บทที่ 1196 พัดอีกครึ่งหนึ่ง
วิญญาณวัตถุที่อยู่ข้างกันปากอ้าตาค้าง หากป๋ายเสี่ยวฉุนแค่พูดอย่างคะนองปากก็ยังพอว่า แต่บัดนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่อำนาจจิตออกไป เขากลับเริ่มทำการผสานรวมเข้ากับแขนผู้บงการจริงๆ!
ต่อให้การหลอมรวมนี้จะมีเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่ก็ยังทำให้วิญญาณวัตถุน้อยใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง คล้ายได้พบเจอกับเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
“เขา…เขาเพิ่งจะเป็นแค่เทียนจุนเท่านั้น ยังไม่เลื่อนสู่บุพกาลเลย แต่กลับผสานรวมกับแขนผู้บงการได้เสี้ยวหนึ่งแล้ว!!”
วิญญาณวัตถุน้อยไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง นั่นเพราะภาพเหตุการณ์นี้เกินจินตนาการของมันไปไกลโข ต่อให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งเข้าฌานจะได้รับสัมผัสกับปราณของผู้บงการตลอดเวลา ทว่าในสายตาของวิญญาณวัตถุน้อย เรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน
“บนร่างของเขาต้องมีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน!!”
“บางทีความลับนี้อาจไม่ได้เป็นเพราะเขา…แต่เป็นเพราะสถานที่ที่เขาอยู่ ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…หรือว่า…”
วิญญาณวัตถุน้อยคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันเบิกตากว้าง ในใจมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ก่อนหน้านี้มันไม่ได้คิดอะไรกับดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมากนัก ทว่าเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลานี้ มันก็อดนึกถึงตำนานอย่างหนึ่ง ที่…เคยได้ยินจากปากของผู้บงการไม่ได้!
ขณะที่วิญญาณวัตถุน้อยกำลังใจสั่นสะท้าน
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแขนผู้บงการก็ได้แผ่อำนาจจิตออกไปอย่างเต็มรูปแบบ พยายามหลอมรวมกับแขนของผู้บงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน จิตสำนึกทั้งหมดก็ผสานเข้าไปในแขนของผู้บงการ
อีกทั้งแขนผู้บงการที่แต่เดิมมีเค้าโครงก่อร่างขึ้นมาในสมองของเขาก็ยิ่งละเอียดแจ่มชัดมากขึ้น เหมือนจริงมากขึ้น ราวกับว่ายิ่งเขาสังเกตการณ์อยู่นานเท่าไหร่ แขนผู้บงการข้างนี้ก็จะยิ่งผสานรวมเข้ามาในจิตสำนึกของเขามากขึ้นเท่านั้น!
เหมือนกับตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยจับตามองรูปปั้นของสำนักธาราเทพในปีนั้น ในเวลานี้ความรู้สึกของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งปี สามปี ห้าปี…
จนกระทั่งผ่านไปแล้วสิบปี!
ตลอดสิบปีมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งนิ่งไม่ขยับ ท่ามกลางการสังเกตการณ์ ภายใต้การทำความเข้าใจ ภายใต้การผสานรวมอำนาจจิต แม้เขาจะไม่สามารถผสานรวมเข้ากับแขนผู้บงการได้มากนัก ทว่าทุกอณูของแขนผู้บงการกลับแจ่มกระจ่างอยู่ในสมองของเขา!
จนกระทั่งบัดนี้ ป๋ายเสี่ยวถึงได้ฟื้นตื่น ชั่วขณะที่เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้น ประกายที่ทำให้วิญญาณวัตถุน้อยอกสั่นขวัญผวาก็พลันเปล่งวูบออกมา
ซ้ำในเสี้ยววินาทีที่แสงนี้สาดส่องออกไป บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีปราณพิเศษที่แม้จะอ่อนจางอย่างถึงที่สุด ทว่าวิญญาณวัตถุน้อยไม่มีทางจำผิดแผ่ออกมา!!
“ปราณของผู้บงการ!!” วิญญาณวัตถุน้อยร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ดูเหมือนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ได้สนใจความตกตะลึงของวิญญาณวัตถุน้อย เขาเพียงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือขวาของตัวเอง ประกายแสงในดวงตายังคงอยู่ ซ้ำแววแห่งการอนุมานยังเปล่งระยับ ครู่หนึ่งเขาก็พลันกำหมัด!
วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดนั้นเอง ฟ้าดินด้านหลังเขาพลันสั่นสะเทือน ก่อนที่เงาร่างจักรพรรดิขนาดใหญ่ยักษ์จะจำแลงพรวดออกมา เงาร่างนั้นสวมชุดจักรพรรดิ มงกุฎจักรพรรดิ ซึ่งมีใบหน้าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน
หมัดจักรพรรดิมิดับสูญ!
เพียงแต่ว่า…เงาร่างจักรพรรดินี้ไม่เหมือนเดิม…เพราะบนมือขวาของเงาจักรพรรดิแตกต่างไปจากจุดอื่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมือข้างนั้นเหมือนกับ…แขนของผู้บงการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ในเวลานี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!!
ไม่ว่าจะเป็นเส้นขน กระดูกหรือเลือดเนื้อ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เหมือนกันหมด ขณะเดียวกันปราณของผู้บงการที่ระเบิดออกมาก็ยังเหนือกว่าก่อนหน้านี้ แม้จะยังอ่อนจางอยู่มาก แต่ต่อให้จะอ่อนจางแค่ไหนก็ยังเป็นปราณของผู้บงการอยู่ดี!
ปราณนี้มากพอจะทำให้เทียนจุนทุกคนตัวสั่น มากพอจะทำให้บุพกาลจิตวิญญาณสะท้านไหว!
นี่ก็คือผลเก็บเกี่ยวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มาจากการทำความเข้าใจตลอดเวลาสิบปี คือการนำแขนของผู้บงการมาผสานรวมกับหมัดจักรพรรดิมิดับสูญของตัวเอง เขาในเวลานี้หายใจหอบถี่ ยกหมัดขวาขึ้นช้าๆ ครั้นแล้วก็ต่อยโครมลงไปบนความว่างเปล่าที่ห่างออกไป!
หมัดนี้ที่ต่อยออกไป ปราณของผู้บงการระเบิดปะทุ ห้วงอากาศปลดปล่อยแสงสีหลากหลาย ซ้ำโลกในพัดก็ยังมีพายุพัดกระหน่ำ อานุภาพนั้นมหาศาล…มากพอที่จะบดขยี้เทียนจุนทุกคน ต่อให้เป็นบุพกาล…หากได้เห็นหมัดนี้ก็ยังต้องผวาพรั่นพรึง!
เสียงตูมตามดังกึกก้อง แม้แต่ซากพัดก็ยังสั่นสะเทือนตามไปด้วย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิญญาณวัตถุน้อยเลย ดวงตาของมันถลึงโปนออกมา ในใจก็ยิ่งเกิดคลื่นลูกยักษ์ซัดกระหน่ำ
“เขาทำสำเร็จแล้วหรือนี่…”
ขณะที่วิญญาณวัตถุน้อยยังคงเหม่อลอยด้วยความอึ้งตะลึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเชื่องช้า ก้มหน้าลงมองมือขวาของตัวเอง หลังจากหวนนึกถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ เขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“นับแต่นี้ไป หมัดจักรพรรดิมิดับสูญจะเรียกว่า…หมัดผู้บงการมิดับสูญ!”
“หมัดนี้หากนำมาใช้ร่วมกับคัมภีร์แห่งอดีตกาล คัมภีร์แห่งปัจจุบันกาล มันก็จะกลายมาเป็นท่าไม้ตายที่ข้าใช้ลงมือกับบุพกาลได้!”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเด็ดเดี่ยว ขยับร่างวูบหนึ่งก็ดิ่งลงมาจากแขนผู้บงการ ท่ามกลางลมหายใจที่หอบถี่ของวิญญาณวัตถุน้อย เขายืนอยู่หน้าเจดีย์เป็นตาย หลังจากกวาดอำนาจจิตออกมา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความคาดหวังมากขึ้นกว่าเดิม
โจวจื่อโม่และซ่งจวินหว่านยังคงหลับสนิท เพียงแต่ว่าใบหน้าของพวกนางมีเลือดฝาดเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ต้นกำเนิดแห่งพลังชีวิตที่เสียหายไปก็ได้รับการชดเชยมากขึ้น แม้แต่เถี่ยตั้นเองก็ยังเป็นเช่นนี้ ทว่าซ่งเชวียกลับยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้
จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งแสงเย็นวาบ เมื่อยกมือขวาขึ้นก็หยิบเอาวิญญาณดวงหนึ่งที่อ่อนแรงคล้ายจะสลายหายไปเต็มทีออกมา
วิญญาณดวงนี้ก็คือวิญญาณขององค์ชายใหญ่ เขาใกล้จะหมดซึ่งจิตสำนึกเต็มทีแล้ว เมื่อถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบมาไว้ในมือก็คล้ายจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ให้ต่อต้านได้อีก
“ข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าตายไปเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาหมดไปกับการฝึกตน ตอนนี้ตบะของเขาคือเทียนจุนช่วงท้าย ทั้งยังสร้างหมัดผู้บงการมิดับสูญขึ้นมาได้ จึงมีเวลาว่างให้จัดการกับองค์ชายใหญ่ผู้นี้แล้ว!
“เจ้าชอบเปลี่ยนเรือนกาย ชอบหุ่นเชิดนักไม่ใช่หรือ” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความอำมหิต มือขวายกขึ้นคว้าจับอากาศ ทันใดนั้นก็มีวัตถุดิบจำนวนไม่น้อยจำแลงขึ้นมาบนซากพัด มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นตวัดรัวเร็ว ครั้นแล้วจึงเริ่มนำวิญญาณขององค์ชายใหญ่มาชุบหลอมเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งทั้งเป็น
เมื่อมาถึงเวลานี้ ในที่สุดองค์ชายใหญ่ก็เริ่มฟื้นคืนสติบ้างแล้ว หลังจากสัมผัสได้ว่าเรือนกายถูกประกอบขึ้นเป็นหุ่นเชิดก็มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความหวาดกลัว เปล่งเสียงร้องโหยหวน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ เสด็จพ่อของข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ เขาจะต้องตามหาเจ้าจนพบ!!”
“เสด็จพ่อของเจ้า? หึ เสด็จพ่อของเจ้าไม่ใช่เสด็จพ่อของเจ้าอีกต่อไปแล้ว แต่เจ้าวางใจเถอะ เพราะอย่างไรศัตรูของเจ้าก็ยังคงเป็นข้าอยู่ดี”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพลางยกมือขวาขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นองค์ชายใหญ่ที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดก็เริ่มร่ายระบำอยู่นอกเจดีย์สูงเหมือนพวกหุ่นเชิดที่เขาเคยชุบหลอมตอนอยู่ในวังหลวง
หุ่นเชิดพวกนั้นใช้ชีวิตของตัวเองมาเริงระบำ ส่วนองค์ชายใหญ่ผู้นี้ เขาใช้การเผาผลาญวิญญาณของตัวเองเป็นค่าตอบแทนในการประคับประคองการร่ายรำ การร่ายรำแห่งความตายเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว ระดับความน่ากลัวของมันมากเกินกว่าจะจินตนาการ
นั่นคือความรู้สึกที่ต้องเห็นวิญญาณของตัวเองซึ่งกำลังร่ายระบำไม่หยุดสลายหายไปอย่างรวดเร็วกับตาตัวเอง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการทำตามวิธีการที่…เขาเคยใช้ทรมานคนอื่นให้นำไปสู่ความตาย!
“เจ้าพูดเหลวไหล เสด็จพ่อของข้าจะไม่ใช่เสด็จพ่อของข้าได้อย่างไร!”
องค์ชายใหญ่หอบหายใจฮักๆ พลางร้องตะโกน ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น แล้วจึงเดินห่างออกไปไกล เขาต้องการให้องค์ชายใหญ่ผู้นี้ร่ายระบำจนกว่าจิตวิญญาณจะแหลกสลายไปเอง
“เจ้าชอบชมการร่ายรำนักไม่ใช่หรือ งั้นเจ้าก็มาลองรำเองบ้างก็แล้วกัน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างทะยานห่างไปไกล
“ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ้าปล่อยข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก ข้ารับรอง…”
องค์ชายใหญ่โอดครวญด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทว่าคำขอร้องของเขากลับไม่เป็นผลต่อป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเกลียดองค์ชายใหญ่ผู้นี้ เกลียดเข้ากระดูก!
แล้วองค์ชายใหญ่ก็ร่ายรำติดต่อกันอย่างนี้ไปเก้าวันเต็มๆ ร่างของเขายังคงลิงโลดดังเดิม ทว่าวิญญาณของเขากลับค่อยๆ จางหายไป จิตสำนึกก็พร่าเลือน สุดท้ายแล้ว
…เมื่อวันที่สิบมาถึง ภายใต้การร่ายรำแห่งความตายนี้ จิตวิญญาณของเขาก็มลายหายสิ้น
เมื่อวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว ร่างของหุ่นเชิดที่กำลังร่ายรำซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากวัตถุดิบต่างๆ ก็สูญเสียแรงขับเคลื่อน จึงลงไปกองกันอยู่บนพื้น…
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกอย่างนี้เงียบๆ วิญญาณวัตถุน้อยอยู่ข้างกายของเขา แล้วก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมากับตาของตัวเอง มันรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้น่ากลัวเกินไปจนมันไม่กล้าแหยมด้วย
“ตายไปก็สมควรแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นฟัน หลังจากมององค์ชายใหญ่ร่ายรำมาสิบวันเต็ม ความเกลียดแค้นในใจของเขากลับยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย บัดนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และเตรียมจะลุกไปเก็บวัตถุดิบเหล่านั้นมา ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นวิญญาณวัตถุน้อยก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ครั้นแล้วก็บินพรวดขึ้นสูงเพื่อมองไปยังห้วงอวกาศทิศไกล
ตามมาติดๆ ด้วยเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจากในห้วงอวกาศที่ห่างไปไกล แม้แต่ซากพัดเล่มนี้ก็ยังสั่นคลอนอย่างรุนแรงตามไปด้วย ซ้ำยังเปลี่ยนแปลงทิศทางมุ่งหน้าไปยังจุดที่มีเสียงดังลอยมาด้วยตัวเอง
“พัดอีกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง!!” วิญญาณวัตถุน้อยตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน พลันร้องตะโกนเสียงดัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่หนึ่งก็ออกมาจากหน้าพัด พอมาปรากฏตัวอยู่บนซี่พัด ทอดสายตามองไปยังห้วงอวกาศก็พลันมองเห็นว่า จุดที่ห่างไปไกลมากนั้น มีประกายแสงอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งกำลังบินทะยานมาทางนี้