Skip to content

A Will Eternal 1127

บทที่ 1127 โจวต้าซือ?

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลังจากที่ร่ายใช้คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตกับกงซุนหว่านเอ๋อร์แล้ว หญิงสาวผู้นี้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่แปลกประหลาดแบบนั้น

“หรือว่าวิชาอภินิหารที่ข้าสร้างขึ้นมานี้มีช่องโหว่อะไรที่ถึงแก่ชีวิต!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดขึ้นมาทันใด อันที่จริงเขาก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะทุกครั้งที่ไพล่นึกไปว่าหากประสิทธิผลที่ทำให้คนปากอ้าตาค้างชนิดนี้ของคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตถูกเผยแพร่ออกไป เกรงว่าชื่อเสียงของวิชาเขาคงถูกทำลาย และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก

“ที่ข้าคิดค้นขึ้นมาคือวิชาอภินิหาร คือเวทอาคมที่ยิ่งใหญ่นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ต้องการจะใคร่ครวญปัญหานี้ให้ลึกซึ้งไปยิ่งกว่านี้ เพราะเขารู้สึกว่าการที่กงซุนหว่านเอ๋อร์มีท่าทีเช่นนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำของนางเสียมากกว่า

“ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนซื่อ วิชาที่คิดค้นขึ้นมาก็ย่อมต้องถูกต้องตรงไปตรงมา จะนอกรีตนอกรอยแบบนั้นได้อย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงหันไปมองตำหนักของกงซุนหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง ขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่ ประตูใหญ่ของตำหนักกลับเปิดออกเองอย่างเงียบเชียบ

ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัวเล็กน้อย มองประตูใหญ่ แล้วพอเงยหน้ามองสีท้องฟ้าก็ยิ่งคิดไม่ตกเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด

“เอาเถอะๆ เพื่อปวงประชาในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ เพื่อทุกคนของโลกทงเทียน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมัวมาเห็นแก่ตัวอยู่ได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกพร้อมทุ่มสุดตัว สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในตำหนักเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง

ส่วนลึกในใจยิ่งเกิดความเศร้าคละเคล้ากับความฮึกเหิม พอเดินเข้าไปในตำหนักจึงเห็นว่าลึกเข้าไปด้านใน กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่สวมชุดสีชมพูนั่งหน้าไร้อารมณ์อยู่ตรงนั้น

กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ไม่เหมือนกับคนที่เรียกเขาว่าพี่ชายน้อยก่อนหน้านี้เลย นางจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา จุดลึกในดวงตามีประกายแสงเย็นเยียบ

“เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสามารถใช้เวทอาคมต่ำช้านั่นได้ตลอดกาล หาไม่แล้วขอแค่เจ้ากล้านำมันมาใช้กับตัวข้าอีกครั้ง ข้าจะระดมกองกำลังทั้งหมดของทิศเหนือไปบดขยี้เขตการปกครองอวิ๋นไห่ของเจ้าซะ!” กงซุนหว่านเอ๋อร์เอ่ยเนิบช้า น้ำเสียงหนักแน่น พริบตาเดียวก็ทำเอาประกายคมกริบในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ ทั้งยังโคจรตบะเตรียมรับมือ เพราะกงซุนหว่านเอ๋อร์ในเวลานี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่านางก็คือมารดาผีในอดีต!

“เจ้าจะกังขาในความเด็ดเดี่ยวของข้าก็ได้ หรือจะทดลองดูก็ย่อมได้” สายตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์ยังคงเยียบเย็น ทว่าความเด็ดขาดที่แฝงเร้นอยู่ในคำพูดกลับหนักแน่นเป็นพิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ด้วยกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนมารดาผีมากเกินไปจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อกงซุนหว่านเอ๋อร์ผสานรวมร่างกับมารดาผีแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะเขารู้สึกว่านิสัยของอีกฝ่ายคล้ายจะเปลี่ยนไป

“แต่ว่าสำหรับคนที่นิสัยเย็นชาแบบนี้ ข้ายังพอจะมีวิธีกำราบ ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ในปีนั้นก็ไม่ใช่เย็นชากันมากหรอกหรือ”

หลังจากกะพริบตาปริบๆ สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดในบัดดล มองกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เอามือไพล่หลัง ปณิธานเหี้ยมหาญระเบิดครืนครั่นออกมาจากร่างของเขา

เมื่อปณิธานนั้นระเบิดออกมา พลังอำนาจของเขาก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สายตาฉายประกายล้ำลึก ขณะเดียวกันน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความสูงส่งแห่งเทียนจุนก็ก้องกังวานอยู่ในตำหนักหลังนี้

“เจ้าสามารถระดมกำลังของทิศเหนือไปบดขยี้เขตการปกครองอวิ๋นไห่ของข้าได้จริง ทว่าปีนั้นข้าผู้แซ่ป๋ายเป็นแค่ครึ่งเทพก็สามารถจับเจ้าเป็นตัวประกันได้มาแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้…เจ้าก็ลองคิดดูว่าข้าจะจับเจ้าเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่!”

ไม่รอให้กงซุนหว่านเอ๋อร์เอ่ยสิ่งใด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“และที่วันนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายมาที่นี่ หาใช่มาเพื่อโต้เถียงเรื่องไร้แก่นสารกับเจ้า

กงซุนหว่านเอ๋อร์ แต่การหลอมพลังจิตของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ข้าได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งแล้ว ทิศเหนือของเจ้ามีเขตการปกครองหลายแห่ง ซึ่งก็ต้องการการหลอมพลังจิตไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขตการปกครองอวิ๋นไห่ของข้าปิดตาย จนนักพรตในทิศเหนือของเจ้ามิอาจเข้าไปสัมผัสได้!”

“วันนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายเตรียมจะเปิดเขตการปกครองอวิ๋นไห่อย่างเสรี มาที่นี่ก็เพื่อปรึกษากับเจ้า หาใช่เพื่อขอร้องหรือวิงวอน! ดังนั้นเจ้าเองก็อย่าวางท่าให้มันเกินไปนัก!”

คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนคมกริบราวกระบี่ เปลี่ยนความต้องการของตัวเองให้กลายมาเป็นความต้องการของกงซุนหว่านเอ๋อร์เสียแทน และประโยคนี้ของเขาก็ยิ่งทำให้สายตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์เป็นประกายคมระยับยิ่งกว่าเดิม

“น่าขันนัก เจ้ายึดเขตการปกครองแห่งหนึ่งของข้าไปยังมีหน้ามาวางท่าเหมือนทำทานกับข้าอีกหรือ ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าฝึกตนจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร!” กงซุนหว่านเอ๋อร์หัวเราะหยัน

“เจ้าจะไม่สนใจผลได้ผลเสียของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ย่อมได้ เจ้าเสียเขตการปกครองไปแห่งหนึ่งก็จริง แต่สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้าคือการค้าด้านการหลอมพลังจิตที่เจ้าจะได้ผลประโยชน์เหนือกว่าเก่าไปหลายขุม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโต้สวนกลับไปทันควัน น้ำเสียงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความมาดมั่น

“การค้า? เขตการปกครองอวิ๋นไห่ของเจ้าถูกทิศเหนือของข้าปิดตาย หาใช่เจ้าปิดตายพวกเราอย่างที่เจ้าพูด การค้านี้มีประโยชน์ต่อเขตการปกครองอวิ๋นไห่ของเจ้าอย่างมาก แต่สำหรับตัวข้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย!”

น้ำเสียงของกงซุนหว่านเอ๋อร์ยังคงเยียบเย็นดังเดิม

“ไม่มีประโยชน์? กงซุนหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าไม่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิแส แทนที่จะพูดว่ามาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง ก็ไม่สู้พูดว่าถูกบีบให้ต้องมาจะดีกว่า และสภาพการณ์ของข้าผู้แซ่ป๋ายก็ไม่ต่างอะไรไปจากเจ้านัก ข้อนี้พวกเราต่างก็เป็นเหมือนกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่อยากหลุดพ้นไปจากสภาวะนี้ หาไม่แล้วเจ้าก็คงไม่ยกทัพแห่มาเฝ้าพิทักษ์ที่ทิศเหนือ และข้าก็มีวิธีการที่ดียิ่งกว่า วิธีการที่จะทำให้พวกเราทั้งคู่บรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง เจ้าและข้าร่วมมือกัน ถึงจะเป็นทางเลือกอันดับหนึ่ง!”

“เปิดการค้าเสรี ทำให้ในเขตการปกครองทั้งห้าของทิศเหนือมีพื้นที่การหลอมพลังจิตของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ข้า ด้านหนึ่งก็เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ของทิศเหนือเจ้า อีกด้านหนึ่งก็เพื่อผลประโยชน์ที่มหาศาลยิ่งกว่า เมื่อทิศเหนือมั่นคงและสงบสุขแล้ว ข้ายังสามารถทำให้เจ้ากลายมาเป็นผู้ถืออำนาจเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์จักรพรรดิแสในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ การหลอมพลังจิตของทั่วทั้งราชวงศ์จักรพรรดิแสล้วนอยู่ในกำมือของเจ้า!”

“การร่วมมือกันเช่นนี้ จริงใจถึงเพียงนี้ กงซุนหว่านเอ๋อร์ ไหนเจ้าลองบอกข้าสิว่าเจ้ายังมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธอีก?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดรัวไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เอ่ยแทรก ดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์ฉายแววครุ่นคิด นั่นเป็นเพราะคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนสอดคล้องกับความต้องการของนางอย่างแท้จริง และการพัฒนาด้านการหลอมพลังจิตของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็อยู่ในสายตาของนางอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อเสนอสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยมาซึ่งถือว่ามีประโยชน์ต่อนางมากมหาศาลอย่างที่มิอาจบรรยาย!

มันอาจถึงขั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนางในราชวงศ์จักรพรรดิแสได้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้กงซุนหว่านเอ๋อร์จำต้องสงบจิตใจ เริ่มใคร่ครวญเรื่องการค้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถึงอย่างจริงจัง

และถึงแม้นางจะมองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจบิดเบือนความต้องการของตัวเอง แต่ในฐานะที่เป็นเทียนจุนด้วยกัน ต่อให้จะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแค่ไหน แต่หากมีผลประโยชน์จับต้องได้จริง ก็ใช่ว่าจะพูดคุยกันไม่ได้เสียเลย

เมื่อเห็นว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์เริ่มใคร่ครวญ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอจะคลายใจลงได้ ทั้งยังรู้สึกโชคดีไม่น้อย เพราะเขาคิดว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เป็นเช่นนี้ค่อนข้างมีเหตุผล พูดคุยกันง่าย

“เรื่องนี้ตัวข้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ละเอียด วันพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบแก่เจ้า!” ครู่ใหญ่ กงซุนหว่านเอ๋อร์ถึงเงยหน้าขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเอ่ยประโยคนี้

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะสำเร็จมีสูงมาก แล้วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการเวลาในการไตร่ตรองอย่างละเอียด การที่นางจะให้คำตอบกับตนในวันพรุ่งนี้ถือว่ามีความจริงใจมากพอแล้ว

“ในเมื่อใช้เวลาไม่นาน ข้าผู้แซ่ป๋ายก็ไม่กลับไปยังเขตการปกครองอวิ๋นไห่แล้ว ข้าจะอยู่ในนครแห่งนี้ เมื่อยามเช้ามาเยือนจะมารบกวนใหม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับ เตรียมจะบอกลาจากไป ดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์กลับเป็นประกายวาบ ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นในตำหนักก็มีสาวใช้หน้าตางดงามคนหนึ่งเดินออกมาเร็วๆ แล้วคารวะกงซุนหว่านเอ๋อร์

“ชิงเอ๋อร์ ราชาทงเทียนเป็นแขกที่เดินทางมาไกล เจ้าจงรับรองเขาให้ดี”

กล่าวจบกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หมุนกายหายไปจากจุดเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำจมูกเก้อๆ แม้จะบอกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ที่มีท่าทางเช่นนี้เหมาะสมกับการพูดคุยธุระสำคัญ แต่ลึกๆ ในใจเขากลับยังรู้สึกว่าแม้นางที่เรียกตนว่าพี่ชายน้อยจะไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ก็ทำให้คนคิดถึงอย่างห้ามไม่ได้

“ไม่ได้ วันหน้าต้องพยายามอยู่ให้ห่างจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ให้ได้มากที่สุด นิสัยของนางเปลี่ยนแปลงไปมากเกิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบกำจัดความคิดถึงที่มีต่ออีกฝ่าย ก่อนหันมามองสาวใช้นามว่าชิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย สาวใช้คนนี้หน้าตางดงามหมดจด มองดูแล้วน่าหลงใหลอยู่ไม่น้อย

ชิงเอ๋อร์ที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมองมาก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย นางรีบโค้งตัวคำนับ ก่อนจะพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกจากตำหนัก มุ่งหน้าไปยังหอเรือนรับรองแขกที่อยู่ใกล้ๆ กัน

ตำหนักของกงซุนหว่านเอ๋อร์ตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองไปเบื้องล่างจะเห็นนครขนาดใหญ่ของเขตการปกครองแห่งนี้

นครนี้คือนครใหญ่อันดับหนึ่งของเขตการปกครองที่นี่ ขนาดพอๆ กับนครอวิ๋นไห่ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นยามสนธยา ทว่ากลับยังครึกครื้นไปด้วยผู้คนคลาคล่ำ

เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังนครด้านล่าง ชิงเอ๋อร์ที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปยังหอเรือนเพื่อพักผ่อนก็อดลอบมองเขาด้วยความสนใจไม่ได้

นางทำท่าจะอ้าปากถามแต่ก็เงียบไปอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งพาป๋ายเสี่ยวฉุนมาส่งถึงหอเรือน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้มองไปยังชิงเอ๋อร์ยิ้มๆ

“มีอะไรอยากถามข้าไหม?”

พอได้ยินคำถามของป๋ายเสี่ยวฉุน ชิงเอ๋อร์จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ถามออกไปอย่างห้ามใจไม่ไหวอีก

“ใต้เท้าคือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของโลกทงเทียน ทั้งยังเล่าลือกันว่าเป็นอาจารย์หลอมพลังจิตอันดับหนึ่ง…ชิงเอ๋อร์สนใจในด้านการหลอมพลังจิตอยู่มาก แล้วก็เคยเห็นถึงความมหัศจรรย์ลึกลับของมันอยู่หลายครั้ง ต่างก็พูดกันว่าจะหลอมพลังจิตได้ต้องมีสายเลือดของโลกทงเทียน เรื่องนี้จริงหรือไม่?”

“เจ้าเคยเห็นการหลอมพลังจิตมาก่อน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินก็ถามขึ้น

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ โจวต้าซือที่อยู่ในนครมีชื่อเสียงเป็นรองแค่ใต้เท้าราชาทงเทียนเท่านั้น ทุกครั้งที่เขาหลอมพลังจิต หากมีเวลาว่างข้าก็จะต้องไปดูเสียทุกครั้ง”

ชิงเอ๋อร์พยักหน้ารับ สายตาบดบังความเลื่อมใสเอาไว้ไม่มิด ราวกับว่านางนับถือในตัวของอาจารย์หลอมพลังจิตอย่างมาก

“โจวต้าซือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version