บทที่ 111 สัมผัสกับพันธนาการ
กลางดึก ดวงจันทร์ภายนอกลอยสูงอยู่กลางนภา ในถ้ำมีแต่ความมืดมิด ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงฟ่อๆ มากมายรอบกายตัวเองก็รู้สึกถึงแค่ความขนพองสยองเกล้า รีบกลับเข้ามาในห้องหิน
ห้องหินเล็กมาก บนพื้นมีค่ายกลธรณีอัคคีและวางเตาหลอมไว้หนึ่งใบ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เรียกใช้ค่ายกลธรณีอัคคี มีแสงไฟส่องสว่างออกมาทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย นิสัยเขาเป็นคนพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าตอนนี้จะหวาดกลัว แต่ก็จำต้องปรับตัวเข้าหามัน ดังนั้นจึงเปิดถุงเก็บของที่หลี่ชิงโหวให้มาออก แล้วก็ต้องเบิกตากว้างทันที
ในถุงเก็บของใบนี้มีพืชหญ้าจำนวนมากอยู่ด้านใน ถึงขั้นที่ว่าบางส่วนยังจำเป็นต้องใช้คะแนนคุณความดีสูงมากถึงจะแลกมาจากในสำนักได้ด้วยซ้ำ แถมยังมีอีกหลายต้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยอ่านผ่านตาจากพืชหญ้าห้าบท แต่ในสำนักไม่มีให้อยู่ด้วย
ส่วนพืชหญ้าประเภทอื่นๆ ก็ยิ่งเหลือคณานับ หากใช้อย่างประหยัด ไม่เพียงแต่พอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาวิเศษระดับสาม แม้แต่ระดับสี่ก็ยังเป็นไปได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าคึกคักขึ้นมา เรียกใช้เตาและเริ่มทำการหลอมยา มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะทำให้เขามองข้ามสภาพรอบด้านได้บ้าง การศึกษาค้นคว้าของเขายังไม่สำเร็จ ครั้งนี้เขาจะต้องลดพิษของยาระดับสามให้อยู่ในเก้าส่วนให้ได้
เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปสามเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนผมเผ้ายุ่งเหยิง ในห้องหินแห่งนี้เขาได้ลืมตัวตนของตัวเองไปแล้ว ภายใต้การหลอมยาอย่างต่อเนื่อง ควันเป็นระลอกแผ่กระจายออกมา ควันพิษที่กลายเป็นฝนกรดในโลกภายนอก เมื่อมาอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้กลับกลายเป็นอาหารที่งูพิษเหล่านั้นชื่นชอบ งูแต่ละตัวล้วนแย่งชิงกันฉกดูด เปล่งเสียงร้องฟ่อๆ บาดหู
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ การหลอมยาของเขาได้เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว เขาสามารถควบคุมสิ่งเจือปนในยาพิษให้อยู่ในระดับเก้าจุดหนึ่งสองส่วนได้แล้ว ขาดอีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ
ดวงตาของเขามีเส้นเลือดฝอย หลอมยาอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วสามเดือน
เขาอยู่อาศัยในถ้ำงูแห่งนี้มาได้ครึ่งปีแล้ว ตลอดครึ่งปีมานี้นอกจากหลอมยาเขาก็บำเพ็ญตบะ ทุกวันจะต้องร่ายวิชาเขตแดนธารา ก่อให้เกิดอานุภาพอันแข็งแกร่ง เสียดายก็แต่ยังคงไม่มีจิตวิญญาณแห่งชะตาตนใดๆ กลายรูปออกมา
ส่วนพวกงูที่อยู่รอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนว่าพอจะคุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งก็ยังเดินออกไปนอกถ้ำหิน เดินเตร่อยู่ในค่ายกล ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้พวกงูพิษแต่ละตัวเหล่านั้นจะเผยท่าทีเย็นชา ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากค่ายกลแค่ก้าวเดียวก็พร้อมจะบุกเข้าไปหาทันที
หลี่ชิงโหวเองก็แอบมาหาเงียบๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ถึงวางใจได้อย่างแท้จริง
ส่วนชายฝั่งทิศใต้ในครึ่งปีมานี้ก็สงบสุขได้อย่างแท้จริงเพราะการหายตัวไปของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่มีฟ้าผ่า ไม่มีควันพิษ ไม่มีฝนกรด ดื่มด่ำไปกับความสงบสุขที่ได้มาไม่ใช่ง่ายๆ นี้
มีบ้างเป็นบางครั้งที่คิดถึงป๋ายเสี่ยวฉุน แต่คนส่วนใหญ่ล้วนได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหลี่ชิงโหวพาเข้าไปในหุบเขาหมื่นอสรพิษจึงพากันปลงอนิจจัง กระทั่งที่ว่าหากมีใครทำผิดกฎสำนักขึ้นมาก็จะต้องนึกถึงป๋ายเสี่ยวฉุน หรือถึงขั้นที่ว่าใช้สิ่งนี้มาตักเตือนกันด้วยซ้ำ
“เป็นคนอย่าเป็นเช่นป๋ายเสี่ยวฉุนเกินไป!”
“เรื่องนี้ทำไม่ได้นะ ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนทำอย่างนี้ก็ยังต้องถูกลงโทษ เจ้าควรคิดให้หนัก”
เวลาหมุนเปลี่ยน ผ่านไปอีกครึ่งปี ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปได้หนึ่งปีแล้ว แม้แต่เจิ้งหย่วนตงก็ยังทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ เอาเขาไปไว้ที่หุบเขาหมื่นอสรพิษถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ที่นั่นมีแต่งู เขาก็จะได้ไม่รบกวนคนอื่นอีก”
เพียงแต่ ไม่ว่าจะเป็นเจิ้งหย่วนตงหรือหลี่ชิงโหว หรือแม้แต่ลูกศิษย์ของทั้งสามภูเขา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขา…ประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำเกินไป…
วันนี้หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอีกหนึ่งเตาได้สำเร็จ ไม่มีควันดำออกมาอีก ในที่สุดยาในเตาหลอมก็ไม่ใช่ยาพิษอีกต่อไป แต่เป็นของระดับล่างที่มีสิ่งเจือปนแปดจุดแปดเก้าส่วน!
แม้ว่าจะเป็นของระดับล่างในของระดับล่างอีกที แต่ก็คนละความหมายกับยาพิษอย่างสิ้นเชิง
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ลองหลอมอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็แน่ใจอย่างยิ่งว่า สำหรับยาวิเศษระดับสามแล้วตนเองสามารถทำได้ถึงขึ้น…หลอมสิบครั้งก็สำเร็จสิบครั้ง!
เขาเข้าใจพื้นฐานของยาวิเศษระดับสามได้ดีประดุจฝ่ามือของตัวเอง ต่อให้เป็นยาวิเศษระดับสามที่ไม่เคยผ่านการหลอมมาก่อน ก็แค่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างง่ายๆ ก่อนเท่านั้น ซึ่งยังคงสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขาถลาออกไปจากห้องหิน เสียงหัวเราะดังต่อเนื่อง ที่มีมากไปกว่านั้นคือความภาคภูมิใจในตัวเอง เพื่อวันนี้เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากมายเหลือเกิน และที่ต้องสูญเสียไปมากยิ่งกว่าก็คือเวลา
แถมตัวเองยังถูกโยนมาไว้ที่นี่ แต่ชั่วขณะที่ทำสำเร็จนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าทุกอย่างนี้มันช่างคุ้มค่า!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ใช้สายตาหยิ่งทะนงมองไปที่…ฝูงงู
“อันดับต่อไปก็คือฝึกบำเพ็ญตบะ รวมลมปราณขั้นเก้าแล้วก็ผิวหนังทองคงกระพัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวกลับอย่างลำพองใจ พอกลับเข้ามาในห้องหินก็เริ่มหลอมยาเพื่อสิ่งเหล่านี้
แถมยังเอาหม้อกระดองเต่าออกมา พอหลอมพลังจิตครั้งหนึ่งให้กับยาแล้วจึงกลืนลงไปทันที
ตบะของเขาเพิ่มขึ้นทุกวัน เดิมก็อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณขั้นแปดแล้ว อยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขั้นอีกแค่เพียงเส้นใยบางๆ อีกหนึ่งเดือนต่อมาขณะที่เขานั่งขัดสมาธิ ในสมองปรากฏช้างศึกขนาดยักษ์หนึ่งตัว ตบะในร่างกายระเบิดออกอย่างเต็มกำลัง ราวกับมีแม่น้ำหลายร้อยสายรวมกันกลายเป็นมหาสมุทรอยู่ในร่างกายของเขา พลังวิญญาณของเขาส่งเสียงดังครั่นครืน คล้ายว่าได้กลายมาเป็นมหาสมุทรใหญ่อย่างเลือนราง
เมื่อมองอย่างละเอียด มหาสมุทรใหญ่นี้มีรูปร่างเป็นมังกร ดั่งว่าในร่างกายของเขามีมังกรตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขณะที่มันว่ายวนไปตามเส้นชีพจรทั่วร่างของเขา กล้ามเนื้อของเขาก็ส่งเสียงดังกึกๆ เบื้องหลังพลันมีภาพมายาของช้างขนาดยักษ์ตัวหนึ่งบังเกิดขึ้นมา
ช้างยักษ์ตัวนั้นมีขนยาวขึ้นเต็มร่าง คล้ายว่ากำลังเงยหน้าร้องคำราม เท้าหน้ายกขึ้นกระทืบลงไปบนพื้นดินแรงๆ หนึ่งที ผืนแผ่นดินเป็นปกติ แต่กลับมีคลื่นที่มองเห็นไม่ชัดระลอกหนึ่งแผ่กระจายไปทั่ว ทำให้งูทุกตัวที่อยู่รอบด้านสั่นสะท้าน ส่วนงูเทพโลหิตเจ็ดแปดตัวที่อยู่ห่างออกไปนั้น นัยน์ตาก็ยิ่งเปล่งประกายเฉียบคม เกล็ดตลอดร่างตั้งชัน เงยหน้าขึ้นพรวด
คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาและพินิจภาพช้างยักษ์แล้ว พลังวิญญาณในร่างของเขาก็เพิ่มขึ้นมหาศาล และแน่นอนว่าย่อมฝ่าทะลุไปหนึ่งขั้น ตบะรวมลมปราณขั้นแปดได้ไต่ขึ้นไปเป็นรวมลมปราณขั้นเก้า!
พลังกล้ามเนื้อของเขาไต่ขึ้นสูงในชั่วขณะนั้น ขณะที่เลือดลมในร่างหมุนวน ก็เหมือนว่าร่างกายของเขาจะขยายพองขึ้นมา เลือดเนื้อทั่วร่างไหวระริก ในเลือดเนื้อทุกชุ่นล้วนมีพลังอันน่าตกตะลึงถือกำเนิดขึ้นมา
คล้ายมันได้หลอมรวมเข้ากับวิชาอมตะมิวางวาย ทำให้แสงสีเงินบนผิวหนังของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่สักพักก็คล้ายว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น พลังของกล้ามเนื้อเหมือนได้สัมผัสกับพันธนาการบางอย่าง บรรลุถึงจุดสูงสุดบางประการที่คล้ายว่าร่างกายมนุษย์จะฝ่าทะลุไปไม่ได้!
ในสมองมีเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ราวกับสรรพสิ่งเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน ประดุจดั่งน้ำที่อยู่ในขวด เมื่อถูกกรอกจนเต็มแล้วยังกรอกต่อไปอีก ทำให้ตัวขวดสั่นสะเทือนจนปรากฏรอยปริแตกเป็นเส้นๆ!
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้ม ดวงตาทั้งคู่เปิดโพลงขึ้นมา วินาทีที่ลืมตา นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายดุดันน่าสยดสยอง
ยามนี้หากมีลูกศิษย์ขั้นรวมลมปราณมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้า นอกจากจะเป็นบุคคลที่พิเศษแล้ว คนอื่นๆ ต้องจิตใจหวาดผวาอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเทียบพลังกดดันของนักพรตขั้นสร้างฐานรากไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำให้คนใจสั่น ส่วนลึกในจิตใจรู้สึกหวาดกลัวจนต้องก้มหัวให้
ราวกับว่านี่คือแรงบีบคั้นอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของชีวิต!
“มนุษย์มีพันธนาการ ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือเลือดเนื้อล้วนมีพันธนาการที่เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจฝ่าทลายได้…นี่คือบทขึ้นต้นของคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร ที่แท้…นี่ก็คือพันธนาการ!”
“คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร…ร่างกายมีกำลังดุจช้างสาร ทำให้พลังกล้ามเนื้อของผู้ที่ฝึกฝนบรรลุถึงจุดสูงสุด วิญญาณมีพลังดุจมังกร ทำให้ตบะของผู้ที่ฝึกฝนบรรลุถึงจุดสูงสุดของรวมลมปราณ นี่คือประโยชน์ของขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สอง ทำได้เพียงถึงจุดสูงสุดเท่านั้น แต่ไม่สามารถสัมผัสกับพันธนาการได้ แต่เมื่อฝึกขั้นที่สาม มังกรและคชสารหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายไต่ขึ้นสูงอีกครั้ง ล้วนบรรลุถึงขอบเขตของการสัมผัสถึงพันธนาการ และเมื่ออาศัยพลังชีพจรฟ้าดิน หรือพลังโอสถของสร้างฐานรากเข้าช่วย ก็สามารถฝ่าทะลุขั้นกลายเป็นมหาสมุทรลมปราณ และไปสู่ขั้นสร้างฐานราก…ได้สำเร็จ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ
“ดังนั้นคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถฝึกฝนได้ มีเพียงผู้ที่ฝึกหล่อหลอมร่างกายและลมปราณเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรได้อย่างสมบูรณ์แบบหลังจากถึงขั้นรวมลมปราณที่แปด”
“แม้ว่าวิชาอมตะมิวางวายจะเป็นเพียงบทที่ไม่สมบูรณ์ มีเพียงผิวหนังคงกระพัน แต่ผู้อาวุโสลึกลับที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในปีนั้นเคยบอกไว้ว่า เมื่อถึงผิวหนังทองคงกระพันแล้ว ข้าก็จะสามารถสัมผัสถึงพันธนาการขั้นที่หนึ่ง แต่จะฝ่าทะลุไปได้หรือไม่นั้นก็ต้องดูที่โชควาสนาของข้า”
“ดูท่าแล้วสิ่งที่ข้าสัมผัสได้ในตอนนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า…พันธนาการ!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาววับแรงกล้า ในชั่วขณะนั้นคล้ายจะส่องสว่างให้กับห้องหินอันมืดมิดแห่งนี้ได้
“บรรพบุรุษคนแรกที่สร้างคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรขึ้นมา ฝึกฝนจนถึงท้ายที่สุดกว่าจะหลอมรวมมังกรและคชสารเข้าด้วยกัน สัมผัสกับพันธนาการได้ แต่ก็แค่สัมผัสถึงพันธนาการเท่านั้น ซึ่งนี่ก็คือจุดสูงสุดแล้ว”
“ส่วนบทที่หนึ่งของมิวางวาย ผิวหนังทองคงกระพัน สามารถสัมผัสถึงพันธนาการได้ แต่นี่ยังไม่ใช่จุดสูงสุด จุดสูงสุดคือต้องฝ่าทะลุขั้น และก็มีเพียงฝ่าทะลุขั้นไปแล้วเท่านั้นถึงจะฝึกมิวางวายบทที่สอง เนื้อคงกระพัน!”
“แต่ตอนนี้ข้าแค่ฝึกขั้นแรกของคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรสำเร็จเท่านั้น ผิวคงกระพันก็ถึงแค่จุดสูงสุดของผิวหนังเงิน แต่เมื่อทั้งสองสิ่งนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ก็สามารถทำให้ข้า…สัมผัสถึงพันธนาการได้ล่วงหน้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น
“หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นเมื่อผิวหนังทองคงกระพันและมังกรคชสารขั้นที่สามล้วนฝ่าทะลุขั้นแล้ว กล้ามเนื้อของข้าจะบรรลุไปถึงระดับใดได้อีก?”
ไม่มีคำตอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เขากลับเริ่มมีความคาดหวังอันรุนแรงขึ้นมา เวลานี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอายาเพิ่มพลังปราณที่หลอมไว้ออกมา เริ่มฝึกวิชาอมตะมิวางวาย
แสงสีเงินเปล่งประกาย ในร่างกายของเขาเริ่มสีแสงสีทองให้เห็นได้รำไร แม้ว่าจะบางเบาอย่างมาก แต่กลับเป็นตัวบอกว่าวิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนมีความหวังที่จะบรรลุถึงขั้นผิวหนังทองคงกระพันแล้ว
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่บำเพ็ญตบะเสร็จสิ้นเดินออกไปจากห้องหินอย่างฮึกเหิม มองถ้ำรอบกายตัวเอง เขาวางมาดของยอดฝีมือออกมาอย่างไม่รู้ตัว สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดเบาๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้ามีพลังถึงขั้นรวมลมปราณที่เก้าแล้ว รอจนเปิดพันธนาการขั้นที่หนึ่งได้เมื่อไหร่ ในขั้นรวมลมปราณที่แปดทั่วหล้า ใครเล่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทอดถอนใจอยู่นั้น งูพิษยั้วเยี้ยรอบด้านที่พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวออกมา แต่ละตัวก็เลื้อยไปมาอยู่บนพื้นดิน มีไม่น้อยที่ส่งเสียงขู่ฟ่อ พ่นพิษออกมา
โดยเฉพาะงูเทพโลหิตที่มีพลังเทียบเคียงรวมลมปราณขั้นแปดเจ็ดแปดตัวซึ่งอยู่ห่างออกไปนั้นที่อยู่ๆ ก็ดีดตัวผลุงขึ้นมา พอกระแทกเข้ากับม่านแสงคุ้มกันด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนดังปึงก็ถูกดีดกลับไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนสะดุ้งโหยง มองงูพิษรอบกายที่ขัดจังหวะการปลงอนิจจังของตัวเองด้วยสายตาโกรธเคือง พอเห็นว่างูพวกนี้ล้วนมองมาที่ตนด้วยสายตาเย็นชาทั้งยังพ่นเมือกพิษออกมาไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โมโหปรี๊ดขึ้นมา
“คิดหรือว่านายท่านป๋ายของเจ้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ อย่ามาบีบบังคับข้า พวกเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันพูดจบ ก็มีงูอีกกลุ่มหนึ่งดีดตัวขึ้นมา เสียงปึงปังดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
“ดี พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดอย่างแค้นเคือง หมุนตัวตรงดิ่งกลับเข้าไปในห้องหิน
———-