บทที่ 1202 สยบ!
น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเรียบเฉย แต่กลับสร้างความสะท้านสะเทือนให้แก่ฟ้าดินรอบด้าน เมื่อดังเข้าหูของทุกคน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นซึ่งไม่ว่ามีตบะเป็นอะไรก็ล้วนใจสั่น ราวกับในสมองมีแต่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะท้อนอื้ออึง เสมือนว่าเสียงนี้ได้ผสานรวมเข้าสู่จุดลึกในจิตวิญญาณของพวกเขา กลายมาเป็นตราประทับที่ตรึงลึกไปชั่วนิจนิรันดร์
ซ้ำคนไม่น้อยยังตัวสั่นเหมือนจะต้านรับไม่ไหว ต่อให้เป็นนักพรตคนฟ้าสองคนนั้นก็ยังหน้าขาวซีด ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่
นี่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นเพราะตบะของเขาตอนนี้สูงเกินไป พลังความคิดของเทียนจุนช่วงท้ายทำให้เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าในร่างของเขาใกล้จะถึงระดับที่ผลิดอก สำหรับนักพรตบนแผ่นดินเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้เสียงของเขาจึงเหมือนจะกลายมาเป็นเวทคาถาที่ทำให้ใจของทุกคนสั่นคลอน
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้ เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับคลื่นลมปราณที่แผ่ออกจากร่างของตนให้เหลือระดับต่ำสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงทำให้ทุกคนที่รายล้อมรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่บนหน้าอกอยู่ดี
“เรียน…เรียนใต้เท้า ที่นี่…ที่นี่คือดินแดนเซียนแห่งที่สองจริง เป็นดินแดนเซียนแห่งที่สองที่อยู่ใกล้กับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง…” บัดนี้คนฟ้าสองคนต่างก็ฟังออกถึงสายสนกลในบางอย่างในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ ได้แต่รีบตอบคำถามด้วยอาการตัวสั่น
ได้ยินคำตอบของนักพรตคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้ามองไปยังทิศใต้ ทิศทางนั้นก็คือดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง แล้วก็เป็นรกรากทางทิศเหนือที่ราชาผียักษ์และต้าเทียนซือเคยยึดครองเอาไว้ในอดีต
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด หลังจากที่ซากพัดประกอบเข้ากับอีกครึ่งหนึ่งจนกลายมาเป็นพัดที่สมบูรณ์แบบแล้ว การนำส่งจึงไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นจริงดังคาด มันไม่ได้นำส่งเขากลับมายังสถานที่เดิมที่เคยจากไป เพราะหากถูกจำกัดอยู่เช่นนั้น ก็ง่ายที่จะถูกจักรพรรดิแสหมายหัว แต่ตอนนี้มันสามารถนำส่งไปที่ใดก็ได้ในโลกที่กำหนดไว้!
แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้ แต่หากเป็นการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นว่าให้นำส่งไปยังที่ใดที่หนึ่งในดินแดนเซียนทั้งห้าแห่ง กลับยังพอทำได้
“เสียดายก็แต่ หากไม่มีการจำกัดนี้อยู่ ความสามารถเช่นนี้ก็จะกลายมาเป็นวิชาคุ้มกันภัยที่ข้าสามารถนำมาใช้ได้เป็นประจำ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้าน้อยๆ หลังจากที่พัดประกอบกันสมบูรณ์ การจำกัดในด้านการเข้าออกก็ไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้เท่าใดนัก จึงไม่ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่
“ตอนนี้เมื่อข้ากลับมา มีเรื่องอีกมากมายให้ต้องทำ…ไม่ว่าจะเป็นพวกท่านอาหลี่หรือพวกราชาผียักษ์ ต้าเทียนซือ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว ทุกอย่างนี้คงต้องหากงซุนหว่านเอ๋อร์ให้พบถึงจะรู้ได้”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากคิดจะหยัดยืนให้มั่นคง คิดจะไปตามหาพวกเขา ข้าก็จำเป็นต้อง…เปิดฉากการรบที่ครึกโครมก่อนสักครั้งหนึ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาฉายแสงคมกล้า หลังจากพิจารณาถึงแผนการทั้งหมดของตัวเอง ประกายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเฉียบขาดเด็ดเดี่ยว
เขาจำเป็นต้องสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก่อนอย่างแท้จริง เขาจำเป็นต้องอาศัยการรบครั้งหนึ่งไปป่าวประกาศบอกกับทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลว่าตนกลับมาแล้ว ทั้งยังต้องอาศัยสงครามครั้งนี้มาทำให้คนทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลรู้ว่า นับแต่นี้ไป ตนมีคุณสมบัติที่จะ…แบ่งใต้หล้าออกเป็นสามส่วน!
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันซัดอำนาจจิตแผ่กระจายออกไป หลังจากที่อำนาจจิตของเขาปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่แล้วก็หันไปถามคนฟ้าทั้งสองคนว่านครหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้อยู่ที่ไหน เมื่อได้คำตอบเขาก็สะบัดร่างกลายเป็นสายฟ้าที่แล่นฉิวไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นพร้อมเสียงแหวกอากาศดังอึงคะนึง
ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากเกินไป เพียงแค่บินทะยานก็ทำให้จุดเดิมที่เขายืนอยู่เกิดลมพายุหมุนคว้างพัดให้ผู้คนรอบด้านเซถอยไม่เป็นท่า คนฟ้าทั้งสองคนก็ยิ่งใจสั่นระรัว ในสมองมีเสียงดังอื้ออึง จนกระทั่งผ่านไปนานมากพวกเขาถึงหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง พอหันมามองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความตะลึงพรึงเพริดในสายตาของอีกฝ่าย
“เขาคือ…”
“หน้าคุ้นๆ …เหมือนข้าเคยเห็นภาพวาดของเขาจากที่ไหนมาก่อน…”
“ตบะเทียนจุน…เขาต้องเป็น…บุคคลที่สังหารเทียนจุนปฐพีพินาศ จับตัวเทียนจุนหยวนเยาจื่อ สังหารองค์ชายใหญ่ ต้านทานฝ่ามือของจักรพรรดิแสเอาไว้ได้อย่าง…ราชาทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุน!” หลังจากคิดทบทวนในช่วงเวลาสั้นๆ ในสมองของคนฟ้าทั้งสองก็มีเสียงอสนีบาตดังกัมปนาทอีกครั้ง ยิ่งพวกเขานึกถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนออก จิตใจก็ยิ่งสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งมากเท่านั้น
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ที่เมื่ออยู่ภายใต้ความเร็วสูงสุด ร่างทั้งร่างที่เปล่งวาบๆ อยู่บนท้องฟ้าไม่หยุดก็เหมือนหายตัวได้ ความเร็วของเขามากจนเกินคำบรรยาย ทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างจากนครหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองอีกระยะหนึ่ง ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ความเร็วเช่นนี้ ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกระยะห่างก็เหมือนแค่ความต่างระหว่างเดินหนึ่งก้าวกับเดินหลายก้าวเท่านั้น ไม่นานนัก นครหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองที่เทียนจุนทั่วไปจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาบินทะยานหลายวันกว่าจะไปถึงก็ได้ปรากฏอยู่ในคลองจักษุของป๋ายเสี่ยวฉุน!
นครหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้คือเมืองหินใหญ่ยักษ์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ รอบด้านโอบล้อมไว้ด้วยเศษหินใหญ่มหึมาจำนวนนับไม่ถ้วน และบนก้อนหินทุกก้อนต่างก็ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเอาไว้ไม่น้อย
ซ้ำตรงใจกลางนครยังมีนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิแสเดินเข้าๆ ออกๆ สัญจรไปมากันขวักไขว่ เป็นเหตุให้สถานที่แห่งนี้ครึกครื้นอยู่มากในยามเที่ยงวัน
ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครหินยักษ์นี้แล้ว เพราะในสายตาของทุกคน เขาเหมือนคนไม่มีตัวตน จึงไม่มีใครตระหนักได้ถึงการเยื้องกรายมาถึงของเขา
ต่อให้เป็น…ซื่อหลิงซ่างเหรินที่…นั่งเข้าฌานอยู่ในตำหนักใหญ่ของนครหินยักษ์แห่งนี้ก็ตาม!
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้เป็นอันดับสามของราชวงศ์จักรพรรดิแสรองลงมาจากเทียนจุนจักษุไพศาลและหญิงชราที่เคยถูกร่างแยกผู้บงการสังหารไปหนึ่งครั้ง ซื่อหลิงซ่างเหรินเป็นคนมีนิสัยระแวดระวังรอบคอบ ต่อให้หลังจากที่หญิงชราถูกชุบชีวิตคืนมาแล้ว พลังการต่อสู้ของนางจะไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีต เป็นเหตุให้เขาซื่อหลิงซ่างเหรินกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองของบรรดาเทียนจุนในราชวงศ์จักรพรรดิแส ทว่านิสัยของเขาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บแบบเสแสร้งเมื่อครั้งศึกระหว่างร่างแยกผู้บงการ หรือการถอยหนีระหว่างที่ต่อสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุนในอดีตก็ล้วนเป็นหลักการในการรับมือกับเรื่องราวของเขาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงในนครจักรพรรดิแสเมื่อหลายสิบปีก่อนผ่านพ้นไป เขาจึงถูกจักรพรรดิแสลงโทษสถานเบาให้มาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่
สำหรับการลงโทษประเภทนี้ ซื่อหลิงซ่างเหรินยินดียอมรับเอาไว้ ซ้ำเขายังไม่รู้สึกด้วยว่านี่คือการลงโทษ เพราะตลอดเวลาหลายสิบปีที่มาอยู่ในดินแดนเซียนแห่งที่สอง ชีวิตของเขาก็นับว่าสุขสบายดีอย่างมาก
“จะว่าไปแล้วก็เพราะได้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นแท้ๆ หาไม่แล้วคนที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ก็คงต้องเป็นหยวนเยาจื่อไปตลอด ไม่มีทางที่จะส่งให้ข้ามาที่นี่ได้”
ซื่อหลิงซ่างเหรินลืมตา ก่อนจะพูดปลงอนิจจังอยู่กับตัวเอง
คนอื่นอาจจะลืมป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้แล้ว แต่เขาไม่เคยลืม การระเบิดของไฟหลายสีเมื่อหลายปีก่อน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างลึกล้ำ
บัดนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตนถึงได้ทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังกะทันหัน ลึกๆ ในใจเริ่มไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบ แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไปดูให้รู้แน่ชัด
ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นพลังอำนาจจิตกลุ่มหนึ่งที่เขาสัมผัสไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็พลันระเบิดขึ้นมาบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วนครหินยักษ์ เป็นเหตุให้นักพรตทุกคนที่อยู่ในเมืองใจสั่น แต่ละคนหายใจติดขัด ขณะเดียวกันข้างหูของพวกเขาและข้างหูของซื่อหลิงซ่างเหรินก็มีเสียงที่เรียบนิ่งแต่กลับเปี่ยมไปด้วยอานุภาพน่าเกรงขาม…ดังก้องขึ้นมา!
“ซื่อหลิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”
เสียงนี้ที่อยู่ในหูของทุกคนเมืองนครหินยักษ์เป็นดั่งพลานุภาพแห่งสวรรค์ที่มาดังกึกก้องอยู่ทั่วทุกมุมของหัวใจ ทว่าเมื่อมาอยู่ในจิตวิญญาณของซื่อหลิงซ่างเหรินกลับเป็นดั่งอสนีสวรรค์ที่ผ่าเปรี้ยงลงมา!!
“อำนาจจิตนี้…ปราณนี้…เสียงนี้…” ซื่อหลิงซ่างเหรินพลันเบิกตากว้าง ในสมองยังคงดังอื้ออึง และในที่สุดอำนาจจิตของเขาก็มองเห็นเงาร่างที่สวมชุดขาว ผมสีนิลปลิวไสวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครหินยักษ์ได้อย่างชัดเจน!
“ป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ซื่อหลิงซ่างเหรินร้องอุทานเสีงหลง
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เสียงของเขาหลุดออกมาจากปาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วกดผ่านอากาศเข้าใส่ตำหนักใหญ่ที่ซื่อหลิงซ่างเหรินอยู่
ฟ้าสนั่นดินสะเทือน โลกทั้งใบโยกคลอน ซื่อหลิงซ่างเหรินแผดเสียงร้องคำรามแหบแห้ง กระโจนพรวดถลาออกไป และแทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเผ่นออกมา ตำหนักใหญ่ที่เขาอยู่อาศัยก็ระเบิดทลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยท่ามกลางเสียงกัมปนาทประหนึ่งถูกลบทิ้งไปอย่างไรอย่างนั้น!
ต่อให้ซื่อหลิงซ่างเหรินที่หนีออกมาได้จะสัมผัสโดนพลังการลบเลือนนั้นเพียงนิดเดียว แต่ร่างของเขาก็ยังสั่นเทิ้มเป็นตะแกรงร่อน เลือดสดทะลักพรวดออกมาคำใหญ่ ดวงตาฉายความเหลือเชื่อและตะลึงลาน ทั้งยังมากด้วยความคาดไม่ถึง เขาสัมผัสได้ว่าระดับความแข็งแกร่งเช่นนี้อยู่เหนือกว่าเทียนจุนจักษุไพศาลเสียอีก เหมือนจะใกล้เคียงกับ…จักรพรรดิแสอย่างมากแล้ว
“ฝ่าทะลุแล้ว เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตไปแล้ว!!” ซื่อหลิงซ่างเหรินรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด ไม่เหลือความคิดที่จะต่อสู้อีกต่อไป เขารีบสะบัดกายหมายเผ่นหนี!
สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงนิ่งเฉยดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ซื่อหลิงซ่างเหรินที่ในอดีตเขาจำเป็นต้องรับมืออย่างจริงจัง มาบัดนี้ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายอาจจะไม่ถึงขั้นอ่อนแอเปราะบาง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปสักเท่าไหร่!
มือขวาของเขาพลันยกขึ้นแล้วกดลงไปอย่างไม่ใส่ใจ ปากก็เปล่งคำสองคำที่กลายมาเป็นดั่งคาถาอาคม!
“สยบ!”