Skip to content

A Will Eternal 1186

บทที่ 1186 มาเยือนด้วยความเดือดดาล

“สำนักธาราเทพโดนจับ!!”

“ค่ายกลใหญ่นอกนครจักรพรรดิแส!!”

“เตรียมจะชุบหลอมคนหลายแสนของโลกทงเทียนให้กลายมาเป็นสายเลือด!!” ข้อความเสียงที่ถูกส่งมาจากจางต้าพั่ง แต่ละประโยคเป็นดั่งกระบี่แหลมคมที่แทงตรงเข้าสู่กลางใจของป๋ายเสี่ยวฉุน!

บุรพาจารย์ธาราเทพ หลี่ชิงโหว…และสหายร่วมสำนักธาราเทพ รวมไปถึงนักพรตอีกมากมายที่มาจากโลกทงเทียน ชะตาชีวิตของพวกเขา ตอนนี้อยู่ในค่ายกลใหญ่นอกเมือง!

ข้อความเสียงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นประโยคไหน น้ำเสียงของจางต้าพั่งก็เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย ทั้งยังมากด้วยการตำหนิตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะจินตนาการได้เลยว่าจางต้าพั่งในเวลานี้จะต้องสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแน่นอน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจหอบถี่จนเจ็บหน้าอก ดวงตาของเขาพลันอาบย้อมไปด้วยสีเลือดจนเป็นสีแดงฉาน แผดเสียงคำรามหวนไห้ด้วยความรวดร้าว

เจ็บปวด!!

เจ็บปวดที่หัวใจ เจ็บปวดที่ร่างกาย เจ็บปวดลึกไปถึงจิตวิญญาณ!

บ้าคลั่ง!!

บ้าคลั่งจากปณิธาน บ้าคลั่งทางความคิด บ้าคลั่งจากจิตวิญญาณ!

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในวังหลวงป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกยั่วยุอารมณ์อย่างรุนแรงอยู่แล้ว ทั้งยังสามารถพูดได้ด้วยว่าหากกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่ลงมือ เกรงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว ภายหลังเนื่องจากสายตาและการสืบทอดจากจักรพรรดิขุยถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดแน่น แล้วเดินกลับมายังสถานทูตใหญ่ราวกับซากศพเดินได้ ก่อนจะเริ่มฝึกตนในแบบที่แทบจะเรียกได้ว่าทารุณต่อตัวเอง

ยังดีที่หลังจากได้กลายเป็นเจ้านายของซากพัด อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนคลายลงไม่น้อย ทว่าชั่วขณะที่หวนกลับมาที่นี่และรู้เรื่องทุกอย่าง ความบ้าคลั่งและความคับแค้นในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับระเบิดออกมาอย่างสิ้นเชิงโดยที่ไม่อาจระงับเอาไว้ได้อีก!

ผลลัพธ์เป็นเช่นไร ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไร…เขาไม่พิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว บุรพาจารย์ธาราเทพอยู่ที่นั่น หลี่ชิงโหวก็อยู่ที่นั่น!!

สำนักธาราเทพอยู่ที่นั่น!! คนของโลกทงเทียนหลายแสนคนอยู่ในนั้น!!

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเหี้ยม ชั่วขณะที่แผดเสียงร้องคำราม ร่างของเขาก็ทะยานผ่านสถานทูตใหญ่จนฟ้าดินส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ระเบิดปราณเหี้ยมอำมหิตเทียมฟ้า ปราณดุร้ายนี้แกร่งกร้าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พริบตาเดียวก็ทำให้สถานทูตใหญ่เหมือนตกอยู่ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุด นักพรตทุกคนที่อยู่ในนั้นพากันตัวสั่น ราวกับว่าเมื่ออยู่ภายใต้การกระเบิดของปราณดุร้ายนี้ แม้แต่จิตสำนึกของพวกเขาก็เหมือนจะเกาะตัวเป็นน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง!

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นพลันเงยหน้าขึ้น สะบัดกายวูบจนร่างระเบิดเสียงดังตูมๆ แล้วกลายมาเป็นหมอกเลือดผืนหนึ่ง!

เขาร่ายใช้วิชา…พิฆาตเทพโดยตรง!!

พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายไปจากสถานทูตใหญ่ เมื่อคนของสถานทูตใหญ่ฟื้นคืนสติ แต่ละคนต่างก็ตะลึงพรึงเพริด เห็นได้ชัดว่าต่างก็เข้าใจดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะทำอะไร!

“จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”

“เร็วเข้า รีบแจ้งไปที่นครจักรพรรดิเซิ่ง!!” ทุกคนที่อยู่ในสถานทูตใหญ่ต่างตื่นตระหนก ร้อนใจกันอย่างถึงที่สุด พวกเขารู้เรื่องที่องค์ชายใหญ่ทำในช่วงที่ผ่านมานี้เป็นอย่างดี แล้วตอนนี้ยังมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดอารมณ์อีก จึงเข้าใจโดยพลันว่าเรื่องใหญ่ค้ำฟ้ากำลังจะระเบิดขึ้นในนครจักรพรรดิแสแล้ว

ทว่า…สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ ผลกระทบของเรื่องนี้จะกว้างไกลเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง!

พริบตานั้นท้องฟ้าทั่วทั้งนครจักรพรรดิแสก็อื้ออึงไปด้วยเสียงสะเทือนเลือนลั่น หมอกเลือดผืนนั้นทะยานออกมาแล้วตรงดิ่งสู่นอกเมือง ซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตรงนั้นมีค่ายกลขนาดมหึมาตั้งอยู่

ในค่ายกลเต็มไปด้วยความขุ่นมัวจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงว่าบนค่ายกลมีมังกรสีดำเก้าตัวกำลังเลื้อยโฉบว่ายวนพลางร้องคำรามไม่หยุด ส่วนบริเวณโดยรอบค่ายกลนั้นมีนักพรตราชวงศ์จักรพรรดิแสหลายคนนั่งเข้าฌานอยู่

คนพวกนี้กำลังปลุกเสกพลังของค่ายกล ขณะเดียวกันกลางอากาศเหนือค่ายกลก็มีคนนั่งสมาธิอยู่สองคน

คนหนึ่งคือเทียนจุนปฐพีพินาศ ส่วนอีกคนหนึ่งคือซื่อหลิงซ่างเหริน

คนทั้งสองนี้ต่างก็ถูกองค์ชายใหญ่เชื้อเชิญให้มาเฝ้าบัญชาการณ์ที่นี่!

ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าคนที่ถูกปิดผนึกอยู่ในค่ายกลคือนักพรตโลกทงเทียน แล้วก็ใช่จะไม่รู้ตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่จะอย่างไรซะที่นี่ก็คือนครจักรพรรดิแส ตามความเห็นของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถข่มกลั้นความอัปยศในวังหลวงได้ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่โง่เง่าจนเกินไป ในเมื่อทนมาได้แล้วครั้งหนึ่งก็ย่อมต้องทนได้เป็นครั้งที่สอง

โดยเฉพาะเทียนจุนปฐพีพินาศที่กระตือรือร้นกับเรื่องที่ตัวเองทำอยู่ในเวลานี้เป็นพิเศษ สาเหตุล้วนเป็นเพราะศึกระหว่างเขากับป๋ายเสี่ยวฉุนในปีนั้น ความพ่ายแพ้อย่างอนาถและสภาพกระเซอะกระเซิงเป็นเหตุให้ชื่อเสียงของเขาในนครจักรพรรดิแสทุกวันนี้เสื่อมเสียลงไปไม่น้อย ยังถึงขั้นด้อยกว่านักพรตทงเทียนด้วยซ้ำ

“หากป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ จุดจบสุดท้ายของเขาก็ต้องน่าสังเวชอย่างถึงที่สุด!”

“หากเขาไม่มา เขาก็ได้แต่ทนเห็นคนของโลกทงเทียนถูกชุบหลอม และความแค้นครั้งนี้ก็จะไม่นับรวมมาที่ข้า แต่ส่วนใหญ่จะไปตกอยู่ที่องค์ชายใหญ่” เทียนจุนปฐพีพินาศคิดมาถึงตรงนี้ก็อมยิ้มน้อยๆ เตรียมจะก้มหน้าลงมองค่ายกลที่อยู่เบื้องล่าง

ทว่าเวลานี้เอง เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ซื่อหลิงซ่างเหรินที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเดิมทีหลับตา ตอนนี้ก็ลืมตาโพลง และชั่วขณะที่คนทั้งสองสัมผัสได้นั้นเอง พวกเขาก็เห็นทันทีว่าบนท้องฟ้าของนครจักรพรรดิแสที่ห่างไปไกล มีหมอกเลือดสีชาดผืนหนึ่งที่แผ่กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกและปณิธานแห่งความเหี้ยมอำมหิตตลบอบอวล ชั่วลมหายใจก่อนยังอยู่ห่างไปไกล ทว่าวินาทีถัดมา…กลับมาโผล่อยู่นอกค่ายกลแล้ว!

ต่อให้จะเป็นแค่หมอกเลือดผืนหนึ่ง ทว่าคลื่นอำนาจจิตที่แผ่ออกมาจากด้านในกลับทำให้ปฐพีพินาศและซื่อหลิงซ่างเหรินรู้ได้ว่า คนที่มาคือใคร!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” เทียนจุนปฐพีพินาศถลันลุกขึ้นยืน ทว่าวินาทีที่เขาเปล่งคำพูดออกมา หมอกควันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจำแลงอยู่ข้างในกลับแผดเสียงคำรามที่ดังเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน!

“พวกเจ้า…รนหาที่ตาย!!” เมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง หมอกเลือดที่เกิดจากวิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตรงดิ่งไปหานักพรตหลายร้อยคนที่นั่งเข้าฌานปลุกเสกค่ายกล ในบรรดานักพรตเหล่านี้คนที่ตบะอ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นคนฟ้า ครึ่งเทพเองก็มีอยู่ไม่น้อย เวลานี้แต่ละคนที่ตะลึงพรึงเพริดพยายามจะดิ้นรนต่อต้าน แต่หมอกเลือดที่จำแลงมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนรวดเร็วเกินไป พลังอำนาจก็แข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังเผด็จการอย่างยิ่ง พริบตาที่เข้ามาใกล้ก็พุ่งทะลวงร่างของคนเจ็ดแปดคนรวดเดียว!

นักพรตเจ็ดแปดคนนี้ไร้เรี่ยวแรงให้ต่อต้านและดิ้นรน ร่างของแต่ละคนสั่นเทิ้ม ก่อนจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของพวกเขาแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ปากแผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อหมอกเลือดพุ่งผ่านไป ร่างของพวกเขาก็กลายมาเป็นซากแห้งที่ล้มตึงลงไปกองบนพื้น

ภาพนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบด้านร้องอุทานเอ็ดอึงด้วยความหวาดผวา ทั้งยังทำให้เทียนจุนปฐพีพินาศและซื่อหลิงซ่างเหรินใจสั่นสะท้าน คนทั้งสองตวาดขรมพลางพุ่งพรวดเข้าไปหมายขัดขวาง

ทว่าความเร็ววิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วยิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท หมอกเลือดก็ปกคลุมคนอีกหลายสิบคน ยังไม่สิ้นสุด ประหนึ่งการกวาดล้างอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่านักพรตที่อยู่รอบด้านจะหนีไปทางไหน ไม่ว่าพวกเขาจะร้องอุทานเสียงดังแค่ไหน หรือแสดงหวาดกลัวออกมามากเท่าไหร่ ก็ล้วนมิอาจแก้ไขเหตุการณ์ให้ดีขึ้นได้ พริบตาเดียวก็ถูกหมอกเลือดแดงฉานตรงเข้าเขมือบกลืนกิน!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา เร็วจนเทียนจุนก็ตั้งตัวไม่ทัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิแสที่กำลังปลุกเสกค่ายกลเหล่านั้นเลย หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง หมอกเลือดก็พลันแผ่กลบทับ ทุกที่ที่ผ่าน สามารถมองเห็นได้ว่านักพรตแต่ละคนกลายร่างเป็นซากแห้ง เลือดเนื้อของพวกเขาถูกช่วงชิงเอาไป จิตวิญญาณของเขาถูกกระชากออก พลังชีวิตของพวกเขาถูกดูดจนเกลี้ยง!

ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง หลังจากนักพรตหลายคนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว พลังชีวิตที่เข้มข้นของคนเหล่านั้นก็ทำให้เลือดลมวิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนขยายกว้างใหญ่ไปอีกหลายเท่า หมอกเลือดแผ่ตลบอบอวลไปทั้งท้องฟ้า ทอดสายตามองไปไกลๆ แม้แต่ฟ้าดินของที่แห่งนี้ก็ยังถูกส่องสะท้อนให้กลายมาเป็นสีเลือด!

ไม่สังหารก็ยังพอว่า แต่พอเปิดฉากสังหารแล้ว…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สนใจเรื่องอะไรอีก เขาในเวลานี้เดิมทีก็ดุร้ายน่าพรั่นพรึงอยู่แล้ว พอความคับแค้น ความกดดัน ความบ้าคลั่งทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกัน มันจึงกลายมาเป็นการระเบิดพลังที่บ้าระห่ำในครั้งนี้!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” ภาพนี้ทำให้ลมหายใจของเทียนจุนปฐพีพินาศและซื่อหลิงซ่างเหรินชะงักค้าง แม้ว่าภายนอกเทียนจุนปฐพีพินาศจะแสดงออกมาเช่นนี้ ทว่าในใจกลับลอบยินดี เขารู้ดีว่า คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่มีทางหนีหายนะไปได้พ้น!

ทว่าชั่วขณะที่เทียนจุนปฐพีพินาศเปล่งคำพูดนั้นออกไป หมอกเลือดรอบด้านก็พลันกลิ้งซัดตลบมารวมตัวอยู่ด้วยกัน แล้วกลายมาเป็นหัวกะโหลกสีเลือดที่มีใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งหันขวับมามองเทียนจุนปฐพีพินาศ แล้วพุ่งทะยานเข้ามาหาเขาพร้อมเสียงดังอึงคะนึง

เทียนจุนปฐพีพินาศหน้าเปลี่ยนสี ซื่อหลิงซ่างเหรินที่อยู่ข้างกันหรี่ตาทั้งคู่ลง ก่อนจะก้าวออกไปพลางทำมุทรา คนทั้งสองเตรียมจะร่วมมือกัน ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ ในหมอกเลือดก็มีเสียงทุ้มหนักที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา

“เขตแดน ธารา!”

ครืนๆๆ!

แปดทิศกลายมาเป็นหนองบึง ไอน้ำกรุ่นท่วมฟ้า หนามแหลมคมจำแลงออกมา ยอดเขาพุ่งทะยานสู่นภากาศ สัตว์ยักษ์…เยื้องกรายลงมาบนโลกอีกครั้ง ปากขนาดมหึมาที่เป็นดั่งแผ่นดินใหญ่สองผืนผุดออกมาจากจุดลึกของใต้ดิน ปิดทับพื้นที่สี่ทิศ พลังอำนาจแผ่กำจายตรงดิ่งเข้าหาซื่อหลิงซ่างเหริน!

ซื่อหลิงซ่างเหรินหน้าเปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก เดิมทีเขาไม่คิดจะถอยหนี แต่พอถูกสัตว์ยักษ์หมายหัว และเมื่ออยู่ภายใต้แรงโจมตีเช่นนั้น เขาก็จำต้องก้าวถอย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเหลือปฐพีพินาศยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว!

ส่วนเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นก็ไม่ได้หยุดชะงัก หมอกเลือดพิฆาตเทพของเขากระแทกชนลงบนร่างของปฐพีพินาศอย่างจัง แต่จะอย่างไรซะปฐพีพินาศก็เป็นถึงเทียนจุน เขาที่ร้องคำรามโคจรพลังทั้งหมดมาต้านทานเอาไว้ วิชาอภินิหารถูกร่ายใช้ แต่กระนั้นก็ยังกระอักเลือดพร้อมร่างที่ปลิวละลิ่วออกไป

เพียงแต่ว่าวิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แหลกสลายไปเช่นกัน

หลังจากจำแลงกลับมาเป็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาบย้อมไปด้วยปราณสังหาร เขาจะฆ่าคน ต่อให้เป็นเทียนจุน เขาก็จะฆ่าทิ้ง เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ หากไม่ฆ่าคน หากไม่สยบขวัญ เขาก็ไม่มีเวลาไปทำลายค่ายกลให้แตกออกได้!

“เพราะว่าข้าไม่เคยฆ่าเทียนจุนใช่ไหม พวกเจ้าถึงได้กล้ามาขัดขวางข้า?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version