บทที่ 1203 ดินแดนเซียนแห่งนี้ เป็นของข้าแล้ว
เมื่อจบคำของป๋ายเสี่ยวฉุน ฟ้าดินก็คล้ายจะมืดมัวลงในชั่วพริบตา ก่อนที่ท้องฟ้าจะมีมือใหญ่ข้างหนึ่งจำแลงออกมาแล้วตรงดิ่งเข้าหาซื่อหลิงซ่างเหรินราวกับจะถล่มฟ้าทลายดิน
อีกทั้งในขณะที่เข้าไปใกล้ พื้นดินรอบด้านยังกระดอนเป็นลูกคลื่น แม้แต่ความว่างเปล่าระหว่างฟ้ากับดินก็ยังมีตราผนึกที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบซึ่งลดความเร็วของซื่อหลิงซ่างเหรินลงอย่างฮวบฮาบ ซ้ำยังกักบริเวณเขาเอาไว้!
ซื่อหลิงซ่างเหรินที่พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินรอบด้าน ลูกตาของเขาก็ถลึงโปนจนแทบจะถลนออกมา ดวงตาเอ่อท้นไปด้วยความตะลึงลานรุนแรง ปากก็ร้องตะโกนเสียงหลงด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้า…เจ้า…เจ้าฝ่าทะลุสู่บุพกาลแล้วรึ?” เขาจะไม่สะท้านสะเทือนได้อย่างไร ในสายตาของเขา นี่ไม่ใช่เวทคาถาของเทียนจุนแล้ว นี่ต้องเป็นพลังแห่งต้นกำเนิดของโลกเท่านั้นถึงจะสามารถสั่นคลอนโลกทั้งใบได้แบบนี้ ต่อให้เป็นเทียนจุนจักษุไพศาลก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าไร้อารมณ์ มือขวาที่ยกขึ้นพลันตวัดลง ท่ามกลางเสียงอึกทึก นภากาศพังครืนลงมา ซื่อหลิงซ่างเหรินแผดเสียงคำรามด้วยความสิ้นหวัง มือทั้งคู่ทำมุทราพยายามต้านทานสุดกำลัง ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายหรือวิชาอภินิหารก็ล้วนระเบิดครบทุกด้าน เป็นเหตุให้รอบกายเขาอบอวลไปด้วยหมอกสีดำที่กลายมาเป็นเงาร่างดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามือใหญ่ซึ่งจำแลงขึ้นบนท้องฟ้ากลับไม่ต่างอะไรจากน้ำถ้วยเดียวที่ดับไฟทั้งคันรถ
ท่ามกลางเสียงกัมปนาท มือใหญ่พลันบีบเข้าหากัน ประหนึ่งท้องฟ้าพุ่งเข้าปกคลุมทั้งร่างของซื่อหลิงซ่างเหริน วิญญาณดุร้ายทั้งหมดพังทลาย
ต่อให้เป็นตัวของซื่อหลิงซ่างเหรินเองก็ยังสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง กระอักเลือดไม่หยุด แล้วก็ถูกมือใหญ่นั้น…คว้าจับไว้ได้โดยตรง!
ซ้ำยังบีบอย่างแรง จนเขายอมสยบแบบหมอบราบคาบแก้ว!
เสียงตูมตามที่ยังดังไม่หยุดสะท้อนก้องกังวานออกไป ทว่าซื่อหลิงซ่างเหรินกลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวไว้ พอป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็ถูกโยนเข้าไปเก็บไว้ในถุงเก็บของท่ามกลางความสิ้นหวังของซื่อหลิงซ่างเหริน!
นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือจนสยบซื่อหลิงซ่างเหรินเอาไว้ได้ ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้จะไม่ได้เสร็จสิ้นกระบวนความในเสี้ยววินาที แต่ก็ไม่เกินสิบชั่วลมหายใจเท่านั้น ทว่าในเวลาสั้นๆ นี้ท้องนภากลับมืดมน ลมหยุดพัด ฟ้าดินส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนก่อเกิดเป็นริ้วคลื่นที่แผ่ไปแปดทิศ เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่ในนครหินยักษ์ตะลึงพรึงเพริดด้วยความหวาดผวาและปากอ้าตาค้างกันไปทุกคน!
ไม่นานก็มีเสียงฮือฮาระเบิดออกมาจากในนคร ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเหตุการณ์ก่อนหน้าเอาในนาทีนี้!
“สวรรค์ เขาคือ ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
“ราชาทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
“เขากลับมาแล้ว…แค่การโจมตีเดียวก็สยบเทียนจุนซื่อหลิงได้ นี่…นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!!”
ท่ามกลางเสียงดังเซ็งแซ่ของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ายกมือขวาทำมุทราชี้ไปยังซากปรักหักพังของตำหนักใหญ่กลางนครหิน ทันใดนั้นฝุ่นผงที่เกิดขึ้นหลังจากการพังทลายของตำหนักใหญ่ก็บินมารวมตัวกัน กลายเป็นเจดีย์หินมหึมาที่เรียงชั้นสูงตระหง่านต่อเนื่องราวกับไม่มีวันหยุด
แต่สุดท้ายแล้วก็ชะงักอยู่ใต้ฝ่าเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ประหนึ่งเขาได้กลายมาเป็นผู้สูงศักดิ์หนึ่งเดียวในใต้หล้าที่ยืนอยู่กลางนครหินยักษ์อย่างสง่างาม!
ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับร่างเล็กน้อยก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเจดีย์สูง สายตาของเขากวาดผ่านพื้นดินพลางเอ่ยเนิบช้า
“พวกเจ้าจะอยู่หรือไป ก็ตามใจ!”
“ดินแดนเซียนแห่งนี้ เป็นของ…ข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว!”
ประโยคสุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ตบะไปเขย่าคลอนเมล็ดพันธ์แห่งเต๋า มันจึงกลายมาเป็นคลื่นพลังความคิดที่ซัดครืนครั่นออกไปสี่ทิศ ดั่งมีอสนีสวรรค์ผ่าเปรี้ยงลงมาในใจของทุกคน และการซัดแผ่ของริ้วคลื่นนี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นครหินยักษ์เท่านั้น ยังลามไปถึงนครอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง แม้แต่นักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิแสทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของดินแดนเซียนก็ยังได้ยินกันหมด พวกเขาทั้งตะลึงทั้งพรั่นผวา อารมณ์มากมายทับซ้อนกันจนแยกไม่ออก
“จักรพรรดิแส…หากเจ้าไม่ยอม ก็จงมาสู้กัน!” นี่คือประโยคสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดออกมา พอประโยคนี้ผสานเข้ากับพลังของเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของเขาก็ยิ่งน่าครั่นคร้ามกว่าก่อนหน้านี้ เพราะมันก้องกังวานไปทั่วแปดทิศ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าในดินแดนเซียนแห่งที่สองต้องมีคนได้ยินคำพูดของตนแล้วนำความไปบอกจักรพรรดิแส และแผนการของเขาก็คืออยู่ที่นี่…รอให้จักรพรรดิแสมาหา!
ส่วนหยวนเยาจื่อและซื่อหลิงซ่างเหรินนั้นก็คือเบี้ยในมือของเขา
บัดนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ในดินแดนเซียนแห่งที่สองต่างก็เต็มไปด้วยความครึกโครม เมื่อเวลาล่วงผ่าน เมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่ว ไม่นานก็ลุกลามไปทั่วทั้งดินแดนเซียนแห่งที่สอง
“จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”
“สวรรค์ นี่คือการบุกยึด นี่คือการบุกยึดชัดๆ!!”
“บัดซบ ราชาทงเทียนผู้นี้โอหังเกินไปแล้ว เขาไม่กลัวว่าจักรพรรดิแสจะมาสังหารเขาเลยหรือไง!!”
“ต้องเป็นแผนการของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งแน่นอน หรือว่าสองราชสำนักใหญ่จะทำสงครามกันเข้าแล้วจริงๆ!!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังเอ็ดอึงนี้ สำหรับนักพรตของดินแดนเซียนแห่งที่สองแล้ว พวกเขาไม่เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่จากไปได้ไม่นานจะมีคุณสมบัติมายึดครองดินแดนเซียนแห่งที่สองไปได้ เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวจักรพรรดิแสอย่างแรงกล้า
และบัดนี้เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหวนคืนมาก็ได้แพร่ไปทั่วดินแดนเซียนแห่งที่สอง ดังไปเข้าหูคนที่อยู่ในนครจักรพรรดิแสและราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดไม่ใจสั่นสะท้าน
ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังขมวดคิ้วน้อยๆ เขามีการวิเคราะห์ที่แตกต่างจากคนอื่น เขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นนายของพัดสมบัติสืบทอดผู้บงการแล้ว ซ้ำยังสั่งสมพลังตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา หากไม่มีความมั่นใจที่มากพอ อีกฝ่ายไม่มีทางยอมเอาตัวมาเสี่ยงง่ายๆ แน่
“คิดดูแล้ว เขาน่าจะมีท่าไม้ตายอะไรบางอย่าง…ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปหยั่งเชิงดูสักหน่อยแล้วกัน” จักรพรรดิแสแค่นเสียงเย็น หรี่ตาทั้งคู่ลงแล้วแผ่อำนาจจิตติดต่อไปหาเทียนจุนจักษุไพศาลและหญิงชราที่เขาชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ผู้นั้น
“จักษุไพศาล เริ่นหลิง…พวกเจ้าสองคนจงไปจับตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมาให้เรา!”
แม้ว่าจักษุไพศาลและหญิงชราเริ่นหลิงจะไม่ได้เข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนมากเท่าจักรพรรดิแส แต่ก็พอจะเข้าใจนิสัยของคนทั่วไปได้ดี ในเมื่อหนีไปแล้ว หากไม่มีความมั่นใจที่มากพอ อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางหวนกลับมาด้วยท่าทางโอหังและกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้แน่
แล้วก็ตระหนักได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมีท่าไม้ตายบางอย่างอยู่แน่นอน ขณะเดียวกันก็ยิ่งเข้าใจจุดประสงค์ในคำสั่งนี้ของจักรพรรดิแส เพียงแต่ว่าพวกเขามิอาจปฏิเสธได้ ในฐานะที่เป็นเทียนจุนของราชวงศ์จักรพรรดิแส เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ที่เหมือนการรุกรานยึดอำนาจเช่นนี้ พวกเขาก็มีหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขปัญหาแทนจักรพรรดิแสโดยการไปหยั่งเชิงไพ่ตายของอีกฝ่ายล่วงหน้าก่อน ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปพักใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเทียนจุนจักษุไพศาลหรือหญิงชราเริ่นหลิงก็ล้วนพากันบินออกมา อาศัยค่ายกลนำส่งของนครจักรพรรดิแสตรงดิ่งไปที่นครหินยักษ์ในดินแดนเซียนแห่งที่สอง!
และด้านหลังของพวกเขา บัดนี้จักรพรรดิแสก็เดินออกมาจากในวังหนึ่งก้าว ก่อนที่ร่างจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเองก็แอบติดตามคนทั้งสองไปที่ดินแดนเซียนแห่งที่สองเช่นกัน!
ตลอดทั้งดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแส
แม้นครหลักจะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนยึดครอง ซื่อหลิงซ่างเหรินถูกจับตัว เสียงของเขาแผ่กังวานไปแปดทิศ ซ้ำเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดออกไปทั่ว ทว่าความวุ่นวายกลับไม่เกิดขึ้นมากนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสต่างก็มั่นใจในตัวจักรพรรดิแสแบบเต็มเปี่ยม!
ถึงขั้นที่ว่าเวลานี้ยังมีนักพรตจำนวนไม่น้อยใช้วิธีการต่างๆ เดินทางจากพื้นที่อื่นมายังนครหินยักษ์ หมายจะเห็นกับตาตัวเองว่าจักรพรรดิแสจะกำราบราชาทงเทียนป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไร
ขณะเดียวกันในดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิแสนี้ก็มีนักพรตโลกทงเทียนอยู่ไม่น้อย พอได้ยินเรื่องนี้แต่ละคนก็พากันร้อนใจ ถึงขั้นที่มีคนไม่น้อยยอมกัดฟันเดินออกมาจากที่ซ่อนแล้วตรงดิ่งไปที่นครหินยักษ์เช่นกัน
และก็เป็นเช่นนี้ เมื่อสองเทียนจุนอย่างเทียนจุนจักษุไพศาลและเทียนจุนเริ่นหลิงเยื้องกรายมาถึงนครหินยักษ์ นอกนครหินยักษ์ก็มีนักพรตมากเกินหลายแสนคนก็มาออกันล้อมรอบเมืองแน่นขนัด ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็ต้องการเป็นประจักษ์พยานในภาพเหตุการณ์ที่จักรพรรดิแสสยบป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งจะเกิดขึ้นในอันดับต่อไป
ซ้ำคนเหล่านี้ยังเป็นคนนอกนครหินยักษ์ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตในนครที่มีจำนวนมากกว่าซึ่งต่างก็พากันจับตามองด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ
สำหรับพวกคนที่มาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งเข้าฌานอยู่บนเจดีย์สูงไม่ได้สนใจ ก่อนหน้านี้เขาได้บอกไปแล้ว ในเมื่อคนพวกนี้ไม่เชื่อ ซ้ำยังไม่ยินดีจะจากไป ถ้าเช่นนั้นก็รอเป็นพยานเอาเองแล้วกัน
“ยิ่งคนมาก ศึกนี้ของข้า…ก็ยิ่งสั่นคลอนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้รุนแรงเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยปณิธานแห่งการต่อสู้ที่เข้มข้น เขาที่ใช้ชีวิตอยู่บนซากพัดข่มกลั้นมานานมากพอแล้ว ความเคียดแค้นในใจครั้งนั้นไม่ได้สลายหายไปตามการตายขององค์ชายใหญ่ และวันนี้ก็ได้เวลาที่เขาจะระบายความแค้นในปีนั้นออกไป! ทั้งยังจะเริ่มสร้างเกียรติยศให้กับคนของโลกทงเทียนในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลนับแต่นี้!
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เทียนจุนจักษุไพศาลและเทียนจุนเริ่นหลิงมาถึง
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันที เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองคนทั้งสองที่ทะยานมาอย่างรวดเร็วด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนที่มุมปากจะค่อยๆ ยกยิ้มเยียบเย็น
“จักรพรรดิแสผู้นี้ระมัดระวังตัวเสียจริง ทั้งๆ ที่มีตบะเป็นถึงบุพกาล แต่กลับยังส่งเทียนจุนมาหยั่งเชิงไพ่ตายของข้า…”
“น่าเสียดาย ไพ่ตายนี้ของข้า ไม่มีเทียนจุนคนใดมีคุณสมบัติที่จะมาหยั่งเชิงได้แล้ว!”
ขณะเดียวกันกับที่มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฎยิ้มเหี้ยมเย็นชา ลมหายใจของเทียนจุนจักษุไพศาลก็หอบกระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย เขามีความรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเจดีย์สูงผิดปกติอย่างมาก กระนั้นคำสั่งของจักรพรรดิแสก็มิอาจละเมิด ซ้ำเขายังคิดได้แล้วว่าจักรพรรดิแสต้องจับตามองที่นี่อยู่แน่นอน ดังนั้นหลังจากที่ปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้ว ต่อให้จะสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตราย เขาก็ยังแข็งใจคำรามกร้าว ระเบิดตบะทั้งหมดออกมาจนก่อให้เกิดพายุโหมเทียมฟ้า ครั้นแล้วพายุนั้นก็กลายเป็นมือใหญ่ที่ตรงเข้าไปคว้าร่างป๋ายเสี่ยวฉุน
หญิงชราเริ่นหลิงที่อยู่ข้างกันกลับไม่ได้คิดอะไรมากอย่างเขา เพราะหญิงชราผู้นี้เป็นเทียนจุนคนเดียวของราชวงศ์จักรพรรดิแสที่ไม่เคยสัมผัสกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน ตอนนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดโทสะเพราะเมียและลูกถูกจับตัวไปในนครจักรพรรดิแส นางยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวหลังจากถูกชุบชีวิต แม้ว่าตอนนี้พลังการต่อสู้ของนางจะถูกลดทอนลงไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังเฉียบคมร้ายกาจ ยามลงมือก็ยิ่งเหี้ยมอำมหิต ราวกับว่าทั้งร่างได้กลายมาเป็นอินทรีดุร้ายสีดำตัวหนึ่งที่ร้องคำรามแล้วโฉบเข้าสังหารหมายปลิดชีพป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ