บทที่ 1201 กลับมา
เวลาล่วงผ่าน ความโกรธเคืองของซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ที่อยู่บนพัดวิเศษเล่มนี้ก็เริ่มจางหายไปหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่าให้พวกนางฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดนับตั้งแต่ที่พวกเขามาอยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล
โดยเฉพาะซ่งจวินหว่านที่ได้ยินว่าเถี่ยตั้นและซ่งเชวียปกป้องพวกนางเพียงใด นางก็ถึงกับร่ำไห้ และภายใต้ความช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุน นางก็ได้ไปมองซ่งเชวียที่อยู่ในชั้นเก้าของเจดีย์วิเศษอยู่ไกลๆ ซ่งจวินหว่านจับมือป๋ายเสี่ยวฉุนพลางเช็ดน้ำตาของตัวเอง เอ่ยถามเสียงเบา
“เชวียเอ๋อร์ จะฟื้นได้หรือ…”
“ได้สิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับอย่างไม่มีลังเล
ในชั้นที่เก้าของเจดีย์เป็นตาย ร่างของซ่งเชวียแน่นิ่งไม่ขยับ ท่ามกลางการผสานรวมของต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรนัก มีเพียงเรือนกายที่ไม่มีวี่แววว่าจะเน่าเปื่อย คล้ายคนที่นอนหลับไปเท่านั้น
โจวจื่อโม่เองก็มายืนคารวะซ่งเชวียไกลๆ พลางถอนหายใจอยู่ในใจ กับเถี่ยตั้นนั้นนางชื่นชอบมันมากเป็นพิเศษ
ส่วนเถี่ยตั้นที่พอสัมผัสได้ถึงปราณจากในท้องของโจวจื่อโม่ก็ให้ความสนิทสนมกับนางทันที วันเวลาปกติแม้ว่าหญิงสาวทั้งสองจะไม่ค่อยสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนสักเท่าไหร่นัก ทว่ากับเถี่ยตั้นแล้ว พวกนางกลับใกล้ชิดปรองดองมากเป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่าแม้ในใจของพวกนางจะยังคงมีความขุ่นเคือง ทว่าพอหวนนึกถึงเรื่องในอดีต และได้ฟังป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงเรื่องราวระหว่างการช่วยเหลือพวกนางด้วยน้ำเสียงสบายๆ ในใจของพวกนางกลับเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถมอย่างห้ามไม่ได้
พวกนางรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี แต่ยิ่งรู้จักดีเท่าไหร่ การที่เขาซึ่งเป็นคนชอบคุยโวแต่งเสริมเรื่องราวให้เกินจริงกลับเปลี่ยนมาพูดอธิบายด้วยถ้อยคำง่ายๆ ไม่ซับซ้อน กลับยิ่งทำให้พวกนางปวดใจกับความนัยที่ซ่อนอยู่มากเท่านั้น
เพียงแต่ว่าภายนอกหญิงสาวทั้งสองคนก็ยังไม่ค่อยถูกชะตากันนัก เรื่องนี้ยากที่จะปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ดีว่าพวกนางลำบากมามาก
แล้วก็เข้าใจด้วยว่าเมื่อหญิงสาวทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน หากตนวางตัวไม่ดี เกรงว่าหายนะน่ากลัวที่ซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเหม่ยเคยนำมาให้ตนตอนศึกระหว่างสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตในปีนั้นคงนำแสดงอีกครั้ง
ดังนั้นด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางตัวดีเยี่ยมต่อหน้าพวกนาง อีกด้านหนึ่งก็เตรียมตัวไปจากพัดวิเศษ!
เขาออกมาจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลนานเกินไปแล้ว มองภายนอกเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีรอยยิ้ม แต่เขากลับซุกซ่อนความร้อนใจไว้ภายใน
ไม่ว่าจะเป็นพวกหลี่ชิงโหวหรือพวกราชาผียักษ์ ต้าเทียนซือ จางต้าพั่ง หรือแม้แต่กงซุนหว่านเอ๋อร์ ความปลอดภัยของคนเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรนได้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพลังการต่อสู้ของเขายังไม่มากพอ ยากที่จะหวนกลับไป ทว่าวันนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เรื่องที่จะกลับไปที่นั่นอีกครั้งจึงกลายมาเป็นเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสำคัญมากที่สุด!
“อันดับแรกเมื่อพัดวิเศษประกอบกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ข้าก็สามารถสัมผัสได้ว่า การกลับไปยังดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวในสถานที่ที่เคยจากมาอีก ไม่พูดว่าสามารถนำส่งได้ตามใจชอบ แต่ก็พอจะกำหนดทิศทางคร่าวๆ ได้…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด ใคร่ครวญว่าหลังจากที่กลับไปแล้ว ตนควรจะทำอย่างไร
คิดอยู่นานมากก็ยังหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายจึงกัดฟันกรอด “ในเมื่อข้าสามารถรบกับบุพกาล…แล้วทำไมไม่ตั้งรกรากขึ้นมาในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเสียเลยล่ะ!!”
“ข้าจะยึดดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แล้วเปลี่ยนชื่อให้เป็นแผ่นดินทงเทียน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแสงคมกริบ หลังจากความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมอง มันก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเข้าไปแทนที่แผนการกระจัดกระจายที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ครอบคลุมกลายมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจะทำ!
“แผ่นดินใหญ่นี้ หากเลือกอยู่ที่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าใดนัก…ในเมื่อจักรพรรดิแสคอยจ้องจะเล่นงานข้า…ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเฉือนเนื้อก้อนใหญ่ออกมาจากเขาให้จงได้!” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง แนวความคิดก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ
“กุญแจสำคัญที่จะบอกว่าจะทำสำเร็จหรือไม่…ก็คือหลังจากกลับไปแล้ว ต้องเปิดฉากต่อสู้…กับจักรพรรดิแสสักครั้ง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วก็พลันลืมตาโพลง ตรงดิ่งไปหาซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่อย่างไร้ความลังเล พอบอกความคิดของตัวเองออกไป หญิงสาวทั้งสองก็หันมามองหน้ากัน เงียบงันไปนาน พวกนางไม่ได้ห้ามปราม เพราะพวกนางรู้ดีว่านี่คือเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจำเป็นต้องทำ ตอนนี้สิ่งที่พวกนางพอจะทำได้จึงมีเพียงอวยพรและไม่สร้างปัญหาหนักใจให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเสนอให้พวกนางอยู่ที่นี่ ต่อให้คนทั้งสองจะเป็นกังวลมากแค่ไหนก็ยังเลือกที่จะปฏิบัติตามแต่โดยดี
เถี่ยตั้นอยากติดตามไปด้วย ทว่ามันลำบากมามากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่อาจตัดใจให้มันไปเผชิญกับความลำบากได้อีก ดังนั้นหลังจากปลอบใจมันแล้วเขาจึงทิ้งมันไว้บนพัดวิเศษ เมื่อไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้รอต่อไป ด้วยไม่อาจรอได้อีก
เขาจึงแผ่อำนาจจิตโดยพลัน ภายใต้สายตาเป็นห่วงจากซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่และเถี่ยตั้น ร่างของเขาก็ค่อยๆ พร่าเลือน จนกระทั่งหายไปจากพัดวิเศษช้าๆ!
ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล กลีบดอกไม้ห้ากลีบถูกราชวงศ์จักรพรรดิแสยึดครองไปสามกลีบ ซึ่งแผ่นดินใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มีเพียงแค่สองแห่งเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกนำมาแบ่งกับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง
แผ่นดินเซียนนิรันดร์กาลที่สมบูรณ์แบบสองแห่งนี้ แห่งหนึ่งเป็นที่ตั้งของนครจักรพรรดิแส ส่วนดินแดนเซียนอีกแห่งหนึ่งมีเทียนจุนเฝ้าบัญชาการณ์
ซึ่งตอนนี้คนที่เฝ้าบัญชาการณ์อยู่ในดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแสก็คือซื่อหลิงซ่างเหริน!
บัดนี้บนดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแส บนพื้นที่ราบรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่งมีนักพรตสองกลุ่มกำลังประลองเวทกัน ฝ่ายหนึ่งสวมชุดเต๋า อีกฝ่ายหนึ่งสวมชุดดำ พวกเขาก็คือคนจากสองสำนักที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ต่างก็เป็นคนของราชวงศ์จักรพรรดิแส เพียงแต่ว่ามีความแค้นต่อกันมานานมากแล้ว
ครั้งนี้เพื่อช่วงชิงเหมืองหินวิเศษแห่งหนึ่งที่พวกเขาเป็นผู้ค้นพบ ระดับความขัดแย้งของทั้งสองสำนักจึงเริ่มกลายมาเป็นสงคราม ตบะที่สูงที่สุดในบรรดาพวกเขาก็คือก่อกำเนิด
แม้ว่าการประลองเวทในเวลานี้จะสับสนวุ่นวาย ทว่ากลางอากาศกลับมีผู้แข็งแกร่งคนฟ้าอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้เฒ่า อีกคนหนึ่งเป็นวัยกลางคนซึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังสนามรบที่อยู่เบื้องล่าง
คนฟ้าสองคนนี้ก็คือนายเหนือหัวที่อยู่เบื้องหลังสองสำนัก ศึกนี้แทนที่จะพูดว่าเป็นศึกระหว่างสำนักทาสของพวกเขา ก็ไม่สู้พูดว่าเป็นการแก่งแย่งชิงดีระหว่างพวกเขาสองคนจะถูกกว่า
เพียงแต่ว่าพวกเขาคือคนฟ้า หากไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลงมือด้วยตัวเองก็ออกจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์เกินไป ดังนั้นจึงมีสงครามระหว่างสำนักที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาสองคนเกิดขึ้น ด้านหนึ่งก็เพื่อขัดเกลาฝีมือ อีกด้านหนึ่งก็เป็นวิธีที่ใช้แก้ไขปัญหาไปด้วย
“สหายนักพรตเฉิน เหมืองจื่อจิงแห่งนี้ เกรงว่าคงไม่ได้เป็นของเจ้าแล้วล่ะ” ผู้เฒ่าหนึ่งในสองคนฟ้ายิ้มบางๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
“สรุปตั้งแต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป!” คนฟ้าวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายเขามีสีหน้าไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่ เขาเองก็มองออกถึงลางพ่ายแพ้ของสำนักทาสของตนเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่านักพรตก่อกำเนิดของอีกฝ่ายดันฝ่าทะลุขอบเขตขณะที่เปิดฉากต่อสู้ในวันนี้!
ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงของสนามรบเบื้องล่าง นักพรตก่อกำเนิดของสำนักทาสชายวัยกลางคนกระอักเลือด เมื่อเห็นว่ากำลังจะแพ้ ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็พลันสะบัดปลายแขนเสื้อ แค่นเสียงเย็นในลำคอแล้วเตรียมจะหมุนกายจากไป ส่วนผู้เฒ่าคนฟ้าที่อยู่ข้างเขาก็ยิ้มกว้าง
ทว่าเวลานี้เอง…ทันใดนั้นบนพื้นดิน ใจกลางสนามรบของนักพรตหลายร้อยคนจากทั้งสองฝ่าย จู่ๆ ก็มีสายฟ้าสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา
สายฟ้าเหล่านี้โผล่พรวดอย่างกะทันหัน ซ้ำยังระเบิดดังเปรี้ยงปร้างแล้วกลายมาเป็นการโจมตีที่ทำให้พวกนักพรตที่อยู่รอบด้านตะลึงพรึงเพริด พากันถอยร่นออกห่าง แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่ถูกแรงสะเทือนของสายฟ้าทำให้กระอักเลือดคำโต
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!” ตลอดทั้งสนามรบเกิดเสียงฮือฮาแตกระส่ำระส่ายเพราะสายฟ้าสีม่วงที่โผล่มาอย่างไม่มีลางบอกเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายที่กระจายตัวออกห่างจากกันไม่ต่อสู้กันอีกต่อไป แม้แต่คนฟ้าสองคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังอึ้งตะลึงไปครู่ ครั้นแล้วก็รีบแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบ
ภายใต้สายตาจับจ้องของคนทั้งหมด พวกเขาก็เห็นว่าตรงจุดที่มีสายฟ้าสีม่วงโผล่ออกมา สายฟ้าสีม่วงที่แลบแปลบปลาบได้ตรงเข้ามารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นประตูสายฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์บานหนึ่ง!!
และในประตูสายฟ้าก็มีเค้าโครงร่างที่พร่าเลือนของคนผู้หนึ่งกำลังเผยกายชัดเจนขึ้นทุกขณะ…
ภาพนี้ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจดังเฮือก คนฟ้าสองคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็รู้สึกชาดิกไปทั้งหนังหัว เพราะว่าภาพเหตุการณ์ทุกอย่างนี้น่าตื่นตะลึงเกินไป
ยังไม่ทันรอให้พวกเขาตั้งตัวได้ทัน เงาร่างที่อยู่ในประตูสายฟ้าก็ก้าวเดินออกมาแล้ว และพอเขาก้าวออกมา ประตูสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังเขาก็ผ่าระเบิดเสียงดังกัมปนาท ส่วนเรือนกายของเขาที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก็เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงในที่สุด!
ชายผู้หนึ่งที่มีผมสีนิลปลิวไสว เรือนกายสูงเพรียว ผิวขาวลออ มองดูแล้วเหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง ทว่าประกายคมกริบในดวงตาและปราณที่มากพอจะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขากลับทำให้ในสมองทุกคนที่มองเห็นมีเสียงตูมระเบิดดังลั่น ตบะถูกกดกำราบในเสี้ยววินาที ต่อให้เป็นคนฟ้าทั้งสองก็ยังตัวสั่น รีบลดตัวลงมาสู่พื้นดิน
พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลานุภาพสยบที่แผ่ออกมาจากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าต้าจุนของพวกเขามากมายจนไม่อาจเทียบเคียงได้…
ซ้ำแม้แต่เทียนจุนท่านหนึ่งที่พวกเขาเคยเห็นไกลๆ ก็ยังดูเหมือนว่าจะไม่สร้างความสะท้านพรั่นพรึงให้กับพวกเขาได้รุนแรงเท่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ด้วย!
“ต้องเป็นเทียนจุนแน่นอน แค่ไม่รู้ว่าเป็นท่านไหนเท่านั้น!” ลมหายใจของคนฟ้าทั้งสองชะงักค้าง ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่รีบกุมมือคารวะ
“คารวะใต้เท้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กลิ่นอายที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้เขาย้อนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนที่ตนจากไป เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาถึงลืมตาขึ้นช้าๆ กวาดสายตามองผ่านทุกคนที่อยู่รอบกาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักเนิบช้า
“บอกข้ามาสิว่า ที่นี่…ใช่ดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแสหรือไม่?”