Skip to content

A Will Eternal 1199

บทที่ 1199 จักรพรรดิแส แล้วอย่างไร!

ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่กลางอากาศเหนือหน้าพัดพลันเงยหน้าขึ้น

ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีเขียว หน้าตาไม่ดีนัก เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะปลิวไสว เรือนกายค่อนข้างจะผอมบาง ซ้ำหลังยังค่อมเล็กน้อย ทว่าวินาทีที่เขาเงยหน้าขึ้น หลังของเขากลับยืดตรงตระหง่าน หน้าตาที่เดิมทีดูธรรมดาไม่มีเสน่ห์ บัดนี้ดวงตากลับฉายแสงคมกล้า ซ้ำเครื่องหน้าทั้งห้าของเขาเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป บารมีน่าเกรงขามอย่างแรงกล้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องแสดงความโกรธพลันระเบิดออกมา

ส่วนเส้นผมของเขา บัดนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน มันเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ไม่ใช่สีขาวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีดำ!

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่ผู้เฒ่าคนนี้เงยหน้าขึ้น ยามนี้เมื่อมองดูแล้วเขาจึงไม่ใช่ชายชราอีกต่อไป แต่เหมือนกลายมาเป็นวัยกลางคน!

พลังอำนาจของเขาก็ระเบิดออกมาในนาทีนี้ อำนาจจิตและคลื่นของบุพกาล รวมไปถึงความรู้สึกแห่งเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์ที่เขามอบให้คนอื่นก็ล้วนพากันผุดทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง!

ต่อให้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งแล้ว ในด้านความปราดเปรียวและความแข็งแกร่งจะยังด้อยกว่าอยู่บ้าง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…นี่ก็คือบุพกาล ต่อให้จะอ่อนด้อยกว่า แต่ก็ยังคงเป็น…บุพกาล!!

สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดในฉับพลัน ภายใต้การระเบิดพลังอำนาจของผู้เฒ่า ความรู้สึกแรกสุดของเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าได้กลายมาเป็นสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง โดยเฉพาะยามที่สายตาของอีกฝ่ายซึ่งคมกริบดั่งสายฟ้าหันมามองตน ก็ถึงกับทำให้ขนทั่วร่างของเขาลุกชัน

ความรู้สึกขนลุกขนพองเช่นนี้กลายมาเป็นอาการสั่นสะท้าน เป็นเหตุให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบกระชั้น ขณะเดียวกันก็ฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

สิ่งที่เขาต้องการก็คือความรู้สึกเช่นนี้ เขาต้องการขัดเกลาฝีมือกับบุพกาล แล้วก็ยิ่งต้องการ…ความปลอดภัยแบบเต็มร้อยภายใต้การลับฝีมือครั้งนี้!

ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจปลอดโปร่ง หลังจากแหงนหน้าแผดเสียงร้องแหลมยาว ปราณบนร่างของเขาก็ระเบิดออก พลังอำนาจไต่ทะลุขึ้นสู่เทียนจุนช่วงท้าย ส่วนพลังของเรือนกายก็เคลื่อนโคจรอย่างต่อเนื่อง

เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่าบุพกาลที่แม้ว่าหากดูจากปราณจะยังเทียบกับผู้เฒ่าไม่ติด แต่ในด้านพลังอำนาจกลับไม่ต่างสักเท่าใดนัก!

สายตาของคนทั้งสองพลันประสานเข้าด้วยกัน เพียงแค่การปะทะกันทางสายตาก็ทำให้ความว่างเปล่าระหว่างคนทั้งสองเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง พริบตาเดียวเงาร่างของพวกเขาก็หายไปจากกลางอากาศ เมื่อร่างของพวกเขาหายไป เสียงกัมปนาทก้องกังวานก็พลันระเบิดสะเทือนราวแก้วหูจะแตก

เสียงสะเทือนเลือนลั่นกังวานติดต่อกัน ทำเอาวิญญาณวัตถุน้อยตกใจรีบเผ่นเข้ามา มันพึมพำพลางยกมือทั้งสองข้างทำมุทราแล้วโบกหนึ่งครั้งเพื่อปิดผนึกพื้นที่รอบด้านนี้เอาไว้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีปัญหาจึงถอยห่างออกมา แม้สีหน้าจะดูเป็นห่วงเป็นใย ทว่าในใจกลับเบิกบานยิ่งนัก

“ใครใช้ให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนมารังแกข้า หึหึ นึกจริงๆ หรือว่านายท่านวิญญาณวัตถุของเจ้าจะหวังดีขนาดนั้น ข้าก็แค่อยากจะเห็นเจ้าโดนซ้อมเท่านั้นแหละ!”

วิญญาณวัตถุน้อยไม่กล้าเปิดเผยความคิดที่อยู่ในใจออกมา ทว่าดวงตาที่เป็นประกายวิบวับแจ่มใสกลับจ้องเป๋งไปยังคนสองคน ที่ถูกกักอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหน้า ซึ่งต่างคนต่างก็ร่ายใช้ความเร็วสุดขีด

เสียงอึกทึกก้องกังวานไม่หยุด และเวลาประมาณเจ็ดแปดชั่วลมหายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือด เซกรูดไปด้านหลังหลายร้อยจั้งกว่าจะฝืนยืนหยัดได้มั่นคง

ส่วนผู้เฒ่าบุพกาลที่อยู่เบื้องหน้านั้นไม่ได้ไล่ตามมา เพียงยืนอยู่ที่เดิมแล้วหันมากุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไม่เสียแรงที่เป็นบุพกาล…เขาไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อะไร เพียงแค่เวทคาถาง่ายๆ และพลังกล้ามเนื้อก็สามารถบีบให้ข้าถอยร่น…เวลาที่ข้ายืนหยัดอยู่เบื้องหน้าเขาก็แค่ไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ประกายสายตาเปล่งวูบวาบด้วยกำลังครุ่นคิด

“ทว่าที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าไม่ใช่ตบะเทียนจุนช่วงท้ายในเวลานี้ แต่เป็น…การฟื้นตัวของวิชาอมตะมิวางวาย!”

ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้า อาการบาดเจ็บของเขาก็หายดีทั้งหมด ครั้นแล้วจึงกระโจนออกไปอีกครั้งพลางร่ายพลังกล้ามเนื้อและวิชาอภินิหารของตนออกมาจนหมด หมายจะทดสอบระดับการบาดเจ็บที่ได้รับจากบุพกาล

คาถาคนขุนเขา บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยน!

ชนาเขย่าภูเขา ผนึกมิวางวาย!

ตรวนสลายลำคอ ตะเกียงอมตะ!

และยังมีคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตกาล คัมภีร์วัฏจักรแห่งปัจจุบันกาล!

เว้นจากหมัดผู้บงการมิดับสูญที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดค้นขึ้นมาหลังจากผสานรวมเข้ากับแขนผู้บงการรวมถึงเขตแดนธาราแล้ว วิชาอภินิหารทั้งหมดที่เขาศึกษามาแทบทั้งชีวิต ก็ล้วนถูกนำมาร่ายใช้ต่อหน้าทาสบุพกาลผู้นี้หลายต่อหลายครั้ง

ภายใต้การขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังเป็นเทียนจุนช่วงท้าย แต่พลังการต่อสู้ของเขากลับก้าวกระโดดอย่างพรวดพราด วิชาอภินิหารถูกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา คาถาอาคมก็ถูกทาบต่อปรับปรุงไม่หยุดยั้ง แม้แต่พลังการฟื้นตัวของเรือนกายที่มีเลือดเนื้อก็ยังเหมือนได้รับการกระตุ้น เป็นเหตุให้เขาค้นพบขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

วันเวลาเช่นนี้ผ่านพ้นไปทุกวัน ด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมกินลืมนอน หมกมุ่นอยู่กับการขัดเกลาฝีมือกับทาสบุพกาล อีกด้านหนึ่งก็คอยสอบถามวิญญาณวัตถุน้อยเกี่ยวกับทิศทางการโคจรของพัดเล่มนี้ ซึ่งวิญญาณวัตถุน้อยเองก็ไม่ค่อยจะกระจ่างในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็หาเวลามาทำความเข้าใจกับขั้นที่สามของบทจากโบราณกาล เพียงแต่ว่าการทำความเข้าใจกับบทจากโบราณกาลเป็นครั้งที่สามนั้นจิตใจจำเป็นต้องสงบสุข ทั้งยังต้องใช้เวลา

ป๋ายเสี่ยวฉุนคอยพะวงอยู่กับซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่ เถี่ยตั้นและซ่งเชวีย ทั้งยังเป็นห่วงคนของโลกทงเทียน ดังนั้นหลังจากที่ทดลองดูแล้ว เขาจึงเอาพละกำลังส่วนใหญ่ไปทุ่มเทให้กับการขัดเกลาฝีมือกับบุพกาล เพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ของตัวเองมากกว่า

และหลังจากที่พลังการต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน การลงมือของบุพกาลก็เปลี่ยนจากวิชาคาถาที่ง่ายๆ มาเป็นเวทอาคมที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นพลังกล้ามเนื้อหรือความเร็วก็เพิ่มมากกว่าเก่าไม่น้อย แม้ว่าทุกครั้งที่มีการประลองเวทกัน ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะมีแต่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเติบโตได้อย่างรวดเร็ว พัฒนาไปได้มากจนมิอาจบรรยาย จากก่อนหน้านี้ที่เขายืนหยัดอยู่ภายใต้คาถาอาคมง่ายๆ ของบุพกาลได้ประมาณเจ็ดแปดชั่วลมหายใจ มาตอนนี้ต่อให้บุพกาลร่ายใช้วิชาที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ก็ไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นถึงอีกหนึ่งเท่าตัว

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของวิญญาณวัตถุน้อย

แม้ว่ามันจะเข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี แต่กระนั้นก็ยังสะท้านสะเทือนไปกับพลังแฝงของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ดี

“ไอ้หมอนี่…ร้ายกาจเกินไปแล้ว!!” วิญญาณวัตถุน้อยสูดลมหายใจดังเฮือกๆ ติดต่อกัน และเมื่อเวลาผ่านไปได้อีกหลายเดือน การลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนหยัดได้นานขึ้น จนทัดทานบุพกาลได้ถึงหนึ่งก้านธูป

เมื่อมาถึงเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถควบคุมตบะเทียนจุนช่วงท้ายของตนได้ดังใจปรารถนาแล้ว สำหรับคาถาอาคมของตัวเขาเองก็มีการฝ่าทะลุอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งบัดนี้ข้อเรียกร้องที่เขามีต่อทาสบุพกาลจึงเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน!

“เอาพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าออกมา!”

ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดออกไปร้อยก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นลมหายใจของเขาก็หอบรัว อาการบาดเจ็บฟื้นตัวโดยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซ้ำดวงตายังฉายปณิธานแห่งการสู้รบที่แรงกล้า ก่อนจะคำรามกร้าวเสียงดัง

เมื่อคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา สายตาของผู้เฒ่าคนนั้นก็ฉายแสงคมกล้า พลังอำนาจบนร่างไต่ทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ครั้นแล้วก็กลายมาเป็นพายุบ้าระห่ำลูกหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความว่างเปล่ารอบด้าน เป็นเหตุให้ริ้วคลื่นกระเพื่อมรุนแรง ต่อให้เป็นโลกของซากพัดก็ยังสั่นสะเทือนอยู่หลายที

วิญญาณวัตถุน้อยตกใจจนรีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตราผนึก ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอสัมผัสได้ถึงพายุบ้าระห่ำจากร่างของทาสบุพกาล ดวงตาของเขาก็ฉายความบ้าคลั่งออกมาเช่นกัน!

“ได้เวลาทดสอบดูแล้วว่า หมัดผู้บงการมิดับสูญของข้าจะกลายมาเป็น…ท่าไม้ตายที่เขย่าคลอนบุพกาลได้จริงหรือไม่!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามห้าวหาญ มือขวาพลันยกขึ้นกำเป็นหมัดแน่น ความว่างเปล่าส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะดังสนั่น รอบกายเขาก็มีพายุหมุนคว้างขึ้นมาเช่นกัน ส่วนปราณเทียนจุนที่อยู่ด้านในก็พลันมีปราณของผู้บงการ…เพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง!

การปรากฏของปราณผู้บงการนี้ทำให้ร่างของทาสบุพกาลสั่นสะท้านทันที ราวกับว่าเส้นเอ็นและกระดูกทั่วร่างถูกขันจนแน่นขึง ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อกำหมัดแล้ว ความว่างเปล่าด้านหลังของเขา ก็มีเงาร่างขนาดมหึมาเงาหนึ่งเยื้องกรายลงมา!

สวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ นั่นคือเงาจักรพรรดิของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแต่ว่าแขนข้างหนึ่งของเขากลับ…แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายอย่างเห็นได้ชัด เพราะนั่นคือแขนของผู้บงการ

“หมัดผู้บงการมิดับสูญ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำรามเสียงดัง เผ่นโผนออกไป มือขวาของเขาที่คล้ายติดไฟเหวี่ยงเข้าชกทาสบุพกาล!

เมื่อเขาสาวหมัดต่อยออกมา เงาจักรพรรดิด้านหลังของเขาก็ทำเช่นเดียวกัน หมัดของผู้บงการที่ปล่อยออกมาผสานรวมเข้ากับหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน มองไปไกลๆ จึงราวกับว่ามีผู้บงการคนหนึ่งกำลังปล่อยหมัด!

ทาสบุพกาลร้องคำรามออกมาเป็นครั้งแรก เวลานี้เขาไม่กล้ากักเก็บพลังใดๆ ไว้อีกต่อไป ภายใต้การระเบิดพลังอำนาจอีกครั้ง มือทั้งคู่ของเขายกขึ้นกอดอก ทันใดนั้นทั่วร่างก็เปล่งแสงสีทองระยิบพร่างพราว แสงสีทองนี้กลายมาเป็นใบหน้าสีทองขนาดมหึมาอยู่กลางอากาศซึ่งร้องคำราม อ้าปากเขมือบกลืนหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน

ทั้งหมดนี้อธิบายแล้วเชื่องช้า ทว่าในความเป็นจริงแล้วหมัดผู้บงการมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุน กับท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของทาสผู้บงการ กลับปะทะเข้าด้วยกันในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา

โลกทั่วทั้งพัดบัดนี้ถูกริ้วคลื่นและเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินแผ่ปกคลุม แม้แต่ตัวพัดเองก็ยังสั่นสะเทือนอยู่หลายที วิญญาณวัตถุน้อยก็ยิ่งกรีดร้องโหยหวน เพิ่มการปลุกเสกสุดพลังที่มี ทว่าพลังตราผนึกนั้นก็ยังปริร้าวแล้วระเบิดแตกโดยตรง!

เมื่อมันระเบิดออก ทาสบุพกาลก็กระอักเลือด ร่างเซกรูดไปด้านหลังสิบกว่าจั้ง!

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยร่นและกระอักเลือดเช่นกัน ตอนที่ถอยออกมาได้ร้อยจั้ง เขาก็พยายามฝืนหยัดยืนให้มั่นคง เมื่อเงยหน้า ดวงก็ฉายให้เห็นถึงความตื่นเต้นและปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง!

“ข้าสามารถเขย่าคลอนบุพกาลได้!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง เขาตื่นเต้นที่หมัดนี้ของตนสามารถเขย่าคลอนบุพกาลได้อย่างแท้จริง ต่อให้ตนจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าพลังการฟื้นตัวของวิชาอมตะมิวางวายก็ทำให้เขาไม่ค่อยจะสนใจระดับอาการบาดเจ็บของตัวเองเท่าใดนัก

“เมื่อเป็นเช่นนี้ บวกกับแสงแห่งบุพกาล…ต่อให้เป็นจักรพรรดิแส แล้วจะอย่างไร!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version