Skip to content

A Will Eternal 1190

บทที่ 1190 ใครขวาง ฆ่า!

กลางอากาศ วิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นหมอกเลือดที่บีบให้เทียนจุนจักษุไพศาลถอยหนี เพียงขยับกายก็ตรงดิ่งเข้าไปยังจวนองค์ชายโดยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกหยวนเยาจื่อสามคน

ตอนนี้เขาไม่เหลือความอดทนใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ขวางอยู่ตรงหน้า หากไม่ฆ่าก็พุ่งชน สรุปคือ…ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขัดขวางเขาเอาไว้ได้!

ซื่อหลิงซ่างเหรินสูดลมหายใจเข้าลึก แอบขมวดคิ้วด้วยรู้สึกปวดหัวเป็นกำลัง

เขาเป็นคนที่เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยู่ในนครจักรพรรดิแสก็ยังพอว่า แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับอยู่ที่นี่ หากปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่แล้วเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องแบกรับไฟโทะที่มาจากจักรพรรดิแส ส่วนเทียนจุนจักษุไพศาลที่เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าร่วมกับเรื่องขององค์ชายใหญ่ด้วยจึงถือว่าดีหน่อย แต่นี่เขากลับมีส่วนร่วมไม่ใช่น้อยๆ เวลานี้จึงได้แต่แข็งใจลงมือขัดขวางอีกฝ่าย ครุ่นคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็จะทำเหมือนตอนที่เผชิญกับร่างแยกผู้บงการ ดังนั้นจึงคำรามกร้าว

“หยวนเยาจื่อ นักพรตทงเทียน จะปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เข้าไปในจวนองค์ชายไม่ได้เด็ดขาด เพราะจักรพรรดิแสอาจออกจากด่านได้ทุกเมื่อ!” เขาพูดพลางขยับร่าง ระเบิดตบะเคลื่อนย้ายมาขวางหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

หยวนเยาจื่อและนักพรตทงเทียนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด พากันร่ายใช้ท่าไม้ตาย เสียงอึกทึกกึกก้องไปทั่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามจะฝ่าออกไปอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกขัดขวางเสียทุกครั้ง ปราณดุร้ายและความเดือดดาลในร่างเขามิอาจระงับไว้ได้อีกจึงระเบิดปะทุอย่างเหี้ยมอำมหิต!

“พวกเจ้ามันรนหาที่ตาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดกายวูบ หมอกเลือดที่จำแลงมาจากพิฆาตเทพพลันพุ่งมารวมตัวกัน กลายเป็นร่างของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอยหลังพุ่งเข้าชนกับนักพรตทงเทียนโดยตรง

ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง ต่อให้นักพรตทงเทียนจะหลบเลี่ยงไปได้บ้าง แต่ก็ยังถูกชนไหล่จนไหล่ทั้งแผงแตกยับไม่น้อย เขากระอักเลือดหมายจะถอยหนี

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยกมือขวาขึ้น ตะเกียงอมตะและเขตแดนธาราเยื้องกรายลงมาดังครืนครั่น ปกคลุมไปแปดทิศ หลังจากสกัดขวางซื่อหลิงซ่างเหรินและหยวนเยาจื่อเอาไว้ได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยปราณสังหารเข้มข้นก็พลันกระตุ้นชนาเขย่าภูเขา มือขวากำหมัดเหวี่ยงมัดจักรพรรดิมิดับสูญออกมาอย่างกร้าวแกร่ง

เสียงกัมปนาทดังอึงคะนึง นักพรตทงเทียนหายใจหอบกระชั้น ดวงตาพลันเปลี่ยนมาเป็นสีดำมืด ก่อนที่ในร่างจะมีควันสีดำเป็นเส้นๆ แผ่ออกมา แล้วพริบตาเดียวก็ล้อมวนไปทั่วร่างกลายเป็นการป้องกัน สกัดกั้นทุกวิชาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

ควันสีดำนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ซ้ำพลังการสกัดกั้นก็ยิ่งน่าตกตะลึง

หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่สามารถทำให้ปฐพีพินาศบาดเจ็บสาหัสได้ บัดนี้ทำได้แค่เพียงกระแทกนักพรตทงเทียนให้ปลิวกระเด็นไปไกลหลายร้อยจั้งเท่านั้น ไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บทำลายล้างที่หนักหนากว่านั้นได้ กลับเป็นแรงสะเทือนกลับรุนแรงเสียอีกที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องสะอึกอยู่ในลำคอ ซ้ำนอกร่างยังถูกควันดำจำนวนมากโอบล้อมคล้ายจะรัดพันเรือนกายของเขาเอาไว้ เลือดสดไหลรินออกมาจากมุมปาก เซร่นถอยไปด้านหลัง บทมิวางวายในร่างเร่งฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป ขณะเดียวกันสายตาของหยวนเยาจื่อก็พลันเปล่งแสงวาบ ดวงตาของซื่อหลิงซ่างเหรินก็ฉายประกายคมกล้า

“โอกาสดี!” ซื่อหลิงซ่างเหรินยกมือขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นรอบกายเขาก็มีมหาสมุทรสีครามหนึ่งผืนปรากฏขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องคำราม มหาสมุทรใหญ่ผืนนี้ก็กลายมาเป็นปากหนึ่งที่อ้ากว้างพุ่งเข้ามาเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน

หยวนเยาจื่อเองก็ลงมือทันทีเช่นกัน ร่างของเขากลายมาเป็นแสงสีชาดผืนหนึ่ง ร่างทั้งร่างเหมือนกลายมาเป็นคนแสง และด้านหลังก็มีเงาของปีศาจขนาดมหึมาเงาหนึ่งปรากฏ ปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นสีแดงตลอดร่าง บนศีรษะมีเขาสองข้าง มันแสยะยิ้มชั่วร้ายแล้วจึงกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

วิกฤตที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนี้แสยะดุดันซึ่งแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวและบ้าคลั่ง

ครั้นแล้วเขาก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาไฟยี่สิบสองสีออกมากองหนึ่ง!

หยวนเยาจื่อหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ซื่อหลิงซ่างเหรินก็ยิ่งสูดหายใจดังเฮือก แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนคืออะไร ทว่าพลังน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจากไฟยี่สิบสองสีนั้นกลับทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้!

นี่ไม่ใช่ไฟยี่สิบสองสีธรรมดา นี่คือไฟที่สร้างขึ้นมาจากวิญญาณซึ่งผ่านการชุบหลอมจากต้นกำเนิดเต๋าเป็นตายของผู้บงการอีกที…ทั้งยังเป็นไฟหลายสีที่ซ่อนแฝงปณิธานแห่งต้นกำเนิดของผู้บงการไว้เสี้ยวหนึ่งด้วย!

“แย่แล้ว!!”

“ปราณนี้…รีบหลบเร็วเข้า!!” คนทั้งสองใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง รีบถอยหนีว่องไว หมายจะออกไปให้ห่างจากที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด ทว่ากลับยังช้าไปก้าวหนึ่ง!

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ซื่อหลิงซ่างเหรินและหยวนเยาจื่อถอยหนี ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คลุ้มคลั่งพลันบีบไฟหลายสีในมือให้แตกออก!

ไฟยี่สิบสองสีแหลกสลายในฉับพลัน!

เมื่อมันแหลกสลาย เสียงกัมปนาทที่ดังก้องไปทั่วท้องนครจักรพรรดิแสก็ดังสะเทือนฟ้าดิน สั่นคลอนไปแปดทิศ เสียงนี้ดังเกินไป ริ้วคลื่นที่เกิดก็ยิ่งน่าตะลึง แม้แต่มังกรกระดูกอันเป็นที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิแสก็ยังสั่นโยก สิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนถล่มครืนลงมาโดยตรง และนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะทะเลเพลิงที่เกิดจากการระเบิดของไฟยี่สิบสองสีพลันแผ่ครืนครั่นไปรอบด้านในเสี้ยววินาทีคล้ายจะกลืนกินทุกอย่างที่กวาดผ่าน นักพรตจำนวนมากของจวนองค์ชายที่อยู่ใกล้เคียง เดิมทีพวกเขาล้อมวนอยู่สี่ทิศเพื่อสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ตอนที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกขัดขวาง พวกเขายังตื่นเต้นด้วยซ้ำ

ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวก็ต้องเผชิญกับทะเลเพลิงที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อนในความทรงจำ กลายมาเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตที่นาบประทับลงในสมองของพวกเขา ขณะเดียวกันร่างของพวกเขาก็ถูกทะเลเพลิงผืนนี้กลบทับ ยังไม่ทันได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดก็ถูกเผาไหม้ให้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว…

ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ยังรวมถึงสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ซึ่งด้านในไม่มีใครอยู่ เพราะอย่างไรซะศึกระหว่างเทียนจุน นักพรตของนครจักรพรรดิแสก็ได้พากันหนีห่างออกไปไกลอยู่แล้ว แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เถ้าธุลีจากสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็ยังคงทำให้ทั้งนครจักรพรรดิแสเหมือนถูกกลบทับไปด้วยฝนแห่งฝุ่นผงที่เทกระหน่ำลงมาอยู่ดี!

ส่วนหยวนเยาจื่อกับซื่อหลิงซ่างเหรินนั้น จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเทียนจุน แม้จะอยู่ใกล้กับเปลวเพลิงมาก แล้วก็ถูกทะเลเพลิงกลบทับ แต่เมื่อพวกเขาระเบิดตบะออกอย่างเต็มกำลังก็ยังพอจะต้านทานไว้ได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผ่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ละคนจะสภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีด แม้อาการบาดเจ็บจะไม่น้อย ซ้ำแต่ละคนยังกระอักเลือดไม่หยุด สายตาก็ยิ่งฉายความตะลึงพรึงเพริด ทว่าความเร็วของพวกเขาที่ระเบิดต่อเนื่องก็ยังพาให้พวกเขาทะยานออกจากทะเลเพลิงไปได้ โดยเฉพาะซื่อหลิงซ่างเหรินที่ยิ่งว่องไว ส่วนหยวนเยาจื่อนั้นอยู่ด้านหลัง แม้จะไม่ช้า แต่ก็ล้าหลังกว่าระดับหนึ่ง

หากไม่มีใครขัดขวาง บางทีพวกเขาอาจเผ่นหนีไปได้แล้ว ทว่าเวลานี้เอง ในเปลวเพลิงที่ไล่กวดพวกหยวนเยาจื่อสองคนมา กลับมีมนุษย์หินร่างลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟตนหนึ่งโผล่พรวดออกมา!!

ร่างของมนุษย์หินตนนี้ใหญ่โตมโหฬาร เมื่อถูกไฟเผาไหม้ก็คล้ายจะมีพลังการต้านทานบางอย่างที่อาจไม่ถึงขั้นไร้รอยเสียหาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายืนหยัดอยู่ได้นานกว่า ซึ่งพอมันกระโจนออกมาแล้วก็แผดเสียงคำราม

ก่อนจะพุ่งเข้าไปโอบกอดหยวนเยาจื่อที่กำลังเผ่นหนีและเวลานี้ร้องคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง!

“ไม่!!” หยวนเยาจื่อร้องคำราม พลันสะบัดตัวดิ้นรน แต่กลับช้าไปแล้ว ท่ามกลางเสียงอึกทึก ทะเลเพลิงผืนนั้นได้พุ่งเข้ามากลบทับทั้งเขาและมนุษย์หินพร้อมๆ กัน!

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากในทะเลเพลิง ทำเอาทุกคนที่ได้ยินจิตใจสะท้านไหว นักพรตทงเทียนเองก็สูดลมหายใจดังเฮือก รีบถอยห่าง

ซื่อหลิงซ่างเหรินเองก็ตัวสั่น ยิ่งเพิ่มความเร็วท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด

ส่วนเทียนจุนจักษุไพศาลที่แม้จะอยู่ห่างไปไกลมากแล้ว แต่จิตสำนึกก็ยังส่งให้เขาเพิ่มความเร็วหนีห่างออกไปอีกครั้ง

ทะเลเพลิงทั้งผืนลุกท่วมชัชวาลอยู่แค่สิบกว่าชั่วลมหายใจเท่านั้น ก่อนที่มนุษย์หินที่อยู่ข้างในจะก้าวเดินออกมา ซึ่งระหว่างที่เดินมานี้ ร่างของเขาก็แตกสลายอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเผยให้เห็นเป็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน สภาพร่างกายเขาก็บาดเจ็บขาดวิ่นเต็มด้วยแผลเหวอะหวะเหมือนกัน ทว่าพลังการฟื้นตัวของบทมิวางวายทำให้เลือดเนื้อของเขางอกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเดินพ้นออกมาอย่างเต็มตัวก็มองออกว่าฟื้นตัวกลับคืนมาเกินครึ่งแล้ว

และในมือเขาเวลานี้ก็หิ้วคนผู้หนึ่งที่สลบไสลไม่ได้สติ นั่นก็คือหยวนเยาจื่อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สังหารหยวนเยาจื่อ และตอนนี้ก็เหวี่ยงอีกฝ่ายไปเก็บไว้ในถุงเก็บของ ดวงตาของเขาที่แดงก่ำมองไปรอบด้านอย่างอาฆาตมาดร้าย ครั้นแล้วก็ขยับกายตรงดิ่งไปยังจวนองค์ชาย!

ห่างออกไปไกล ไม่ว่าจะเป็นเทียนจุนหรือครึ่งเทพ หรือแม้แต่นักพรตของนครจักรพรรดิแส เวลานี้ต่างก็ใจแกว่ง ต่อให้เป็นเทียนจุนจักษุไพศาลเองก็ยังเริ่มกริ่งเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ยินดีจะทุ่มสุดชีวิตเพราะคิดว่าไม่คุ้ม ส่วนเวลานี้ที่ไม่คิดจะขัดขวาง นอกจากเหตุผลก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นเพราะการระเบิดของไฟหลายสีทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“ไปมีเรื่องกับเขาเพื่อองค์ชายเพียงคนเดียว ไม่คุ้ม! อีกอย่างองค์ชายใหญ่ก็แค่ให้ข้าช่วยถ่วงเวลาป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ระยะหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้แล้ว”

ไม่มีใครกล้าขัดขวางอีก แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมจักรพรรดิแสถึงไม่ออกจากด่านเสียที

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาคิดลึกซึ้ง ต่อให้ตอนนี้จะเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ความเร็วก็ยังทะยานถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงอึกทึก ร่างของเขาก็พลันเหยียบเข้าไปในจวนองค์ชายเพิ่งจะเหยียบเข้าไป เขาก็เห็นว่าในจวนองค์ชายมีแต่ศพเกลื่อนพื้น!

ศพเหล่านี้หากไม่ใช่คนฟ้า ก็เป็นก่อกำเนิด วิธีการตายคือถูกทวนแทงตรงหว่างคิ้วเหมือนกันหมด!

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองพร้อมๆ กับแผ่อำนาจจิต มองปราดเดียวก็เห็นว่าในห้องโถงใหญ่หลังจวนองค์ชายเวลานี้มีเงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยซึ่ง…สวมชุดคลุมยาวสีดำ ใช้ทวนประคองตัวและทำท่าเหมือนจะล้มลงยืนอยู่!

เลือดสดหยดติ๋งๆ ลงมาจากบนร่างของเขา และบนพื้น…ก็อาบนองไปด้วยกองเลือดน่าสะพรึงกลัว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version