Skip to content

A Will Eternal 1126

บทที่ 1126 ทายถูก…

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ตะลึงไม่ได้เลย เพราะสำหรับคนของโลกทงเทียนที่อยู่อาศัยในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้ว เขตการปกครองอวิ๋นไห่ที่มีการพัฒนาจึงเหมือนกลายมาเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง!

ขอแค่ที่นี่ไม่ล้มลง มันก็จะเหมือนธงผืนหนึ่งที่ปักตั้งตระหง่าน เป็นตัวแทนแห่งความหวังในใจของคนโลกทงเทียน!

หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นเร็วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากที่กวาดอำนาจจิตไปเกือบทั่วเขตการปกครองอวิ๋นไห่แล้วพบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี เขาก็แปลกใจขึ้นมาครามครัน จึงลุกขึ้นยืน เดินออกไปหนึ่งก้าว แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่เขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ นอกห้องโถงก็มีเสียงร้อนรนที่แฝงความกระวนกระวายของต้าเทียนซือดังเข้ามา

“ซือถูขอเข้าพบเทียนจุน มีเรื่องใหญ่จะรายงาน!”

น้ำเสียงของต้าเทียนซือเคร่งเครียด ทั้งเส้นเสียงยังสั่นน้อยๆ อย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น ราวกับว่าพบเจอเรื่องที่ใหญ่มากอย่างไรอย่างนั้น

นี่จึงยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกังขาเข้าไปใหญ่ ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่พลันเปิดออก ต้าเทียนซือรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องโถง และดูเหมือนว่าจะร้อนใจมากเกินไปจึงถึงขนาดลืมคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน พอปรี่ขึ้นหน้ามาได้ก็รีบเอ่ยว่า

“เทียนจุน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”

“เขตการปกครองอวิ๋นไห่ของพวกเรามีอันตรายใหญ่หลวง! ไม่สามารถคลี่คลายได้ อีกไม่นานเท่าไหร่ รากฐานที่พวกเราก่อร่างสร้างมาก่อนหน้านี้จะพังครืนลง อีกทั้งอาจจะถูกราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งกำราบรอบด้านอีกด้วย!!”

ต้าเทียนซือร้อนใจจนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึม ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปก่อนหน้านี้ เขากับราชาผียักษ์ได้เผชิญกับเหตุการณ์บางอย่างที่มิอาจแก้ไข และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาคับขันดั่งไฟมารอจ่อตรงหน้า

ในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุน นอกจากปีนั้นที่นครจักรพรรดิขุยกำลังจะถูกโจมตีและต้าเทียนซือมีสีหน้าเช่นนี้แล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ เขาล้วนสงบนิ่งราวผืนน้ำ ทว่าตอนนี้สีหน้าที่ว่านั้นกลับคืนมาอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันใจหายวาบ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถาม

“ใต้เท้าเทียนจุน ตอนนี้การหลอมพลังจิตของเขตการปกครองอวิ๋นไห่กลายมาเป็นจุดเด่น มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทว่ากลับเป็นเหมือนเนื้ออวบอ้วนก้อนหนึ่งที่ถูกราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งจับจ้องหมายช่วงชิง และจักรพรรดิเซิ่งผู้นั้นก็เจ้าเล่ห์มากกลอุบายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้มองดูเหมือนเขาจะยอมประนีประนอม แต่อันที่จริงกลับกำลังรอคอย รอคอยว่าเมื่อไหร่ที่พวกเราเติบโตได้ถึงระดับที่แน่นอนแล้ว เขาก็จะมาเก็บเกี่ยวผลผลิตไป!” ต้าเทียนซือร้องคร่ำครวญ

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าลึก อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ที่เขาปิดด่านบากบั่นฝึกตนก็เพราะต้องการเพิ่มระดับความสามารถให้กับตัวเองโดยเร็วที่สุด

“หลายเดือนมานี้สิ่งที่วางรออยู่ตรงหน้าพวกเรามีเพียงเส้นทางเดียว เส้นทางนี้หากไม่เดินไป ทุกย่างก้าวจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่หากเดินไป ก็คงต้องเผชิญกับวันที่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งจะมาเก็บเกี่ยวผลผลิตของเราไปเท่านั้น! โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมานี้ข้าผู้อาวุโสได้เฝ้าสังเกตโองการต่างๆ ที่จักรพรรดิเซิ่งป่าวประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมจะลงมือแล้ว เกรงว่าเวลาของเราคงเหลืออีกไม่มากแล้ว!!” ต้าเทียนซือร้อนรนอย่างถึงที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

“เว้นเสียแต่ว่าภายในครึ่งปีนี้เทียนจุนจะสามารถเลื่อนสู่บุพกาล หาไม่แล้ววิธีการเดียวที่พวกเรามีก็คือดำเนินการสองเส้นทางไปพร้อมๆ กันโดยใช้ความเร็วที่มากที่สุด ขอแค่ราชวงศ์จักรพรรดิแสเองก็แสดงเจตจำนงเดียวกันจนทำให้จักรพรรดิเซิ่งกริ่งเกรง พวกเราที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางถึงจะมีโอกาสรอด!”

“ทว่าพวกเราไม่มีหนทางไปติดต่อกับราชวงศ์จักรพรรดิแสได้เลย โดยเฉพาะเขตการปกครองของราชวงศ์จักรพรรดิแสในทิศเหนือด้วยแล้ว ต่อให้การหลอมพลังจิตของพวกเราจะถือเป็นเรื่องที่ดีต่อพวกเขา แต่ทว่าราชวงศ์จักรพรรดิแสกลับเก็บตัวปิดเขตการปกครองอย่างเข้มงวดจนเรื่องนี้มิอาจลอดผ่านไปได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าผู้อาวุโสและราชาผียักษ์ต่างก็กลุ้มใจอย่างยิ่ง เทียนจุน เราจะทำอย่างไรกันดี”

ต้าเทียนซือเกือบจะตีอกชกตัวอยู่แล้ว น้ำเสียงของเขาทั้งจนใจทั้งเคว้งคว้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินคำพูดของเขาก็ให้ตึงเครียดในช่วงแรกเริ่ม แต่พอภายหลังได้ยินว่าต้องเชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์จักรพรรดิแส เขาก็พลันคลายใจลงมาได้บ้างเล็กน้อย แม้ว่าลึกๆ ในใจจะยังลังเลกับความคิดที่จะติดต่อไปหากงซุนหว่านเอ๋อร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังพยักหน้าพลางเอ่ยว่า

“เรื่องนี้เองหรือ เจ้าทำข้าตกใจแทบตาย จะเป็นเรื่องใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว ก็แค่ราชวงศ์จักรพรรดิแสไม่ใช่หรือ ข้าจะไปหากงซุนหว่านเอ๋อร์แล้วปรึกษากับนางสักหน่อย…หืม? ไม่ถูกสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันคืนสติ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ต้าเทียนซือไอแห้งๆ หนึ่งที ความร้อนใจทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาอันตรธานหายวับไป ซ้ำยังหันมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

“เทียนจุนพูดแล้วย่อมทำได้ตามที่พูด หวังว่าเทียนจุนจะรีบไปปรึกษาเรื่องเปิดการค้าเสรีของทั้งสองฝ่ายกับเทียนจุนมารดาผีโดยเร็ว ทางที่ดีที่สุดคือต้องไปมาหาสู่กับเทียนจุนมารดาผีให้มาก หากพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวไปได้อีกขั้นก็ไม่แน่ว่าโลกทงเทียนของเราจะมีเทียนจุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หากได้นางมาเป็นภรรยาของเทียนจุน นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่!”

“เทียนจุนเพิ่งจะออกจากด่าน ควรจะพักผ่อนสักหน่อย ข้าผู้อาวุโสไม่รบกวนแล้ว ลาล่ะ…” ต้าเทียนซือพูดเร็วปรื๋อ เอ่ยจบก็หัวเราะหึหึแล้วก้มหน้าก้มตาถอยหลังออกไป พริบตาเดียวก็หายวับไปจากห้องโถงใหญ่

เหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวที่ยืนอ้าปากค้างมองแผ่นหลังของต้าเทียนซือที่หายไปอยู่ตรงนั้น ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้าง

“ซือถูเจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหลอกข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะบันดาลโทสะ แต่กลับบันดาลไม่ออก ตอนนี้เขาเองก็มองออกแล้วว่าเขตการปกครองอวิ๋นไห่ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น คำพูดที่ต้าเทียนซือเอ่ยก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการปลุกระดมให้คนฟังแตกตื่นไปเองเท่านั้น เป้าหมายของเขาก็แค่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้ชิดสนิทสนมกับกงซุนหว่านเอ๋อร์มากขึ้น

เห็นได้ชัดว่าช่วงที่ผ่านมานี้ต้าเทียนซือรู้ข่าวความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับกงซุนหว่านเอ๋อร์แล้ว และด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขา บวกกับที่เข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดีจึงรู้ดีว่าหากพูดเกลี้ยกล่อมธรรมดา ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องปฏิเสธแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงหากจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเจอกับกงซุนหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง เขาก็ไม่ใคร่จะเต็มใจเท่าใดนัก และที่ต้าเทียนซือต้องการลากกงซุนหว่านเอ๋อร์ให้เข้ามาอยู่ในโลกทงเทียนก็เพราะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า จะอย่างไรเสียหากมีเทียนจุนสองคน โลกทงเทียนที่มาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ย่อมแตกต่างไปจากเดิม สิทธิ์ในการออกเสียงก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย!

นอกจากนี้ก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ การหลอมพลังจิตของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ไม่สามารถเปิดกว้างให้ได้แค่เฉพาะราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งเท่านั้น ต่อให้จักรพรรดิเซิ่งจะไม่สบอารมณ์ ต่อให้เขาจะแค้นเคือง แต่เขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ต้องทำการค้ากับราชวงศ์จักรพรรดิแสด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาถึงจะมีชีวิตอยู่ตรงกลางระหว่างสองราชวงศ์ได้อย่างปลอดภัยที่สุด หาไม่แล้วก็จะเป็นอย่างก่อนหน้านี้ที่มองดูเหมือนปลอดภัย แต่ความจริงกลับเป็นแค่บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารีเท่านั้น

ข้อนี้ต้าเทียนซือพูดได้ถูกต้อง เพียงแต่ว่าช่วงเวลาก่อนที่วิกฤตจะมาเยือนยังไม่แน่ชัดเท่านั้น

เมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดตามไม่ทัน แต่ตอนนี้กลับเข้าใจกระจ่างแจ้ง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับแผนการของต้าเทียนซือดี ลึกๆ ในใจของเขากลัดกลุ้ม หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่คิดจะไปหากงซุนหว่านเอ๋อร์อีก

“ทุกครั้งที่ไปก็ต้องฟาดก้นนาง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนถอนหายใจ กังวลว่าหากยังฟาดกันไปแบบนี้ สักวันจะฟาดจนเกิดเรื่องใหญ่เข้าจริงๆ …

เพียงแต่ว่าเมื่อต้าเทียนซือเล่นลูกไม้ แถมตนดังโพล่งรับคำไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ถอนหายใจ เงยหน้ามองทางทิศเหนือ สุดท้ายก็ได้แต่ฝืนใจหายตัวไปที่นั่น

ระยะห่างระหว่างเขตการปกครองอวิ๋นไห่กับตำหนักของกงซุนหว่านเอ๋อร์ในเขตการปกครองของนาง หากเป็นนักพรตทั่วไป เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่สามารถข้ามผ่านไปถึงได้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น

ต่อให้มีค่ายกลปิดผนึกห้ามใครเข้า แต่เมื่อมาอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนค่ายกลนั้นก็ไม่ต่างจากความว่างเปล่า ตอนที่เขามาถึงตำหนักของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็เป็นยามสนธยาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ยังไม่ทันรอให้เขาตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ จะพูดอย่างไร เสียงหวานเจี๊ยบของกงซุนหว่านเอ๋อร์กลับดังออกมาจากในตำหนักเสียก่อน

“พี่ชายน้อย ดึกขนาดนี้แล้วเจ้ามาทำอะไรกัน หรือว่าคราวนี้คิดจะมาค้างคืนที่นี่จริงๆ” เสียงนี้หวานเสนาะหูน่าฟัง แต่พอดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทำให้เขาใจสั่นได้ทันที

เพราะเขาในเวลานี้เห็นไส้เห็นพุงกงซุนหว่านเอ๋อร์มาหมดแล้ว รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีนิสัยสองขั้ว นิสัยหนึ่งคือภายนอกชอบเรียกตนว่าพี่ชายน้อย ส่วนอีกนิสัยหนึ่งกลับโหดเหี้ยม ลงมือเมื่อใดก็ใช้ท่าไม้ตายเมื่อนั้น

“ก่อนหน้านี้นางไม่ใช่แบบนี้นี่นา หรือว่าเป็นเพราะผสานรวมร่างกับมารดาผีถึงได้เกิดผลข้างเคียง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนตัวเองหัวโตขึ้นมาอีกหลายส่วน เขาไม่กล้าพูดว่าอยากค้างคืนกับนางเหมือนครั้งก่อน ตอนนี้จึงได้แต่กระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“หว่านเอ๋อร์ เลิกเล่นได้แล้ว ครั้งนี้ข้ามีธุระสำคัญ”

“ธุระสำคัญ? ครั้งแรกที่เจ้ามาขอให้ข้าช่วยเจ้าใส่ร้ายครึ่งเทพคนหนึ่ง ตอนนั้นเจ้าก็บอกว่าเป็นธุระสำคัญ ครั้งที่สองตรงชายแดนเขตการปกครองอวิ๋นไห่ที่เจ้าบุกยึดหนึ่งเขตการปกครองของข้า เจ้าก็บอกว่านั่นคือธุระสำคัญ”

เสียงหัวเราะคิกคักของกงซุนหว่านเอ๋อร์ดังออกมาจากในตำหนัก เพียงแต่ว่าในเสียงหัวเราะคล้ายจะแฝงความเดือดดาลเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง

“ทำไมล่ะ คราวนี้แม้แต่เดินเข้ามาก็ยังไม่กล้างั้นรึ? เป็นถึงบรรพบุรุษขุย เป็นถึงเทียนจุนผู้ยิ่งใหญ่ มีความกล้าแค่นี้เองรึ? อ้อ ใช่สินะ ข้าลืมไปว่าเจ้าน่ะกลัวผี”

ตอนที่เสียงของกงซุนหว่านเอ๋อร์ดังออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเริ่มเลื่อนลอย รอบด้านพลันเปลี่ยนมาเป็นวังเวง ในตำหนักก็ยิ่งมีเงาผีผลุบๆ โผล่ๆ ออกมา ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตามหลักแล้วการที่เขามีท่าไม้ตายอย่างคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตอยู่ในมือ อีกฝ่ายไม่น่าจะอยากให้เขาเข้าใกล้สิถึงจะถูก

“หรือว่ามีกับดัก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวงขึ้นมาทันใด ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอนหายใจยาวเหยียด มองตำหนักใหญ่ปริบๆ ครั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระอาใจ

“ข้ารู้นะหว่านเอ๋อร์ เจ้าจงใจล่ะสิ…จงใจยั่วให้ข้าโมโห ให้ข้าเข้าไป จากนั้นก็…รอให้ข้าร่ายใช้คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตไปตีก้นเจ้ากระมัง?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็รีบตั้งท่าป้องกัน ตามความเห็นของเขา เมื่อตนเอ่ยเช่นนี้ อีกฝ่ายที่ถูกท้าทายต้องกระโจนออกมาตีกับตนถึงจะถูก ทว่าไม่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับต้องอึ้งงัน เขาค้นพบว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ในตำหนักกลับ…เงียบไป!

“ไม่จริงกระมัง…หรือว่าข้าทายถูกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ เบิกตากว้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version