บทที่ 112 ลมทองคำน้ำค้างมรกตมาบรรจบกัน!
“งูพวกนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว ไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอม แค่นเสียงเย็นชาด้วยความจองหองหนึ่งครั้ง
“ยามนี้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเชี่ยวชาญการหลอมยาระดับสามแล้ว กะอีแค่งูตัวเล็กๆ ข้าน่ะรึจะจัดการพวกเจ้าไม่ได้!”
“พวกเจ้าชอบพ่นเมือกพิษกันนักใช่ไหม ชอบแยกเขี้ยวกันนักใช่ไหม หึๆ ข้าจะหลอมยาที่ทำให้พวกเจ้าทั้งหมดหุบปาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ ปณิธานยิ่งใหญ่พุ่งสูงปกคลุมไปทั่วร่าง เริ่มครุ่นคิดถึงตำรับยา
“ทำให้งูพวกนี้หุบปาก ข้าจำเป็นต้องทำให้ยานี้มีความเหนียวอย่างยิ่ง แบบนี้ก็จะสามารถทำให้มันติดกันได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะคิกคัก จมจ่อมอยู่กับการเลือกจับคู่พืชหญ้าทันที
เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนบ้าคลั่งอย่างเต็มที่ พืชหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนในถุงเก็บของทุกต้น หลังจากถูกเขานำมาศึกษาอย่างละเอียดแล้วล้วนทำการคัดเลือกไปมา สุดท้ายก็เลือกพืชหญ้าออกมาได้สามสิบเจ็ดชนิด
พืชหญ้าเหล่านี้เมื่อผ่านการต้มด้วยวิธีการพิเศษก็ล้วนสามารถกลายเป็นสสารที่มีความเหนียวอย่างรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงไม่พอใจ เริ่มปรับปรุงสูตรโดยอิงตามการส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน พยายามสร้างยาที่มีความเหนียวยิ่งกว่าเดิมออกมา
หนึ่งเดือนต่อมา ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิง เตาหลอมมีควันดำปริมาณมากลอยออกมา ด้านในมีกากยาอยู่จำนวนไม่น้อย ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นี่คือความล้มเหลวครั้งที่สิบแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ได้ยินเสียงขู่ฟ่อของงูพิษด้านนอก ความคิดที่อยากจะจัดการงูพวกนี้ก็ยิ่งดุเดือดขึ้น
“บางทีทิศทางที่ข้าคิดอาจจะไม่ถูกต้อง ข้าแค่คิดใช้พลังภายนอกมาเพิ่มความเหนียว แม้ว่าจะมีการส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน แต่หากสามารถศึกษาจากภายในร่างกายของงูพวกนี้ บางทีแรงบันดาลใจที่ได้มาอาจจะทำให้ผลลัพธ์ของยาวิเศษดียิ่งขึ้นก็ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หมุนตัวเดินดิ่งออกมาจากห้องหิน ขณะที่เดินไปเดินมาอยู่ในค่ายกลก็หาโอกาสเหมาะๆ ยื่นมือขวาออกไป ความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ขณะที่งูตัวอื่นยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือก็คว้าหมับไปที่งูห้าตาตัวหนึ่งที่เลื้อยอยู่ข้างค่ายกล
เมื่อดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว พริบตาที่มือของเขาหดเข้ามา พิษเมือกจำนวนมาก เงาของงูเหลือคณานับ ก็พุ่งตรงดิ่งมายังตำแหน่งที่มือเขายื่นออกไปเมื่อครู่นี้
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการศึกษาวิถีโอสถ จึงไม่คิดจะมองแม้แต่หางตา หยิบเอางูห้าตาที่ชักดิ้นชักงออยู่ในมือมาได้ก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหิน ไม่นานในห้องหินก็มีเสียงหัวเราะที่ทำให้ขนลุกขนพองดังออกมา
แม้ว่างูห้าตาตัวนั้นจะมีพลังเทียบเคียงกับรวมลมปราณขั้นสาม แต่เมื่อมาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอ่อนแอราวกับไก่หางวิเศษ ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนถลกร่างออกอย่างรวดเร็ว แม้แต่กระดูกและเลือดเนื้อก็ยังถูกป๋ายเสี่ยวนำมาแยกศึกษาตลอดทุกชุ่น
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววครุ่นคิด จิตใจพลันตื่นเต้น เริ่มเปิดเตาใหม่ทันที ปรับเปลี่ยนสูตรพืชหญ้าแล้วหลอมยาอีกครั้ง
หนึ่งวันต่อมา เตาหลอมยาสั่นไหว ควันดำลอยขโมง ป๋ายเสี่ยวฉุนไอสำลัก แต่ความยึดมั่นของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา เขาขบคิดอย่างหนัก ทั้งยังเสี่ยงออกไปจับงูมาอีกหนึ่งตัว แล้วขูดดวงตาของมันออกอีกครั้ง
สามวันต่อมา ควันดำยังลอยออกมาเช่นเคย ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบ้าไปแล้ว คำรามลั่นหนึ่งที ดวงตาแดงฉาน ทุ่มเทพลังในการศึกษาอย่างเต็มที่
จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมความตั้งใจแรกไปแล้ว เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการสร้างตำรับยานี้ขึ้นมา คอยหลอมยาอยู่อย่างต่อเนื่อง ยื่นมือออกไปจับงูด้วยความรวดเร็วดุจฟ้าแลบอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งทำได้คล่องแคล่วอย่างถึงขีดสุด
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้เขาจับงูมาหลายสิบตัว ส่วนงูพวกนั้นที่อยู่นอกค่ายกลก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต คอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา เสียงขู่ดังต่อเนื่อง เมือกพิษตลบอบอวลไปหมด พวกตัวที่พลังเทียบเคียงรวมลมปราณขั้นแปดเหล่านั้นก็ยิ่งกระแทกโจมตีค่ายกลบ่อยมากขึ้น ราวกับว่าต้องการให้ค่ายกลนี้แตกออกเพื่อจะได้เขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเป็น
“ไม่ได้ๆ ยังไม่ได้อยู่ดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในห้องหิน จนถึงกระทั่งตอนนี้เขาหลอมยาที่ทำให้งูพิษหุบปากมาได้สองเดือนกว่าแล้ว ล้มเหลวนับร้อยกว่าครั้ง ไม่เคยสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เวลานี้เขาสัมผัสถึงความยากลำบากในการสร้างตำรับยาได้อย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ กลับยิ่งศึกษาขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งผ่านไปอีกสองเดือน หลังจากล้มเหลวอีกหลายร้อยครั้ง ในที่สุดคราวนี้ก็ทำสำเร็จหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจยาวิเศษสีดำที่หลอมออกมาอย่างมาก
“แค่เม็ดเดียวเนี่ยนะ…”
“ที่นี่มีงูเยอะขนาดนั้น หากข้าทำให้งูหุบปากได้แค่ตัวเดียวก็ไม่มีประโยชน์นี่นา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากผมตัวเองแรงๆ หนึ่งที ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย จ้องยาในมือเขม็ง
“ต้องแพร่กระจายออกไปให้ได้ ให้ดีที่สุดคือพองูตัวหนึ่งกินเข้าไปแล้วก็จะแผ่กลิ่นอายบางอย่างออกมาทำให้งูตัวอื่นๆ ป่วย…ป่วย? ใช่ คืออาการป่วย ตำรับยานี้ที่ข้าสร้างสรรค์ออกมาก็คือโรคระบาดที่ทำให้ป่วย!!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายดุเดือด หายใจถี่กระชั้น เขารู้สึกรางๆ ว่าเหมือนตัวเองจะจับจุดสำคัญได้แล้ว
หลังจากนั้นเนิ่นนาน อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะนี้ดังก้องอยู่ในถ้ำงู ฟังแล้วน่าหวาดผวา หากมีคนอยู่ในนี้แล้วมองเห็นท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องสำลักลมหายใจ สาบานว่าจะไม่มีทางไปกวนใจป๋ายเสี่ยวฉุนในขณะที่เขากำลังจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาเด็ดขาด
ในยามนี้ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ไอชั่วร้ายบางอย่างออกมา
มีแรงบันดาลใจใหม่ ป๋ายเสี่ยวจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาอีกครั้ง หยิบเอาพืชหญ้าทั้งหมดออกมาใหม่ จับคู่กันทีละอัน เทียบการส่งผลกระทบต่อกันทีละชิ้น แล้วปรับปรุงไปทีละอัน และก็ยิ่งไปคว้าเอางูพิษถี่ขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่คล้ายว่าใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความยึดมั่นที่จะสร้างตำรับยาออกมา
เวลาผันผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน สี่เดือน…
เวลาผันผ่านรวดเร็ว นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจสร้างตำรับยานี้ขึ้นมา นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งปีแล้ว ตลอดครึ่งปีมานี้เขาล้มเหลวมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุดวันนี้หลังจากผ่านมาครึ่งปี ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง สภาพสกปรกมอมแมมอย่างถึงที่สุด บนใบหน้ายังมีคราบดำมากมายเปรอะเปื้อน มีเพียงในดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเท่านั้นที่ฉายประกายฮึกเหิม มองไปยังเตาหลอมเบื้องหน้า
“ใกล้สำเร็จแล้ว ฮ่าๆ ใกล้จะสำเร็จแล้ว!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามด้วยความตื่นเต้นเสียงต่ำ เตาหลอมเกิดสั่นไหวเบาๆ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นรวบรวมเอาเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนตลอดครึ่งปีมานี้ ยาวิเศษที่สร้างขึ้นมากำลังจะปรากฏตัวขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น
“หลี่ชิงเสอ หลี่เฮยจื่อ เอานายท่านป๋ายของเจ้ามาโยนไว้ที่นี่ นึกจริงๆ หรือว่านายท่านป๋ายจะรับมืองูตัวน้อยพวกนี้ไม่ได้ รอยาวิเศษของข้าหลอมเสร็จเมื่อไหร่ ดูซิว่าข้าจะจัดการกับงูน้อยพวกนี้ยังไง หึๆ ไม่แน่ว่าต่อไปข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะสามารถสั่งพวกงู เรียกลมเรียกฝนได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าหัวเราะเสียงดังพร้อมคุยโวไปด้วย แต่เวลานี้เอง พลันจิตของเขาก็กระตุก มีความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง อึ้งไปครู่ก็หันหน้ากลับไปมองทางประตูใหญ่ของห้องหินทันที
การหันไปมองครั้งนี้ทำให้เขาอึ้งงันไปทั้งร่าง
เห็นแค่ว่ามีอีกเงาหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ข้างประตูใหญ่ห้องหิน ซึ่งไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เงาร่างนั้นไม่สูง ยืนอยู่ตรงนั้น กรงเล็บสีขาวทั้งสองข้างงออยู่หน้าตัว หูยาวทั้งคู่ตั้งตรง เบื้องหลังยังมีหางสั้นๆ ขนาดเท่ากำปั้นซึ่งกำลังกระดิกน้อยๆ…
ดวงตาสีแดง ปากเล็กๆ นูนออกมา และยังมีฟันใหญ่สองซี่ที่ยื่นออกมาข้างนอก เวลานี้กำลังมองเหม่อมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
คล้ายกับว่าเวลาได้หยุดชะงักลงในพริบตานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง พลันตะโกนเสียงดังขึ้นมา
“ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง!!” เงาร่างนี้ก็คือสัตว์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามหาไปทั่วยามเขาเซียงอวิ๋นเกิดความอลหม่าน แต่ไม่ว่ายังไงก็หาไม่เจอ…กระต่ายพูดได้ตัวนั้น!
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกน กระต่ายตัวนี้ก็เลียนแบบท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยการตะโกนเสียงดังใส่เขาเช่นกัน
“ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง!!” เจ้ากระต่ายเบิกตากว้าง ถอยหลังกรูด ขณะเดียวกันปากของมันก็เปล่งคำพูดมากมายออกมา
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน!”
“เจ้าเห็นหรือยัง กระต่ายพูดได้ด้วย!”
“ข้าจะบอกอะไรให้ เมื่อวานข้าเห็นผู้เฒ่าโจวกับนกฟ่งเหนี่ยวพวกนั้นของเขาอยู่ในห้องหนึ่งด้วยกัน และมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากด้านใน…”
“ศิษย์พี่โหวอวิ๋นเฟยท่านร้ายจริง อย่าซี้…อ๋า…นี่คืออะไร ข้าเห็นลิงหลายตัวชักกระตุก!”
“ศิษย์น้องหญิงเหม่ยเซียง ไม่ใช่ว่าข้าหลี่ชิงโหวใจจืดใจดำ รอตบะของข้าฝ่าทะลุเหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะเมื่อใด จะต้องขอเจ้ามาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าๆ ยานี่ไม่เลวเลย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจเสียจริง แม้แต่กระต่ายก็ยังพูดได้”
“หลี่ชิงเสอ หลี่เฮยจื่อ เอานายท่านป๋ายของเจ้ามาโยนไว้ที่นี่ นึกจริงๆ หรือว่านายท่านป๋ายจะรับมืองูตัวน้อยพวกนี้ไม่ได้ รอยาวิเศษของข้าหลอมเสร็จเมื่อไหร่ ดูซิว่าข้าจะจัดการกับงูน้อยพวกนี้ยังไง หึๆ ไม่แน่ว่าต่อไปข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะสามารถสั่งพวกงู เรียกลมเรียกฝนได้! ฮ่าๆๆ!” กระต่ายตัวนี้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหลากหลาย รวดเร็วอย่างถึงขีดสุด พริบตาเดียวก็วิ่งออกไปจากห้องหิน ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะบ้า โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประตูสุดท้ายที่เจ้ากระต่ายนั่นพูดออกมา เขามองเซ่อไปทันที ก่อนจะคำรามด้วยความโกรธแค้นไล่ตามออกไปนอกห้องหิน
แต่เจ้ากระต่ายตัวนี้เร็วเกินไป ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไล่ตามออกมานั้น มันก็พุ่งออกไปนอกค่ายกลดังสวบ งูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในถ้ำล้วนเปล่งเสียงขู่แหบแห้ง พ่นเมือกพิษจำนวนมากออกมา แต่เจ้ากระต่ายตัวนี้ปราดเปรียวอย่างไม่น่าเชื่อ หลบเลี่ยงงูทุกตัวไปได้ แม้ว่าเบื้องหลังจะมีงูจำนวนมหาศาลดีดตัวออกไปเพื่อจะฉกมัน แต่กลับฉกได้เพียงอากาศ ปล่อยให้กระต่ายตัวนี้หลุดรอดออกไปได้…จนกระทั่งวิ่งหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
ห่างไปไกล เขายังได้ยินเสียงที่มันพูดเลียนแบบคนมากมายดังสะท้อนอยู่ในถ้ำแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะแตกสลายเต็มที เขาไม่กล้าไล่ตามออกไป แม้ว่าความเร็วของเขาจะเร็วเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ปราดเปรียวเท่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ ทำได้เพียงมองอีกฝ่ายหนีไปกับตาตนเอง อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก พอเขาคิดถึงงานอดิเรกของกระต่ายตัวนี้ และยังมีเสียงตะเบ็งดังลั่นนั่นอีก แค่นี้เขาก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาตลอดร่าง เขากังวลว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้จะออกไปพูดมั่วซั่วข้างนอก หากหลี่ชิงโหวได้ยินเข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอนึกภาพได้ว่าตัวเองต้องจบอนาถอย่างแน่นอน
“สมควรตายเอ๊ย นี่มันกระต่ายอะไรกัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน แต่กลับนึกขึ้นมาได้อย่างเศร้าสร้อยว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่คือกระต่ายอะไร เพราะกระต่ายตัวนี้เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ
ความรู้สึกเหมือนยกหินกระแทกเท้าตัวเองทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนบ้าคลั่ง ท่ามกลางความกระวนกระวายใจ เขารีบกระแอมไอ ตะโกนเสียงดังไปยังทิศทางที่เจ้ากระต่ายหนีไป
“ท่านผู้นำหลี่ผู้ปรีชาฌานองอาจห้าวหาญ เป็นหนึ่งในปฐพี เป็นญาติที่ข้ารักมากที่สุด!”
“ท่านอาหลี่ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องขยันพากเพียร จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด!”
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนนิสัยเกเร สมควรแล้วที่จะถูกลงโทษอยู่ที่นี่ ตระหนักรู้แจ้งอยู่ทุกวัน ขอบคุณท่านผู้นำ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อย เอ่ยปากอย่างต่อเนื่อง พยายามทำให้เจ้ากระต่ายพูดได้ได้ยินคำพูดเหล่านี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อเตาหลอมในห้องหินส่งเสียงสั่นสะเทือน กลิ่นหอมของยากระจายออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หน้านิ่วคิ้วขมวด ในใจสาปแช่งเจ้ากระต่ายตัวนั้นจนไม่เหลือชิ้นดี ทอดถอนใจเดินกลับเข้ามาในห้องหิน เปิดเตาหลอมออก และเห็นว่าด้านในมียาหนึ่งเม็ดสีดำขาวตัดกัน เปล่งแสงประหลาดออกมาเป็นระยะ
———
*ลมทองคำน้ำค้างมรกตมาบรรจบกัน เปรียบเปรยถึงช่วงเวลางดงามสั้นๆ อันมีค่า โดยมากใช้อธิบายถึงการพบกันสั้นๆ ของคู่รัก