Skip to content

A Will Eternal 1189

บทที่ 1189 โกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม

“หว่านเอ๋อร์และจื่อโม่…มีเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า…ลูก…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น บัดนี้จิตวิญญาณของเขาพลันบังเกิดพายุโถมกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดชีวิต

นั่นคือความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งปิติยินดี ทั้งร้อนรุ่ม พอนึกถึงว่าไม่รู้ตอนนี้หญิงสาวทั้งสองจะเป็นหรือตาย ในร่างป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนมีกองไฟที่หมายจะแผดเผากายใจของเขาให้มอดม้วยคุขึ้นมา

“ที่องค์ชายแสผู้นั้นให้ความสำคัญ น่าจะเป็นร่างกายของเจ้าเสี่ยวฉุน ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่อาจได้ครอบครอง ด้านหนึ่งก็เพื่อจับพวกเรามาชุบหลอม อีกด้านหนึ่งก็ชิงตัวซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ไป หมายจะนำลูกในท้องของพวกนางมาชุบหลอมเป็นปราณหยวนหยาง เพื่อที่จะช่วงชิงความลับในสายเลือดของเจ้า!!”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปลี่ยนมาเป็นสีแดงฉานราวสีเลือด เขาแหงนหน้าแผดเสียงคำรามแหบโหยที่ดังสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ความเดือดดาลในร่างปะทุพลุ่งพล่านดุเดือดยิ่งกว่าหน้านี้หลายต่อหลายเท่า!

นั่นคือผู้หญิงของเขา นั่นคือลูกของเขา!!

แต่องค์ชายแสกลับคิดจะชุบหลอมพวกนางทั้งเป็น ความแค้นเช่นนี้ ความชิงชังเช่นนี้ ล้วนกลายมาเป็นความบ้าคลั่งที่พร้อมจะทำให้เลือดอาบท้องฟ้า ทำลายนภาดับแผ่นดิน!

ต่อให้จะเป็นคนกลัวตายแค่ไหน ต่อให้จะเป็นคนขี้ขลาดแค่ไหน ทว่าบัดนี้ก็มิอาจทนรับได้ แล้วก็ไม่คิดจะทนรับ ใครก็ต้องคลุ้มคลั่ง ใครก็ต้องระเบิดสันดานที่แท้จริงออกมา!

เสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน แต่เขาไม่ได้สูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง เขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้ของตนไม่อาจบอกได้ว่าจะเป็นหรือตาย แต่เขาไม่แยแสอีกแล้ว เขากลัวตายมาทั้งชีวิต หลายต่อหลายครั้งที่เขาเลือกความมั่นคงปลอดภัย น้อยครั้งนักที่เขาจะยอมเสี่ยงอันตราย

ทว่าตอนนี้…เขาไม่ยี่หระสิ่งใดทั้งสิ้น ต่อให้เบื้องหน้าคือภูเขามีดทะเลเพลิง เขาก็ไม่ใยดี เขาจะต้องไป เขาจำเป็นต้องไป เขาต้องไปให้ได้ แม้ว่าจะพาตัวไปตายก็ตาม!!

“ต่อให้ตาย แล้วจะอย่างไร!!” เดิมทีประโยคนี้ไม่เคยมีอยู่ในบทบัญญัติชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน ทว่าวันนี้มันกลับดังอื้ออึงขึ้นมาในสมองของเขา!

ทว่าสติของเขายังคงหลงเหลืออยู่ เมื่อกวาดสายตามองไปยังคนโลกทงเทียนหลายแสนคนที่อยู่เบื้องหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจดีว่าหากเขาจากไป คนเหล่านี้ย่อมต้องตกอยู่ในอันตราย ขณะเดียวกัน ต่อให้ส่งพวกเขาไปไว้ในกระบี่ใหญ่สายเหนือแล้วพาไปด้วยกัน แต่หากตนตายขึ้นมา ชะตากรรมของพวกเขาก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายได้ แต่เขาไม่สามารถนำชีวิตของคนหลายแสนคนไปตายเพียงเพราะเรื่องของตัวเอง

ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

เขาทำมุทราชี้ไปที่กระบี่ใหญ่สายเหนืออย่างไม่ลังเล ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก กระบี่ใหญ่สายเหนือก็พลันส่งแรงดึงดูดมหาศาลออกมา ภายใต้การควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รวบเก็บเอานักพรตโลกทงเทียนหลายแสนคนซึ่งรวมถึงหลี่ชิงโหวและบุรพาจารย์ธาราเทพเข้าไปไว้ในกระบี่ใหญ่สายเหนือ!

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…ขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง ช่วยข้าปกป้องพวกเขา นำกระบี่เล่มนี้…ไปมอบให้กับมือของต้าเทียนซือ!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง กระบี่ใหญ่สายเหนือที่ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก็กลายมาเป็นรุ้งยาวที่ตรงดิ่งไปยังทิศไกล ไม่ใช่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากพาทุกคนไปอยู่ที่ซากพัด แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า แม้เขาจะกลายมาเป็นเจ้านายของซากพัด แต่ก็ยังไม่สามารถพาคนหลายแสนคนเข้าไปอยู่ด้วยได้

บนท้องฟ้าในเวลานี้ เงาร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์จำแลงออกมา สีหน้าของนางซับซ้อนยิ่ง นางมาถึงตั้งนานแล้ว แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมา เดิมทีนางอยากจะช่วย ทว่าด้วยเรื่องราวที่พัฒนาไปก็ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมืออีกแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเรียกชื่อนาง

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้ถึงการดำรงอยู่ของกงซุนหว่านเอ๋อร์ กงซุนหว่านเอ๋อร์เงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำ ไม่ได้มองดวงตาของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่นางมอง…ก็คือแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดความเร็วกลายเป็นดั่งดาวตกที่พุ่งตรงไปยังนครจักรพรรดิแส!

“เขา…เชื่อใจข้าขนาดนี้เชียวหรือ…” กงซุนหว่านเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก พลันหันกลับไป กลายร่างเป็นรุ้งยาวที่ไล่ตามกระบี่ใหญ่สายเหนือซึ่งห่างไปไกล นางรู้ดีว่าคนหลายแสนคนที่อยู่ในกระบี่ใหญ่สายเหนือคือคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนห่วงใย นางยิ่งรู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้คิดจะทำอะไร นางไม่สามารถขัดขวาง แต่ลึกๆ ในใจนางกลับสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ประหลาด

ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว ความเร็วนั้นทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนและแปดทิศเปลี่ยนสี มังกรกระดูกอันเป็นที่ตั้งของนครจักรพรรดิแสก็เหมือนจะสั่นสะเทือนตามไปด้วย ไม่มีกระบี่ใหญ่สายเหนือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่าพลังการต่อสู้ของตนลดน้อยลงไป แต่เขาก็เข้าใจด้วยว่า มีเพียงทำอย่างนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรให้คนอื่นเรียกตนว่าบรรพบุรุษขุย และตนถึงจะสามารถเปิดฉากสังหารนองเลือดได้อย่าง…ไร้ความกังวล!

“องค์ชายแส วันนี้หากไม่ฆ่าเจ้า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนสาบานว่าไม่ขอเป็นคน!!”

ฆ่าๆๆ! ปราณดุร้ายรุนแรงขุมหนึ่งระเบิดออกมาจากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ระเบิดออก มาถึงสุดท้ายดาวตกที่จำแลงมาจากร่างของเขายังเหมือนดาวหายนะที่พุ่งเข้าไปใกล้ด้วยกลิ่นอายดุร้ายเทียมฟ้า

ลมและเมฆพัดกระโชกเปลี่ยนสี แผ่นดินสั่นสะเทือน ความว่างเปล่าก็ปริแตกเพราะความเร็วและปราณดุร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน เผยให้เห็นเป็นรอยแผลเป็นยาวเหยียดใหญ่ยักษ์ นักพรตทุกคนที่อยู่ในนครจักรพรรดิแสพากันใจสั่น พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบร้ายแรงขุมหนึ่ง

คนฟ้าก็ดี ครึ่งเทพก็ช่าง ต่อให้เป็นเทียนจุนก็ยังหายใจติดขัด โดยเฉพาะทุกคนที่อยู่ในสถานทูตที่ยิ่งพากันหอบหายใจดังเฮือก

พริบตานั้นทั่วทั้งนครจักรพรรดิแสก็คล้ายตกอยู่ท่ามกลางความกดดันอย่างหนึ่ง สายตาของคนนับไม่ถ้วนล้วนพากันหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในดาวตกซึ่งทะยานขยับเข้าไปใกล้นครจักรพรรดิแสมากขึ้นทุกขณะ!

แล้วก็สังเกตเห็นด้วยว่าทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมุ่งหน้าไป…ก็คือ…จวนองค์ชาย!!

มองไปไกลๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนกลายมาเป็นดาบสังหารเล่มหนึ่งที่ถูกชักออกจากฝัก ซึ่งปราณสังหารนั้นพุ่งเล็งไปที่องค์ชายใหญ่!

ขณะเดียวกันในจวนองค์ชายแห่งนี้ ลูกน้องของเขาทุกคนพากันใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนร้องอุทานตกใจดังเอ็ดอึง องค์ชายใหญ่ที่อยู่ในห้องลับก็มีสีหน้าคลุ้มคลั่ง จ้องเป๋งไปที่ค่ายกลซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า

“กะอีแค่สัตว์น้อยตัวหนึ่ง ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะยืนหยัดได้นานสักแค่ไหน!”

ค่ายกลนี้ประหนึ่งต้นกำเนิดแห่งหยินหยาง ซ่งจวินหว่านและโจวจือโม่สองหญิงที่หลับตาถูกปิดผนึกไว้ข้างใน สีหน้าของพวกนางซีดขาว ร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าฉายความเจ็บปวด รอบกายพวกนางก็คือ ควันดำที่ผุดพลุ่งเป็นระลอกและล้อมวนอยู่ต่อเนื่องไม่จางหาย คล้ายต้องการจะชุบหลอมทั้งร่างพวกนางและสายเลือดที่อยู่ในท้องพร้อมกันทั้งหมด!

ทว่ากลับมีแสงสีม่วงผืนหนึ่งแผ่ออกมาจากในภาพที่นาบประทับอยู่บนแขนของซ่งจวินหว่าน ซึ่งคอยช่วยต่อต้านและปกป้องนางกับโจวจื่อโม่อย่างสุดกำลัง เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าภาพนั้นเป็นภาพของเถี่ยตั้น!

และเบื้องใต้ค่ายกลนี้ก็มีแท่นสีเลือดอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งควันดำก็แผ่ออกมาจากข้างในแท่นนี้

เมื่อองค์ชายใหญ่ทำมุทรา ค่ายกลนี้ก็เคลื่อนโคจรไม่หยุด ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ องค์ชายใหญ่ก็พลันเงยหน้า หยิบเอาแผ่นหยกส่งข้อความเสียงมาตรวจดู แล้วหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง

“สมควรตายนัก ไม่มีใครขัดขวางเขาได้สักคนเลยหรือนี่!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคิดจะสังหารข้าผู้เป็นองค์ชายงั้นรึ? เจ้ามันรนหาที่ตาย! ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าหรือข้ากันแน่ที่เร็วกว่ากัน เพราะข้า…ใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!!”

องค์ชายใหญ่สีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะรีบส่งความเสียงไปหาเสด็จพ่อของตัวเอง แต่รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เขาจึงเริ่มลนลาน รีบหันไปส่งข้อความเสียงขอความช่วยเหลือจากเทียนจุนคนอื่นๆ

เพื่อให้เทียนจุนลงมือ เขาถึงขั้นยอมให้คำมั่นสัญญายิ่งใหญ่อย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน จนกระทั่งได้รับคำตอบรับที่แน่นอน เขาถึงได้ระบายลมหายใจโล่งอก แต่ก็ยังไม่วางใจสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้ครึ่งเทพทุกคนในจวนองค์ชายไปขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุน

ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของจวนองค์ชายจึงจำเป็นต้องแข็งใจบินออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้บุกเข้ามาถึงใจกลางของนครจักรพรรดิแสแล้ว ผ่านสถานที่ใด เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องไม่หยุด

ทว่าพวกคนที่มาเพื่อขัดขวางก็ยังมาถึงจนได้ ภายใต้คำมั่นสัญญาจากองค์ชายใหญ่ นักพรตทงเทียน หยวนเยาจื่อ ซื่อหลิงซ่างเหรินและเทียนจุนจักษุไพศาล แต่ละคนพากันปรากฏตัวด้วยความพรั่นพรึงที่ยังไม่คลายลง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ายังไม่ถอยไปอีกรึ!!”

“จักรพรรดิแสใกล้จะออกจากด่านแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ามีสติหน่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้!”

พวกหยวนเยาจื่อพากันเปิดปาก พยายามจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักฝีเท้า

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะเลือกประนีประนอม แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ตาแดงก่ำ หัวใจของเขายังท่วมท้นไปด้วยความดุร้ายอำมหิต ปราณของเขา พลังอำนาจของเขาล้วนไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปี่ยมล้นไปด้วยไอสังหารเทียมฟ้าที่น้อยครั้งจะพบเจอในชีวิตนี้

“พวกเจ้าจง…ไสหัวไป!!”

เผชิญหน้ากับการขัดขวางของคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะเปลืองน้ำลาย เขาพลันแผดเสียงคำรามที่ดังราวฟ้าผ่า ครั้นแล้วก็ร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขา หลังจากที่พลังกล้ามเนื้อและตบะผสานรวมกันก็ระเบิดออกมาครบทุกด้าน บวกกับความเร็วของผนึกมิวางวาย และขณะที่ทะยานไปข้างหน้าก็ร่ายวิชาพิฆาตเทพออกมาโดยตรง

เสียงตูมดังลั่น เขาก็ชนเข้ากับนักพรตทงเทียนและหยวนเยาจื่อที่นำมาหน้าสุด หยวนเยาจื่อกระอักเลือด นักพรตทงเทียนเองก็เลือดทะลักอย่างบ้าคลั่ง

ขณะที่คนทั้งสองถอยกรูดไปด้านหลัง ซื่อหลิงซ่างเหรินและเทียนจุนจักษุไพศาลที่ต่อให้จะสองจิตสองใจ แต่ก็ยังปรี่ขึ้นมาสกัดกั้น จึงปะทะกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง

เสียงตูมตามดังสะเทือนไปทั้งชั้นฟ้า เลือดสดของป๋ายเสี่ยวฉุนสาดกระเซ็น หน้าอกยุบยวบลงไป แต่เขาไม่แยแสแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะเหี้ยมแล้วบ้าคลั่งยิ่งกว่าเก่า เขาคว้าแขนของเทียนจุนจักษุไพศาลเอาไว้ แล้วใช้หัวของตัวเองโหม่งลงไปอย่างแรง

เสียงกัมปนาทดังราวแก้วหูจะดับ เทียนจุนจักษุไพศาลก็กระอักเลือดออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากคล้ายจะกัดตน เขาก็ถึงสูดหายใจดังเฮือก ร่างพลันพร่าเลือน ร่ายใช้เวทลับหนีห่างออกไปอย่างว่องไวโดยไม่เสียดาย

“เขาบ้าไปแล้วจริงๆ!!”

เวลาเดียวกันนั้น เมื่อผู้แข็งแกร่งของจวนองค์ชายพากันทะยานออกมาโอบล้อมไว้รอบความว่างเปล่า คล้ายจะปิดตายป๋ายเสี่ยวฉุน นอกจวนองค์ชายก็มีคนผู้หนึ่งเดินมาถึง!

คนผู้นี้ถือทวนยาวเล่มหนึ่ง สวมชุดสีดำ เส้นผมสีนิลปลิวสยายไปตามลม ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนฟ้า ทว่าบนร่างของเขากลับระเบิดพายุที่คล้ายจะสามารถต่อสู้กับครึ่งเทพได้

เขาก็คือ ซ่งเชวีย!

เขาเงยหน้ามองการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าซึ่งห่างไปไกล เมื่อก้มหน้าลง ดวงตาก็เผยแววเด็ดเดี่ยว แล้วจึงเดินดุ่มเข้าไปในจวนองค์ชาย

“อาหญิงน้อย เชวียเอ๋อร์มาช่วยท่านแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version