวของคุณชาย”

“ไม่มีอะไร เครื่องประดับนี่ก็จะมอบให้คนที่สำคัญมากคนนั้น คิดว่าคนนั้นใส่แล้วจะต้องน่ามองเป็นอย่างแน่”

หลานเยี่ยเห็นหลานเฟิงหยิบเครื่องประดับบุรุษแบบหนึ่งขึ้นมา อดคิดสงสัยไม่ได้

“คนที่สำคัญมากคนนั้น เป็นคุณชายท่านหนึ่งอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว”

“มีท่านมาคัดเลือกเครื่องประดับด้วยตนเอง คิดว่าท่าผู้นั้นต้องมีความสุขอย่างมากเป็นแน่”

“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเราตอนนี้ แปลกหน้าห่างเหินกัน ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เชยชมพระจันทร์เต็มดวงด้วยกัน บรรเลงทำนองเพลงด้วยกันอีกหรือไม่” หลานเฟิงมองหลานเยี่ยนิ่ง

ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ หลานเยี่ยก็ยิ้มพลางพูดว่า “ได้เป็นแน่ ต้องมีความสุขอีกครั้งเป็นแน่”

“ขอให้เป็นตามคำมงคลของท่าน ข้าน้อยรู้สึกพูดคุยเข้ากันกับคุณชายเป็นอย่างมาก คุณชายจะไปนั่งพักที่ที่พักของข้าหรือไม่ พวกเราจะได้พูดคุยอย่างเต็มที่ได้ต่อ”

“คุณชายมาถึงจู๋เซียงเฉิน แต่เดิมควรเป็นข้าน้อยที่รับรองท่าน แต่กลับไปรบกวนจวนท่าน ไม่สมกับมารยาทเสียจริง”

“ไม่มีอะไรต้องกังวล ในบ้านมีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีคนไปก็ทำให้ดูไม่เงียบเหงา”

“เช่นนั้นทำตามมารยาทก็ไม่สู้เชื่อฟังแล้ว”

หลังจากหลานเยี่ยพูดคุยฝากวานกับผู้จัดการสองสามประโยคแล้วนั้น ก็เดินตามหลานเฟิงไป การพบกันที่จู๋เซียงเฉินครั้งนี้ก็เหมือนกับพบกันครั้งแรก แปลกหน้าเหมือนกับคนไม่รู้จักกัน

ตอนที่หลานเฟิงมาจิ่วหลิวก็ได้สร้างที่พักอยู่หลังหนึ่ง เรื่องเงินแน่นอนว่าชิวลั่วเป็นคนออก พูดให้ดูสวยงามก็คือไม่อยากเห็นสภาพน่าเวทนาของเขาที่ต้องรอนแรมอยู่บนถนน อย่างน้อยตอนเป็นเด็กก็เคยใช้ชีวิตด้วยกันมา

แน่นอนว่าหลานเฟิงไม่ปฏิเสธ ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงต้องการเงินพอดี

ตำแหน่งของบ้านพักนั้นอยู่รอบนอกของถนนที่เจริญรุ่งเรือง สภาพแวดล้อมรอบข้างสบายเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนดินแดนในอุดมคติ

“อิ้งฮวาเว่ย ชื่อดี พูดขึ้นมาก็ยังไม่ได้ถามชื่อคุณชายเลย! ข้าน้อยนามว่าหลานเยี่ย”

“เยี่ยเหลียง”

“จะว่าไปในชื่อของพวกเราก็มีคำว่าเยี่ยทั้งนั้น! ช่างบังเอิญนัก”

“เช่นนั้นคุณชายก็คงบังเอิญกับคนที่สกุลเยี่ยทั่วใต้หล้าอย่างนั้นหรือ”

“เท่าที่ข้าทราบ ในแผ่นดินนี้ยังไม่เคยได้ยินคนสกุลเยี่ยมาก่อน คุณชายเป็นคนแรก” หลานเยี่ยมองหลานเฟิงพลางพูดออกมา หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เขามองตัวเอง

“คุณชายเยี่ยไม่ใช่ว่าจะพาข้าเข้ามาคุยอย่างละเอียดหรอกหรือ ทำไมถึงให้ข้าอยู่หน้าประตู ไม่ใช่ว่าเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยพูดเย้าหยอก

“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว เชิญคุณชาย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version