บทที่ 124 มหาเวทควบคุมคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้แข่งต่อไป เขาค่อยๆ เดินออกไปตามทางที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือหลีกให้ด้วยสีหน้าแฝงไว้ด้วยความซึมเศร้าและเหนื่อยหน่าย ทั้งยังส่ายหัวน้อยๆ
ค่อยๆ เดินจากไปภายใต้สายตาซับซ้อนของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเดินไปไกลแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ทอดถอนใจเบาๆ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พึมพำกับตัวเอง
“ต้องโทษข้า ข้าควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมมากกว่านี้ เฮ้อ” เขารู้สึกปลดปลงอย่างมาก ในใจเต็มไปด้วยความลำพองใจและฮึกเหิม แต่ภายนอกกลับยังคงรักษาท่าทางซึมเศร้าและเงียบเหงาเอาไว้ ทำให้เบื้องหลังของเขาดูเปล่าเปลี่ยวอย่างยิ่ง…
มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์แต่ละคนของชายฝั่งทิศเหนือรู้สึกซับซ้อน พูดไม่ออกว่าในใจคืออารมณ์แบบใด พี่น้องกงซุน สวีซงและเป่ยหันเลี่ย เวลานี้ในใจมีแต่ความไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ความรู้สึกที่ว่าตัวเองได้พยายามอย่างมากเพื่อไล่ตามให้ทัน เดิมคิดว่าตัวเองไล่ทันแล้ว แต่กลับพบว่าที่แท้ตัวเองยังอยู่อีกห่างไกลเช่นนั้นทำให้พวกเขาเงียบงัน
“บางทีในอีกหลายปีต่อมา ระหว่างเขาและกุ่ยหยาอาจจะมีคนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ใน…ลำดับผู้สืบทอดก็เป็นได้!” ขณะที่สวีซงถอนหายใจเบาอยู่ในใจนั้น ในใจของพี่น้องกงซุนก็มีความคิดทำนองเดียวกันลอยขึ้นมา
มีเพียงเป่ยหันเลี่ยเท่านั้นที่ตัวสั่นเทิ้ม เวลานี้กำลังกำหมัดแน่น เขาไม่ยอมแพ้ และจะยอมแพ้ไม่ได้ด้วย พอนึกถึงความน่าเวทนาของตนเองตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจขึ้นมาเมื่อใด เขาก็รู้สึกเหมือนมีแส้ที่มองไม่เห็นโบยตีมาที่ตัวเอง
ขณะที่กัดฟันก็มีมือหนึ่งวางลงมาบนไหล่ของเขา นั่นคือพี่ชายคนโตของเขา ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของฝ่ายในเขารั่วรื่อ เป่ยหันเฟิง เขามาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว นกกระสากระดาษที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้รับคำท้ารบต่อเหล่านั้น มีหนึ่งชิ้นที่เป็นของเขา
เห็นถึงความแข็งแกร่งตลอดหนึ่งเดือนกว่านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตาตัวเอง ต่อให้เป็นเป่ยหันเฟิงก็ยังเข้าใจดีว่าตัวเอง…ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ต่อให้เวลานี้ตนจะมีพลังรวมลมปราณขั้นสิบแล้วก็ตาม
แต่เมื่ออยู่ภายใต้พลังกล้ามเนื้อที่น่าหวาดผวา รวมไปถึงความเร็วที่ยากจะอธิบายได้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกอย่างย่อมพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย
“ท่านพี่…” เป่ยหันเลี่ยมองพี่ชาย
“พรสวรรค์และสติปัญญาของเจ้าดีกว่าข้านัก ขยันบำเพ็ญเพียร ความพ่ายแพ้ล้มเหลวเพียงชั่วขณะไม่มีความหมายอะไรเลย ในลำดับผู้สืบทอดก็มีผู้อาวุโสบางส่วนที่ตอนอยู่ในขั้นรวมลมปราณและสร้างฐานรากไม่โดดเด่น แต่เมื่อมานะฝึกฝน พวกเขาก็อยู่เหนือกว่าผู้ที่เคยเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรุ่นเดียวกันได้” เป่ยหันเฟิงให้กำลังใจ คำพูดนี้ทั้งพูดให้น้องชายตัวเองฟัง และพูดให้ตัวเองด้วย
เป่ยหันเลี่ยเงียบงัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพยักหน้าแรงๆ
“ต่อไปไม่ต้องไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ไม่ว่าเขาจะเคยทำตัวน่ารังเกียจมากเพียงใด แต่ยามนี้เขาได้รับความเคารพนับถือ ขณะเดียวกันวิถีปฏิบัติตัวของคนผู้นี้ก็ควรค่าที่เจ้าต้องเรียนรู้ให้มาก รู้หนักรู้เบา รู้จักบุกรู้จักถอย ไม่มัวเมาไปกับภาพมายา ไม่ถูกทรัพย์สินเงินทองล่อลวงใจ มีเพียงแค่ความยืนหยัดในใจที่คงอยู่นิรันดร์กาล คนผู้นี้…น่ากลัวมาก” เป่ยหันเฟิงพูดเสียงเบา
ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายในอีกสองพันกว่าคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้รับคำท้า เวลานี้ในใจของคนแทบทุกคนล้วนมีความรู้สึกปลดปลงใจไม่ต่างกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนลื่นไหลรอบคอบ การท้ารบที่ชายฝั่งทิศเหนือเป็นฝ่ายส่งคำท้าก่อนครั้งนี้ เขาไม่ได้ฝืนให้ดำเนินต่อไป แต่ช่วยรักษาหน้าให้กับชายฝั่งทิศเหนือ และคนสองพันกว่าคนนั้น
เพราะหากรับคำท้าต่อไปก็ไม่มีความหมายใดๆ แล้ว อีกทั้งคะแนนคุณความดีของเขาก็สะสมไปจนถึงระดับน่าหวาดกลัว การที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดถึงอย่างในตอนนี้ ปล่อยให้คำท้ารบหมดผลไปเองในครึ่งปีข้างหน้าต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ไม่ใช่แค่เพื่อรักษาหน้าให้กับชายฝั่งทิศเหนือ แต่เพื่อลดศัตรูที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเองด้วย
ไม่มีใครพูดอะไร ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนเงียบงันกันหมด คนที่เข้าใจสถานการณ์ก็มีอยู่ไม่น้อย ท่ามกลางอาการถอนหายใจ ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดความนับถือเลื่อมใสในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นเท่านั้น
ผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือที่อยู่กลางอากาศ เวลานี้แต่ละคนล้วนมีสายตาแน่วแน่
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเสียอีก…”
“กุ่ยหยาเด็กคนนั้นยังคงปิดด่านเพื่อเตรียมสำหรับขั้นสร้างฐานราก ไม่รู้ว่าสองคนนี้ ใครจะเป็นลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นนี้ และหลายปีข้างหน้าจะเป็นใครที่ได้เข้าสู่ลำดับผู้สืบทอด กลายเป็นหนึ่งในรากฐานของสำนักธาราเทพเรา”
“เข้าสู่ลำดับผู้สืบทอดนั้นยากยิ่งนัก ภายใน 120 ปีหากไม่อยู่ในขั้นยาอายุวัฒนะก็สืบทอดไม่ได้ เกิน 120 ปีไปแล้ว ต่อให้อยู่ในขั้นยาอายุวัฒนะก็เป็นได้แค่ผู้อาวุโสไท่ซ่าง กุ่ยหยาก็ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ช่าง เส้นทางของพวกเขายังอีกยาวไกล…หากมีวันหนึ่งที่กลายเป็นลำดับผู้สืบทอดซึ่งอยู่เหนือล้ำกว่าพวกเราได้จริง ก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่ตั้งของรากฐานที่ลึกล้ำที่สุดของสำนักธาราเทพ สถานที่ลึกลับของสำนักธาราเทพ ที่นั่นไม่เพียงแต่มีวิชาตกทอดของผู้อาวุโสไท่ซ่าง ถึงขั้นที่ว่าหากมีวาสนาและโอกาส อาจโชคดีได้พบกับ…บุรพาจารย์แห่งสำนักธาราเทพ!!”
“จนถึงกระทั่งทุกวันนี้ ลำดับผู้สืบทอดในสถานที่ลึกลับของสำนักธาราเทพมีไม่ถึงยี่สิบคน…พวกเขาต่างหากถึงเป็นเมล็ดพันธ์ที่ช่วยสืบทอดสำนักธาราเทพให้คงอยู่ต่อไปไม่ดับสิ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครก็ตามล้วนเป็นผู้สนับสนุนและให้การประคับประคองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทำให้สำนักธาราเทพของเราแกร่งกร้าวอย่างต่อเนื่อง…พวกเรานั้นหมดหวังแล้ว เป็นได้เพียงแค่ผู้นำพิทักษ์ขุนเขาเท่านั้น ส่วนหลี่ชิงโหว…เขามีหวังมากที่สุด!”
ผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือมองหน้ากันไปมา ต่างก็ปลงตก เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไพล่นึกไปถึงหลี่ชิงโหว
เนิ่นนาน ฝูงชนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ค่อยๆ แยกย้ายกันไป ช่วงเวลาต่อมาตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายในหรือฝ่ายนอกล้วนเงียบสงบกันหมด แต่เวลาเดียวกันนั้น ความน่ากลัวของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือก็ปรากฏออกมาในช่วงเวลานี้เช่นกัน นั่นคือลูกศิษย์แทบทุกคนล้วนเริ่มฝึกบำเพ็ญตบะกันอย่างบ้าคลั่ง
บางทีพวกเขาอาจจะไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศัตรูแล้ว แต่กลับมองเป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องเหนือกว่าให้ได้ พลังที่ระเบิดออกมาเช่นนี้ทำให้ผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือตกตะลึงระคนดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งปี
ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงอยู่ข้างในหอร้อยสัตว์ไม่ได้ออกไปข้างนอก ตลอดทั้งวันหากไม่ได้ฝึกคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร ก็ฝึกวิชาเขตแดนธารา แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกไปสังเกตและศึกษาสัตว์ร้ายทุกตัวของที่แห่งนี้มากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายที่นิสัยอ่อนโยนหรือขี้หงุดหงิด ภายใต้ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ล้วนค่อยๆ สนิทสนมกับเขา และเนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนเตร็ดเตร่อยู่ในผืนป่าแห่งนี้อยู่หลายครั้ง เขาจึงคุ้นเคยดีกับทุกสถานที่
โดยเฉพาะในจุดลึกของผืนป่า ที่นั่นมีร่องน้ำระหว่างภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ดำสนิทเกินจะเปรียบ มองไกลๆ สามารถมองเห็นไอสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยกรุ่นขึ้นมา ที่นี่ก็คือหุบเหวสัตว์โบราณที่มีชื่อเสียงของชายฝั่งทิศเหนือ
เล่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ทอดยาวไปยังใต้ดิน เชื่อมต่อไปถึงสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสัตว์ร้ายมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งปีนั้นเมื่อบุรพาจารย์ของสำนักธาราเทพค้นพบก็ได้จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อปิดผนึกสถานที่แห่งนี้ไว้ชั่วคราว แปลงให้เป็นหนึ่งในรากฐานของสำนัก เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของสัตว์ร้ายทุกตัวที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือใช้ฝึกบำเพ็ญตบะ
เพียงแต่ว่าสถานที่ลึกลับแห่งนี้มีที่มาไม่แน่ชัด เป็นเพียงแค่พื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งหลายหมื่นปีมานี้สำนักธาราเทพขุดค้นเจอ และจำเป็นต้องทำการปิดผนึกทุกๆ หลายร้อยปี ทุกครั้งที่ดำเนินการต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ทรัพยากรอย่างไร้ขีดจำกัดในสถานที่ลึกลับแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ชายฝั่งทิศเหนือค่อยๆ เติบโตโดดเด่นขึ้นมา
ขณะเดียวกัน หุบเหวสัตว์โบราณแห่งนี้ก็เป็นที่อยู่ของสัตว์วิเศษผู้พิทักษ์สำนักธาราเทพ มังกรนิลเขาสวรรค์ ถึงขั้นที่ว่าการดำรงอยู่ของมันเดิมทีก็เป็นส่วนหนึ่งของการปิดผนึก
อาวุธสยบสำนัก กระบี่เขาสวรรค์ไร้เทียมทานที่ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วถึงเก้าครั้งเล่มนั้นก็หล่อหลอมมาจากเขาแท่งหนึ่งที่สัตว์ตัวนี้ลอกคราบออกมาในปีนั้น
ตบะน่าหวาดกลัว แม้แต่เจิ้งหย่วนตงเองหากอยู่เบื้องหน้ามังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนี้ก็ยังต้องเรียกว่าท่านผู้อาวุโส ถึงขั้นที่ว่าปีนั้นที่สำนักธาราเทพเข่นฆ่าจากตอนปลายขึ้นมาสู่ตอนล่าง ได้รับคุณสมบัติในการตั้งสำนัก ก็เรียกได้ว่ามังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนี้มีคุณงามความดีเคียงคู่อยู่กับบุรพาจารย์ของสำนักธาราเทพ
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่นอกร่องน้ำของหุบเหวสัตว์โบราณ ยื่นหน้าลงไปมองอยู่หลายที เขามาที่นี่หลายครั้งแล้ว สำหรับประวัติศาสตร์ของที่แห่งนี้ รวมไปถึงเรื่องราวของมังกรนิลเขาสวรรค์ก็ล้วนได้ทำความเข้าใจผ่านแผ่นหยกกฎระเบียบของชายฝั่งทิศเหนือมาแล้ว
หลังจากโยนยาที่หลอมขึ้นมาเพื่อสัตว์ร้ายโดยเฉพาะลงไปในร่องน้ำกำใหญ่ตามความเคยชินแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมขึ้นมาหนึ่งที ตะโกนเสียงดัง
“ท่านผู้อาวุโสเขาสวรรค์ ผู้น้อยป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่อีกแล้ว ต้องการใช้ธรณีอัคคีเสียหน่อย คือว่า…ค่าใช้จ่ายพวกนั้น ตามกติกาเดิม ข้าใช้ยามาแลกนะขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนยาเสร็จก็ไม่สนใจว่าจะมีเสียงตอบรับหรือไม่ วิ่งเข้าไปในถ้ำหินแห่งหนึ่งข้างร่องน้ำที่ถูกเขาถางทางเอาไว้
หลังจากที่มาเยือนผืนป่าของหอร้อยสัตว์แห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบร่องรอยธรณีอัคคีอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงขุดถ้ำหินนี้ออกมา แล้วก็พบธรณีอัคคีอย่างที่คาด มันจึงกลายมาเป็นห้องหลอมยาของเขาในชายฝั่งทิศเหนือ ยาที่ให้สัตว์ร้ายกินก็หลอมออกมาจากที่แห่งนี้
แต่ว่าเมื่อพิจารณาถึงประวัติศาสตร์ที่อธิบายไว้บนแผ่นหยกกฎระเบียบแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าควรป้องกันเอาไว้ก่อน ดังนั้นทุกครั้งที่มาจึงต้องโยนยากำใหญ่ลงไปที่ร่องน้ำเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
แม้ว่าทุกครั้งหลังจากโยนยาวิเศษลงไปในร่องน้ำแล้วจะไม่เคยมีเสียงตอบรับ และก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ปรากฏออกมา นานวันเข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้ให้ความสนใจอีก แต่ก็ยังคงรักษาความเคยชินนี้เอาไว้
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากในถ้ำหินแห่งนี้ ประกายเฉียบคมในดวงตาของเขาเปล่งแสง สีหน้าภาคภูมิใจ นัยน์ตามีความฮึกเหิม
การหลอมยาครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นมาก ยาวิเศษระดับสามเมื่อมาอยู่ในมือของเขาได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยมที่สุด ตบะของเขาในเวลานี้ในที่สุดก็ไม่ได้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าอีกแล้ว แต่เป็นไต่สูงไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณขั้นเก้า
“ฮ่าๆ อีกไม่นานหรอก ข้าก็จะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่รวมลมปราณขั้นสิบได้ จากนั้นก็สามารถเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นสร้างฐานราก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ตลอดครึ่งปีมานี้วิชาผิวหนังเงินคงกระพันของเขาก็มีพัฒนาไปอีกเล็กน้อย
เวลานี้รู้สึกว่าตบะของตัวเองไม่ธรรมดา ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มทดลองวิชาพลังลมปราณม่วงแปลงกระถาง หลังจากที่กระถางแต่ละใบปรากฏขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบอย่างตกตะลึงระคนดีใจว่า สำหรับวิชาอภินิหารนี้ เขาสามารถเรียกใช้และเก็บเข้าไปตามใจตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ท่ามกลางความปิติยินดี ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวิบวับ เขานึกถึงวิชาหนึ่งที่ครุ่นคิดถึงตลอดเวลา และอาจถือได้ว่าเป็นวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง
“มหาเวทควบคุมคน!” บางทีการรบกับตระกูลลั่วเฉินในปีนั้น พริบตาที่วิกฤติความเป็นความตายมาเยือน ภาพที่วิชาควบคุมนี้เข้าบังคับร่างกายของเฉินเหิงเอาไว้ ได้สร้างตราประทับอันลึกล้ำลงในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงทำให้ตอนนี้เขาอยากจะลองทำดู
ที่นี่แม้ว่าจะไม่มีนักพรตให้เขาใช้ทดลอง แต่สถานที่แห่งนี้คือหอร้อยสัตว์ มีสัตว์ร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน รีบวิ่งออกไปตามหาสัตว์ร้ายในผืนป่า หลังจากหาเจอแล้วก็ร่ายวิชามหาเวทควบคุมคนทันใด
หลายวันต่อมาตลอดทั้งผืนป่าก็โกลาหลกันขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบอย่างจนใจว่ามหาเวทควบคุมคนของตัวเอง ยังคงไม่สามารถควบคุมสัตว์ที่มีขนาดยักษ์ หรือตบะสูงล้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีแค่สัตว์ร้ายที่ตัวเล็กแห้งหรือตบะต่ำกว่ารวมลมปราณขั้นห้าลงไปเท่านั้นถึงจะพอกล้อมแกล้มควบคุมได้
ท่ามกลางความกลัดกลุ้ม ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เชื่อในวิถีทางลัด เขาสรุปรวมวิธีการ ใคร่ครวญเรื่องวิชามหาเวทควบคุมนี้ต่อไป เขาแอบรู้สึกว่าวิชาที่ใช้พลังวิญญาณของตัวเองไปควบคุมร่างกาย ควบคุมปณิธานของอีกฝ่ายประเภทนี้ เหมือนยังขาดอะไรบางอย่าง
และถ้าหาสิ่งที่ขาดหายไปนั้นเจอ บางที…ก็อาจจะทำได้สำเร็จ!
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกมหาเวทควบคุมคนอยู่นั้น ในหุบเหวสัตว์โบราณมีดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่งที่ไม่รู้ว่าเปิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มองจากที่ไกลๆ ไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งอยู่ในป่า มองมหาเวทควบคุมคนของเขา ส่วนลึกในดวงตาแฝงเร้นไปด้วยความประหลาดใจ
“ควบคุมคน…ปีนั้นเจ้าคนประหลาดหันจงก็เคยมีความคิดนี้” ในหุบเหวสัตว์โบราณมีเสียงเบาๆ ที่มากไปด้วยความโชกโชนดังลอยมา
———-