Skip to content

A Will Eternal 125

บทที่ 125 สัตว์รัตติกาลตัวนั้น…

วิชาอภินิหารที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งชื่อให้ว่ามหาเวทควบคุมคนนี้ ช่วงเวลาต่อมาได้กลายเป็นการละเล่นใหม่ของสัตว์ร้ายในที่แห่งนี้ พวกมันมักจะแปลกใจกับการที่อยู่ๆ ร่างก็ลอยขึ้นแล้วก็ร่วงลงมา

มีบางครั้งที่อยู่ๆ ขาทั้งสองข้างก็ตั้งตรง สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว กลับรู้สึกสนใจมากด้วย พอถึงท้ายที่สุด สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะวิ่งเข้ามาหาทันที อยากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่นกับพวกมัน

ส่วนสัตว์ร้ายที่ตัวใหญ่ยักษ์อย่างเสือบินก็มักจะมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนยื่นมือออกมาชี้ที่ตัวเองอยู่บ่อยๆ ปากก็พูดพึมพำไปด้วย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะทอดถอนใจตามมาอย่างรวดเร็ว เดินจากไปเงียบๆ ด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม จนกระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว สัตว์ร้ายที่ร่างกายใหญ่โตเหล่านี้ก็ให้รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทำอะไรอยู่

จนกระทั่งหนึ่งเดือนต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนจำต้องล้มเลิกการฝึกมหาเวทควบคุมคนเอาไว้ก่อนชั่วคราว

“วิชานี้หากฝึกสำเร็จจะต้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน ข้าเลื่อนเอาไว้ก่อน รอจนแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อยต้องฝึกสำเร็จอย่างแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่ทดลองมาแล้วหนึ่งเดือนก็ยังไม่พัฒนาไปเท่าไร จึงจำต้องทอดถอนใจด้วยความปลง ค่อยๆ เก็บความตั้งใจเอาไว้ ขณะที่คิดจะฝึกวิชาเขตแดนธาราต่อก็อดไม่อยู่จนต้องหันไปมองปีกของตัวเองอีกที

“ตอนนั้นที่ยายแก่ของชายฝั่งทิศเหนือมอบไข่มุกพลังแม่เหล็กและปีกให้กับข้าเคยบอกว่า ในนั้นแฝงไว้ด้วยวิชาลับแรงดูดแรงผลัก…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย หยิบปีกออกมาวางด้านหน้า เริ่มทำการศึกษา หลายวันต่อมาเขาก็ถอนหายใจ ทำได้เพียงฝังกลบไว้ในใจ ทิ้งไว้รอวันหน้า

จนกระทั่งตอนนี้ถึงตัดใจได้อย่างแท้จริง เริ่มฝึกเขตแดนธาราอย่างเต็มกำลัง

เวลาหมุนเปลี่ยน โดยไม่ทันรู้ตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มาอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือเกือบสองปีแล้ว เมล็ดกำเนิดสัตว์ที่อยู่หลังหอเรือนของเขาต้นนั้นก็โตขึ้นสูงถึงหนึ่งจั้งกว่าแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ออกดอก แต่ตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน ระยะเวลาที่มันจะออกดอกก็ถือว่าอีกไม่นานเท่าไหร่นัก

ภายใต้การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พลังจากวิชาเขตแดนธาราของเขาก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น ทุกครั้งที่ร่ายคาถาล้วนเกิดเสียงกัมปนาท มีพลังแปลกประหลาดระลอกหนึ่งที่คล้ายว่าไม่ได้เป็นพลังจากโลกนี้กล้ำกรายไปทั่วสี่ทิศ

ตลอดทั้งหอร้อยสัตว์ สัตว์ร้ายเก้าร้อยกว่าตัวล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตและศึกษาครบหมดทุกตัวแล้ว แถมแทบจะเข้าใจสัตว์ร้ายทุกตัวประดุจฝ่ามือของตัวเอง แต่จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาก็ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นมาเสียที

“หรือว่าสัตว์ร้ายที่ข้าสังเกตและศึกษายังไม่มากพอ? ควรจะไปสังเกตและศึกษาสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่านี้จะดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่นาน มองไปที่หุบเหวสัตว์โบราณหนึ่งที สองจิตสองใจอยู่สักพักก็รู้สึกว่าอันตรายเกินไป คิดไปคิดมาดวงตาก็เปล่งประกายวาบ เงยหน้าขึ้นพรวด มองไปยังเขาทั้งสี่ลูกของชายฝั่งทิศเหนือ

“ยอดเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือมีสัตว์วิเศษพิทักษ์ขุนเขา!”

ภูเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือ บนยอดเขาแต่ละลูกล้วนมีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอยู่หนึ่งตัว ซึ่งก็คือสัตว์พิทักษ์ขุนเขาของแต่ละยอดเขา แม้จะเทียบเคียงกับมังกรนิลเขาสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ทุกๆ หลายวันพวกมันจะออกมาข้างนอกบ้างเป็นบางครั้ง หากไม่บินโฉบอยู่บนท้องฟ้าก็จะเงยหน้าคำรามเสียงดัง ขณะเดียวกันกับที่สั่นสะเทือนไปทั่วทิศ ก็ดึงดูดความสนใจและความอิจฉาจากลูกศิษย์หลายๆ คนได้

ช่วงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ชายฝั่งทิศเหนือก็เคยเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีของยอดเขายวนเหว่ยนั่นยิ่งทำให้เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงออกจากหอร้อยสัตว์ไปอย่างรีบร้อน ตอนที่เดินผ่านเวทีประลองก็มองไปที่รูปสลักสัตว์ร้ายนั่นครั้งหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามองรูปสลักนี้ แต่ทุกครั้งจะต้องมีความรู้สึกพูดไม่ออกบางอย่าง และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์คนอื่นๆ เช่นกัน

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเคยสังเกตอย่างละเอียดมาแล้ว แต่ทุกครั้งกลับไม่ได้อะไร นานครั้งเข้าจึงไม่ได้ให้ความสนใจอีก เพียงแต่เวลาที่เดินผ่านก็จะต้องกวาดตาไปมองโดยไม่รู้ตัว

ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงสายตากลับมา ต้องการไปที่เขายวนเหว่ยก่อน เวลานี้กำลังเดินขบคิดไปตามทาง พลันเกิดความรู้สึกตื่นตัว ปีกพลังแม่เหล็กด้านหลังปรากฏพรึ่บขึ้นมาในพริบตา ร่างกายพุ่งถลาออกไปข้างหน้าหลายสิบจั้งอย่างควบคุมไม่ได้

แทบจะทันทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลบเลี่ยงออกไปนั้นเอง ตำแหน่งที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้พลันมีเงาดำร่างหนึ่งมาปรากฏอยู่ เสียงกร้วมหนึ่งครั้ง เหมือนเสียงฟันที่กระทบเข้าหากันอย่างรุนแรงฟังแล้วน่าหวาดผวาดังลอยมา

เสียงนี้ไม่เบานัก ถึงขนาดก่อให้เกิดเสียงระเบิดของอากาศ ทำให้พอนึกภาพออกว่านี่จำเป็นต้องใช้พละกำลังมหาศาลมากแค่ไหน มีความเคียดแค้นอยู่มากเท่าไหร่ ทำให้เวลาที่ฟันกระทบกันถึงได้เกิดพละกำลังอันน่าตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้

เงาดำร่างนั้นก็คือสุนัขตัวใหญ่สีดำตัวหนึ่ง กายของมันใหญ่พอหนึ่งจั้ง ไม่ต่างไปจากวัว เพียงแต่ว่าตลอดทั้งร่างผอมแห้ง ขนก็ยิ่งยุ่งเป็นกระเซิงเหมือนหมาเร่ร่อน

สีหน้าของมันเวลานี้ดุร้าย จ้องเขม็งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน และยังมีน้ำลายปริมาณมากไหลลงมาตามซอกฟัน โดยเฉพาะแสงสีแดงในดวงตานั่นที่คล้ายว่าจะแฝงฝังไว้ด้วยความบ้าคลั่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึมไปทั่วศีรษะ หันขวับกลับไปก็มองเห็นสุนัขใหญ่สีดำตัวนี้ได้ทันที หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งถึงจะจำได้

“นี่มันสัตว์รัตติกาลตัวนั้นของเป่ยหันเลี่ยไม่ใช่เหรอ เจ้า…” แต่ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดจบ สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นก็พุ่งสวบจากไปอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าเมื่อโจมตีไม่สำเร็จก็หนีห่างไปไกลเป็นพันลี้

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกงงงันอยู่นั้น รอบด้านมีลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนไม่น้อยที่ต่างก็จำสุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นได้ แต่ละคนสำลักลมหายใจ วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา

“สัตว์รัตติกาลตัวนี้ของศิษย์พี่เป่ยหันเลี่ยน่าสงสารเหลือเกิน ศิษย์พี่เป่ยหันเลี่ยไม่อาจรับมันไว้ได้อีกแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่พวกผู้อาวุโสก็ยังรู้สึกว่ามันน่าสงสาร…”

“นั่นสิ นับตั้งแต่นั้นมาสัตว์รัตติกาลตัวนี้ก็มาเดินเตร่อยู่ในชายฝั่งทิศเหนือของเราบ่อยๆ แถมมีครั้งหนึ่งข้ายังเคยเห็นมันยืนอยู่บนภูเขาลูกเล็ก เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนว่าเศร้าใจกลัดกลุ้ม”

“น่าสงสารนัก มิน่าล่ะมันถึงได้ลอบโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ หลังจากฟังคำพูดพวกนี้แล้วในใจก็รู้สึกผิดและเสียใจ มองไปยังทิศทางที่สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นจากไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจว่าจะไม่เอาเรื่องที่สุนัขตัวนี้ลอบโจมตีตัวเองแล้ว

“ข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกันนี่นา ตอนนั้นที่ข้าลงสนามก็บอกแล้วว่าให้เป่ยหันเลี่ยยอมแพ้ เมื่อใดที่ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเองจริงๆ นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หมุนกายเดินไปยังเขายวนเหว่ย

ด้วยฐานะลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติของเขา ต่อให้เป็นชายฝั่งทิศเหนือเองก็ยังสามารถผ่านเข้าไปได้ในหลายๆ เขต หลังจากที่มาถึงยอดเขายวนเหว่ยด้วยความระมัดระวัง เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ถ้ำที่อยู่บนยอดเขาเท่าไหร่นัก แต่หาหินก้อนหนึ่งที่ห่างออกไปไกล แล้วจึงนั่งขัดสมาธิ รอคอยอย่างเงียบสงบอยู่ตรงนั้น

การรอครั้งนี้นานถึงสามวัน เช้าตรู่หลังจากผ่านไปสามวัน ทันใดนั้นเสียงนกร้องที่ราวกับสามารถฉีกกระชากหมู่เมฆบนท้องฟ้าได้ก็ดังออกมา ขณะที่ในถ้ำบนยอดเขามีแสงเจ็ดสีเปล่งประกายพริบพราว นกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีก็บินออกมาอย่างสง่างาม สยายปีกกลางอากาศ แสงอาทิตย์แรกตกกระทบลงบนร่างของมัน สะท้อนออกมาเป็นแสงวับวามเจ็ดสีงดงามจับตา ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่จิตใจสะท้านไหว เขาแอบสัมผัสได้ว่าในร่างกายของนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวนี้คล้ายมีพลังที่น่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งดำรงอยู่ หากระเบิดออกมา ต่อให้ตัวเองจะฝึกผิวหนังคงกระพันได้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ยังห่างไกลที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้

ขณะที่จ้องมองแน่วนิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนประทับภาพร่างกายของนกฟ่งเหนี่ยวให้ตราตรึงลงไปในใจตัวเอง ศึกษาและสังเกตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหนึ่งก้านธูปหมดไป นกฟ่งเหนี่ยวตัวนี้ถึงได้ค่อยๆ บินกลับมา กลับเข้าไปในถ้ำโดยไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลง ในสมองวาดเค้าโครงร่างของนกฟ่งเหนี่ยวออกมา รอคอยต่อไป ผ่านไปอีกห้าวัน ซึ่งยังคงเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่เช่นเดิมที่นกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวนี้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

เวลาผันผ่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนคอยสังเกตและศึกษาอยู่บนยอดเขายวนเหว่ยเป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน มีบางบ้างครั้งที่กลับไปยังหอร้อยสัตว์ แต่ไม่นานก็รีบร้อนกลับมา

ลูกศิษย์ของเขายวนเหว่ยส่วนใหญ่ล้วนได้ยินเรื่องนี้ ต่างพากันแปลกใจ โดยมากแล้วไม่มีใครสนใจนัก แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ฝ่ายในอีกบางส่วนที่เหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง ในใจเริ่มเกิดการคาดเดา

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งเดือน การสังเกตและศึกษานกฟ่งเหนี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนได้บรรลุสู่ระดับประณีตลึกซึ้งแล้ว เขาถึงได้หมุนกายจากไปยังเขารั่วรื่อ

สัตว์วิเศษพิทักษ์ขุนเขาของยอดเขารั่วรื่อคืออีกาดำสามตาตัวหนึ่ง อีกาสามตาตัวนี้ร่างใหญ่พอสองจั้ง รอบกายมีเส้นใยสีดำหลายเส้นบิดเบือนความว่างเปล่า เวลาที่ปรากฏตัวไม่มาก หนึ่งเดือนออกมาแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น

ทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกไม่เพียงแต่โบยบินอย่างรวดเร็ว ที่มากไปกว่านั้นคือจะก่อให้เกิดสายฟ้าเชื่อมโยงกันเป็นพวง อีกทั้งเข้าออกแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น ตอนกลางวันจะไม่ปรากฏตัว

เพื่อสังเกตและศึกษาอีกาสามตาตัวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องคอยตั้งสมาธิจดจ่อตลอดทั้งคืน ในที่สุดเวลาผ่านไปสามเดือน เขาได้เห็นมันทั้งหมดห้าครั้ง และในทุกครั้งเขาล้วนมองตามตาไม่กะพริบ จมจ่อมอยู่ท่ามกลางการสังเกตและศึกษา ไม่นานก็เหมือนว่าสัญญาณการกำเนิดจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น

สัตว์พิทักษ์ขุนเขาของยอดเขาฉงติ่งไม่ใช่สัตว์ปีก แต่เป็นกิ้งก่าขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง กิ้งก่ายักษ์ตัวนี้เคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ลักษณะพลังกลับแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด และมันก็เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตและศึกษาของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะทุกครั้งที่มันเดินออกจากถ้ำก็จะต้องมายืนอยู่บนก้อนหินที่สูงที่สุดก้อนหนึ่งบนเขาฉงติ่ง มองนิ่งไปยังทิศทางที่ห่างออกไปไกล

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองมาจากที่ไกลๆ สังเกตและพิจารณาอยู่ตลอดเวลา อีกหลายเดือนต่อมา ระดับการสังเกตและศึกษาที่มีต่อกิ้งก่าตัวนี้ได้เหนือล้ำเกินกว่านกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสี และยิ่งมากกว่าอีกาสามตา

ส่วนสัตว์พิทักษ์ขุนเขาของเขากุ่ยหยาก็ยิ่งแปลกประหลาด บางทีอาจจะเรียกมันว่าสัตว์วิเศษไม่ได้ แต่ควรเรียกว่าภูตภูเขาตนหนึ่ง ดุจว่าได้รวมเอาสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ในร่างเดียวกัน รวบรวมเอาเทือกเขามาเป็นวิญญาณ และกำเนิดเป็นจิตสำนึก เรียกขานตนเองว่าภูตภูเขา

นี่คือร่างที่มีรูปร่างเป็นคน ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยขนสีดำ มีดวงตาของคน ส่วนหัวมีปากขนาดใหญ่เหมือนปากของหมาป่าที่อ้ากว้าง บนศีรษะมีเขาบิดเบี้ยวอยู่สองแท่ง ร่างท่อนบนมีเกล็ดงู ตรงตำแหน่งหน้าอกมีหัวเสือโผล่ออกมา เบื้องหลังยังมีหางยาวอีกหนึ่งหาง

ในมือของมันถือง่ามกระดูกสีทะมึนทึบด้ามหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ปรากฏตัว บนท้องฟ้าจะปรากฏกลุ่มเมฆบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของมันเปล่งแสงรุบรู่ท่ามกลางความมืดมิด

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญแขวน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเอง แต่ต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันไกล เขาจึงไม่ได้สนใจตนเอง แต่ยืนอยู่บนยอดเขา เงยหน้าคำรามโดยไร้เสียง

ท่ามกลางการคำรามนี้ ก้อนหินมากมายบนเขากุ่ยหยาล้วนพากันสั่นสะเทือนน้อยๆ เนิ่นนาน หลังจากที่ภูตภูเขากลับเข้าไปในถ้ำแล้ว ก้อนหินเหล่านี้ถึงได้กลับคืนสู่สภาพปกติ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่ท่ามกลางการศึกษาและสังเกต ไปๆ มาๆ ระหว่างทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือ ในหัวสมอง ความรู้สึกที่ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาใกล้จะกำเนิดขึ้นมายิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับติดชะงักอยู่บนเส้นคั่นบางๆ ไม่สามารถฝ่าทะลุไปได้

ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือเองก็ค่อยๆ รับรู้กันหมดแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสังเกตและศึกษาสัตว์วิเศษพิทักษ์ภูเขา มีบางคนไม่เข้าใจ แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในอย่างสวีซง เป่ยหันเลี่ยเป็นต้น หลังจากที่คาดเดาแล้ว ในใจก็เต้นโครมคราม

“เขากำลังฝึกวิชาเขตแดนธารา!” นี่คือคำตอบที่ลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือจำนวนไม่น้อยเดาออกมา เพราะมีเพียงแค่ฝึกวิชาเขตแดนธาราเท่านั้นถึงจำเป็นต้องศึกษาและสังเกตสัตว์ร้ายเนิ่นนาน

“เขตแดนธาราคือวิชาลับระดับสูงสุดของสำนักธาราเทพซึ่งเทียบเคียงได้กับขบวนภูตรัตติกาล…อีกทั้งเมื่อคนฝึกต่างกัน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป มีทั้งแข็งแกร่ง มีทั้งอ่อนแอ”

“ในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังศึกษาและสังเกตสัตว์ร้าย นั่นก็หมายความว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขายังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา…”

“ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาจะเป็นยังไง…”

ขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือพากันคาดเดาอยู่นั้น การสังเกตและศึกษาสัตว์วิเศษทั้งสี่เขาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็นานพอหนึ่งปีแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วหนึ่งปีมานี้ ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นที่ให้ความสนใจในตัวเขา แม้แต่ผู้นำทั้งสี่เขารวมไปถึงเจ้าสำนักและหลี่ชิงโหวเอง ก็ยังแอบจับตามองความคืบหน้าในการฝึกวิชาเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุน

พวกเขาเองก็สงสัยเช่นกัน เพราะว่ากันตามปกติแล้ว การสังเกตและศึกษาที่หอร้อยสัตว์ก็มากพอที่จะก่อร่างขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธาราแล้ว แต่ทางป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนว่าจะยังไม่พอ ทว่าต่อให้ไม่พอ บวกกับสัตว์พิทักษ์ภูเขาของทั้งสี่เขาก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่นั่น…ก็ยังคงไม่พออยู่ดี

“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของป๋ายเสี่ยวฉุนช่างก่อกำเนิดได้ยากเย็นถึงเพียงนี้!”

“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนแตกต่างกันไปตามบุคคล มันจะก่อร่างออกมาเป็นมายาจิตลึกลับยากจะคาดเดาอย่างหนึ่ง โดยอิงตามโลกที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของคนคนนั้น…”

“จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของป๋ายเสี่ยวฉุนคืออะไรกันนะ…”

ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองอยู่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสิ้นสุดการสังเกตและศึกษาสัตว์พิทักษ์เขาทั้งสี่ยอดเขา เดินอยู่บนชายฝั่งทิศเหนือด้วยความฉงนสนเท่ห์ เขาพบว่าต่อให้ศึกษาอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เห็นๆ อยู่ว่ามีความรู้สึกอันแข็งแกร่งแล้ว เหมือนว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธาราสามารถถือกำเนิดขึ้นมาในสมองได้ตลอดเวลา ขาดอีกแค่จุดเดียวก็ฝ่าทะลุไปได้

แต่จุดเดียวที่ว่านี้กลับคล้ายจะยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนสับสน เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำเช่นไร เวลานี้เดินไปข้างหน้าด้วยความเงียบงัน ตอนที่เดินผ่านเวทีประลอง เขาหันไปมองรูปสลักสัตว์ร้ายตัวนั้นของเวทีประลองอย่างไม่รู้ตัวหนึ่งที

นี่คือรูปสลักที่เขาเคยมองอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งมีเพียงความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทว่าพริบตาที่เขาหันไปมองนั้นเอง เท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหยุดชะงัก ร่างทั้งร่างสั่นเทา นัยน์ตาเผยความไม่อยากเชื่อ

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version