บทที่ 1197 สมบัติล้ำค่าของผู้บงการ
เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่า ด้านในกลุ่มแสงนั้นมีซากพัดอยู่ครึ่งหนึ่ง!!
ซากพัดเล่มนี้ส่องแสงอ่อนโยนเช่นเดียวกับพัดเล่มที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ยังเห็นได้ว่าแสงของซากพัดเล่มตรงข้ามหม่นมัวกว่าไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อขยับเข้ามาใกล้ยังเห็นด้วยว่าซี่พัดมากมายบนนั้นแตกหักพังทลาย ถึงขั้นให้ความรู้สึกว่าซากพัดเล่มนี้อาจจะแหลกสลายได้ทุกเมื่อด้วยซ้ำ
“ในที่สุดก็มาแล้ว นายท่าน ท่านมาช่วยข้าหน่อย พวกเรามาทำให้ซากพัดทั้งสองชิ้นประกอบกันอย่างสมบูรณ์แบบเสียนับตั้งแต่นาทีนี้ ให้มันกลายมาเป็นสมบัติล้ำค่าของผู้บงการที่แท้จริง!!”
วิญญาณวัตถุน้อยตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด มันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่มิอาจทำได้เลย มันจำต้องปล่อยให้ซากพัดทั้งสองชิ้นนี้ ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนโคจรอยู่ในห้วงอวกาศด้วยวิถีที่ต่างกัน
จนกระทั่งแขนของผู้บงการปรากฎตัวและผสานรวมเข้ากับซากพัดแล้วแผ่ปราณของผู้บงการ จึงทำให้ซากพัดมีแรงขับเคลื่อนที่มากพอ ดังนั้นภายใต้การควบคุมโคจรของวิญญาณวัตถุน้อย มันถึงได้ค่อยๆ ขยับเข้ามาในวิถีโคจรเดียวกันกับซากพัดอีกครึ่งหนึ่ง แล้วถึงได้มีวันที่ซากพัดทั้งสองโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งอย่าง…วันนี้!
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของวิญญาณวัตถุน้อยแล้ว
แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรอคอยอยู่มาก แต่เขากลับสงบสติอารมณ์ได้ดีกว่า เขายืนอยู่ริมขอบของซากพัด ทอดสายตามองไปยังซากพัดอีกครั้งหนึ่งที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ สังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าแน่ใจรึว่าบนซากพัดอีกครึ่งหนึ่งจะไม่มีวิญญาณวัตถุ?”
“ต่อให้มี ข้าผู้อาวุโสก็ต้องกำราบและจับมันมาผสานรวมได้แน่นอน!”
วิญญาณวัตถุน้อยอึ้งงันไปครู่หนึ่งก็พลันเกิดความระแวง
แต่พอหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน มันกลับเกิดความมั่นใจขึ้นมาโดยพลัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พูดอะไร เพียงโคจรตบะในร่างกาย ดวงตาค่อยๆ ฉายความคาดหวัง พอคิดถึงภาพที่ว่าหากพัดประกอบกันได้สมบูรณ์แบบ อานุภาพของมันย่อมต้องเพิ่มพูนมากขึ้น อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลิงโลดตื่นเต้น
ไม่นานนัก เมื่อซากพัดเล่มนั้นขยับเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง จนพื้นที่ว่างระหว่างกันเหลือน้อยอย่างถึงที่สุดแล้ว วิญญาณวัตถุน้อยก็ร้องคำรามเสียงดัง มือทั้งคู่ทำมุทรา ควบคุมให้ซากพัดของตัวเองระเบิดแสงเจิดจ้า แสงนี้แผ่ลามไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ครั้นแล้วจึงลามไปปกคลุมซากพัดอีกครึ่งหนึ่งโดยตรง
ทว่าวินาทีที่แสงนี้สัมผัสเข้ากับซากพัดอีกครึ่งหนึ่งนั้นเอง ในซากพัดอีกครึ่งหนึ่งที่ขยับเข้ามาใกล้กลับมีเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความดุร้ายแผดออกมา ก่อนที่เงาร่างขนาดมหึมาร่างหนึ่งจะก่อตัวขึ้น!
เงาร่างนี้มองดูแล้วเหมือนวิญญาณวัตถุน้อยที่ถูกขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า เพียงแต่ว่าหน้าตาของมันดุร้ายยิ่งกว่า ผิวเป็นสีเขียวตลอดร่างราวผีร้าย ดวงตาฉายแววบ้าคลั่งและละโมบ ทั้งยังอ้าปากเขมือบกลืนแสงที่ลามเข้ามาหา
ภาพนี้ทำให้ม่านตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกัน ก็ยิ่งสูดลมหายใจดังเฮือกแล้วร้องตะโกนดังลั่น
“มีวิญญาณวัตถุอยู่จริงๆ ด้วย!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตา ตอนนี้ตบะของเขาคือเทียนจุนช่วงท้ายแล้ว ความมั่นใจจึงมีมากกว่าในอดีต เขาที่แค่นเสียงจึงขยับกายเดินออกไปจากซากพัด เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่ตรงปลายสุดของลำแสง มาโผล่อยู่ข้างกายวิญญาณวัตถุร่างยักษ์
การขยับเข้ามาใกล้ของเขาดึงดูดความระแวดระวังของวิญญาณวัตถุใหญ่ยักษ์นั่นทันที มันจึงเงยหน้าขึ้นแล้วร้องคำรามเดือดดาลใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน พลางเอื้อมมือใหญ่ออกมาหมายคว้าจับเขาเอาไว้
“ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ตบะยิ่งใหญ่ไพศาลของเทียนจุนช่วงท้ายระเบิดครืนครั่น กลายมาเป็นพายุที่พัดกระหน่ำอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศแล้วซัดตะลุยออกไป วิญญาณวัตถุร่างยักษ์เพิ่งจะสัมผัสโดนป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวีดร้องโหยหวน ถอยกรูดออกไปด้านหลังอย่างว่องไว
ที่ทำร้ายวิญญาณวัตถุยักษ์ไม่ใช่พลังตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นปราณผู้บงการที่อยู่บนร่างของเขา!!
ปราณนี้บางทีคนนอกอาจสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าวิญญาณวัตถุยักษ์นั่นกลับสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด ดวงตาของมันฉายความตะลึงพรึงเพริด ขณะที่มันถอยร่นไปด้านหลัง มือทั้งสองข้างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำมุทรา โผล่มายืนอยู่ระหว่างซากพัดทั้งสองแล้วเอื้อมมือกระชากพวกมันให้มาประกบกัน!
เสียงตูมดังสนั่นหนึ่งครั้ง ซากพัดทั้งสองก็ประกบกัน ไม่มีเสียงของการจู่โจมกันเอง ทว่าพอสัมผัสเข้าด้วยกันก็ทำการประสานรวมกันทันที!!
ขณะเดียวกันเมื่อวิญญาณวัตถุยักษ์กำลังหวาดกลัวระคนเดือดดาล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“วิญญาณวัตถุน้อย ยังไม่ไปกำราบมันอีกรึ!”
วิญญาณวัตถุน้อยเองก็ตะลึงลานไปกับการลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน ทว่าหลังจากนั้นดวงตาทั้งคู่ของมันก็ลุกเรือง ขยับร่างตรงดิ่งไปหาวิญญาณวัตถุยักษ์ ปากก็ตะเบ็งเสียงแผดดัง
“ข้าผู้อาวุโสต่างหากถึงจะเป็นวิญญาณวัตถุที่แท้จริง ต่อให้เจ้าตัวใหญ่ก็เปล่าประโยชน์ ข้าจะกลืนกินเจ้า!”
วิญญาณวัตถุน้อยร้องคำรามพลางกลายร่างเป็นลำแสงเส้นหนึ่งที่ตรงดิ่งเข้าไปปะทะวิญญาณวัตถุใหญ่ ต่างฝ่ายต่างร้องคำราม ภายใต้การประกอบรวมกันของซากพัดทั้งสอง พวกมันต่างก็กำราบกันเอง พยายามจะเขมือบกลืนอีกฝ่ายให้ได้
เรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เขาจึงนั่งเข้าฌาน แผ่อำนาจจิตออกไปผสานรวมเข้ากับซากพัดทั้งสอง เป็นเหตุให้การประกอบกันของซากพัดสองชิ้นนี้ราบรื่นยิ่งขึ้น
ไม่นานซากพัดก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นซี่พัดหรือว่าหน้าพัด เมื่ออยู่ภายใต้แสงกะพริบพร่างพราว พวกมันก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน ส่วนการต่อสู้ระหว่างวิญญาณวัตถุทั้งสองนั้นก็ใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน สิ่งที่เขาเห็นก็คือปากของวิญญาณวัตถุน้อยที่อ้าแล้วเขมือบกลืนไปยังวิญญาณวัตถุใหญ่
ร่างของมันพลันพองขยาย เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก ตอนที่บินกลับมาก็ส่ายโงนเงน พอมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนยังเรอดังเอิ้ก ดวงตามีแววปิติยินดี จากนั้นก็ทะยานไปที่หน้าพัดแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเพื่อหลับสนิท
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดอำนาจจิตตามไปมอง หลังจากแน่ใจว่าวิญญาณวัตถุน้อยไม่ได้เป็นอะไรจึงย้ายสายตามามองที่หน้าพัด ในเวลานี้พัดทั้งเล่มผสานรวมกันอย่างสนิท มองดูแล้วเกือบจะสมบูรณ์แบบเต็มที
ต่อให้มีบางจุดที่ยังขาดหายไป มีบางพื้นที่ที่แตกพัง ทว่าหากดูจากความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของพัดเล่มนี้ ภายใต้การคำนวณของป๋ายเสี่ยวฉุน เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ก็คงจะซ่อมเสร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะเดียวกัน เมื่อพัดเปลี่ยนมาเป็นครบถ้วนสมบูรณ์ ขนาดของมันก็ไม่เพียงแต่ใหญ่ขึ้น แสงที่ปล่อยออกมายังสว่างไสวกว่าก่อนหน้านี้มากนัก โดยเฉพาะปราณที่แผ่ออกมาจากบนพัดที่ทำให้มันซึ่งทะยานไปตามห้วงจักรวาลยิ่งดูเหมือนวัตถุขนาดมโหฬารที่ทำให้คนอกสั่นขวัญผวา
และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมก็คือ เขาค้นพบว่าเมื่อพัดสมบูรณ์แล้ว อำนาจของตนไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่มีความรู้สึกแตกแยกใดๆ ขอแค่ความคิดเขาผุดขึ้นมาก็สามารถควบคุมทิศทางการบินของพัดเล่มนี้ ซ้ำหากเขาคิดจะทำให้มันเพิ่มความเร็วหรือแม้แต่หยุดชะงักก็ยังได้!
ความรู้สึกที่ควบคุมได้ดังใจปรารถนาเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทว่าภายใต้การควบคุมนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ว่าหลังจากพัดประกอบกันสมบูรณ์แบบแล้วก็เหมือนมันจะวิถีโคจรของตัวเอง ทั้งพอเขาแผ่อำนาจจิตออกไปทั่วพัดยังพอจะรู้สึกเลือนๆ ว่า ในตำแหน่งที่ห่างไปไกลแสนไกล ดูเหมือนจะมีการเรียกขานอย่างหนึ่งรออยู่…
การเรียกขานนี้คล้ายเป็นการชักนำอะไรบางอย่าง เป็นเหตุให้พัดที่สมบูรณ์แบบเล่มนี้บินเข้าไปหาจุดที่มีการเรียกขานอย่างต่อเนื่อง
“สามารถทำให้พัดเล่มที่สมบูรณ์แล้วยังคงบินไปตามการเรียกหา หรือว่าจะเป็น…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หัวใจก็เต้นกระตุก ได้คำตอบแทบจะทันที
“ผู้ที่สร้างต้นกำเนิดเต๋าเป็นตายและสร้างพัดเล่มนี้ขึ้นมาอย่าง…ผู้บงการแห่งโลกเซียน?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ตามความเข้าใจของเขา อีกฝ่ายน่าจะตายไปแล้วสิถึงจะถูก
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ค้นพบว่าแม้ตนจะสามารถทำให้ความเร็วในการโคจรของพัดเล่มนี้ช้าลงได้ แต่หากคิดจะเปลี่ยนแปลงทิศทางกลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ กะจะรอให้วิญญาณวัตถุน้อยตื่นขึ้นมาเสียก่อนแล้วค่อยสอบถาม
นอกจากนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพัดเล่มนี้ก็คือโลกในพัด!
ก่อนหน้านี้บนหน้าพัดมีแม่น้ำหนึ่งสาย ภูเขาหนึ่งลูก เจดีย์หนึ่งหลัง บนแม่น้ำมีเรือลำน้อยหนึ่งลำ บนเรือมีผู้เฒ่าสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ ตำหนักหลังหนึ่งลอยตัวอยู่ข้างๆ แม่น้ำ บนท้องฟ้ามีแขนผู้บงการ!
ทว่าตอนนี้…แม่น้ำที่สมบูรณ์แบบสายนั้นกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกันก็มีปลาสีดำอีกตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ดวงตาของปลาดำฉายประกายคมกล้า แม้ว่าจะลอยนิ่งไม่ขยับ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังสัมผัสได้ถึงคลื่นของปราณผู้บงการจากปลาดำตัวนี้ได้อยู่ดี!
ปราณนี้…มีท่วงทำนองแห่งต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย ซึ่งคอยส่องแสงสว่างขานรับกันกับเจดีย์เป็นตายอย่างต่อเนื่อง หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตอย่างละเอียดก็แน่ใจทันทีว่า ปลาดำตัวนี้…เกรงว่าน่าจะเป็นวิชาอภินิหารที่แท้จริงของผู้บงการที่ซุกซ่อนอยู่บนพัดเล่มนี้!!
แม้ว่าก่อนหน้านี้บนซากพัดจะมีเจดีย์เป็นตาย แต่กลับขาดปลาดำตัวนี้ไป ส่วนซากพัดอีกครึ่งหนึ่งที่แม้จะมีปลาดำ แต่ก็ไม่มีเจดีย์เป็นตายอยู่เช่นกัน
เพียงแต่ว่าบัดนี้ เมื่อมาประกอบรวมกันได้อย่างมั่นคงแล้ง วิชาอภินิหารผู้บงการที่อยู่ในพัดเล่มนี้จึงสมบูรณ์แบบในที่สุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังตื่นเต้นรีบทดลองทันที แต่กลับค้นพบด้วยความเสียดายว่า ด้วยตบะของเขากลับไม่สามารถทำให้พัดเล่มนี้ร่ายวิชาของผู้บงการออกมาได้
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขายังคงทดลองต่อไป แล้วก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำหรือเรือลำน้อย เขาก็ล้วนไม่สามารถเขย่าคลอนพวกมันได้อย่างเต็มที่
แต่ว่าตำหนักหลังนั้นเขากลับทำได้ กระนั้นตำหนักหลังนี้ก็ผุพังแทบไม่เหลือดี แม้ว่าด้านในจะมีวิญญาณบุพกาลอยู่ส่วนหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้กับบุพกาลได้ และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหงุดหงิดใจอยู่นั้นเอง อำนาจจิตของเขาก็กวาดไปที่เรือลำน้อยนั่นอีกครั้ง แล้วทันใดนั้น…ผู้เฒ่าสองคนที่เล่นหมากรุกอยู่ในเรือก็พลันตัวสั่น โดยเฉพาะเม็ดหมากที่อยู่ในมือของคนหนึ่งในนั้นที่พลันระเบิดแสงเจิดจ้าบาดตาและคลื่นแห่งการตอบรับกลับมา