Skip to content

A Will Eternal 1255

บทที่ 1255 ศึกแห่งบุพกาล

แสงแห่งบุพกาลสามร้อยหกสิบเอ็ดเส้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ สร้างความผวาพรั่นพรึงให้แก่ผู้คน ทุกคนที่มองเห็น ไม่มีใครที่สมองไม่เกิดเสียงดังอึงอล ทั้งยังทำให้ในใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เคยคาดเดาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงแห่งบุพกาลกี่เส้นกันแน่เกิดคลื่นยักษ์โถมเทียมฟ้า

“ไม่นึก…ไม่นึกเลยว่าจะมีมากขนาดนี้!!”

“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร สวรรค์ ทั้งหมดสามร้อยกว่าเส้น ตอนนี้มาลองดูๆ แล้ว หากไม่เป็นเพราะจักรพรรดิขุยแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ก็ต้องเป็นเพราะ…ในอดีตปีนั้นเขายังไม่ถูกบีบจนถึงขั้นที่ต้องเปิดเผยท่าไม้ตาย!”

ขณะเดียวกันกับที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนในราชวงศ์จักรพรรดิแสตะลึงลาน

เทียนจุนและจักรพรรดิเซิ่งที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านอำนาจจิตที่อยู่ห่างไปไกลเช่นกัน พวกเขาแต่ละคนหายใจติดขัด จิตใจสะท้านพรั่นผวา โดยเฉพาะจักรพรรดิเซิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าแสงแห่งบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนจะมากขนาดนั้น สามร้อยกว่าเส้นนี้เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินมากพออยู่แล้ว ซึ่งต่อให้เป็นเขาเองก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าหากเจอกับการสังหารจากแสงแห่งบุพกาลสามร้อยกว่าเส้นนี้จะถอยออกมาได้อย่างเต็มตัว

ขณะเดียวกันเขาเองก็ตะลึงไปกับพลังการต่อสู้ที่จักรพรรดิแสแสดงออกเหมือนกัน เพราะดูเหมือนว่าจักรพรรดิแสในเวลานี้จะแข็งแกร่งเกินกว่าที่จักรพรรดิเซิ่งเคยเห็นมากมายหลายเท่านัก โดยเฉพาะผลึกจักรพรรดิแส เวทคาถาที่เหมือนว่าจะสามารถต้านทานทุกวิชาอภินิหารในขอบเขตบุพกาลได้เช่นนั้น จักรพรรดิเซิ่งลองย้อนถามตัวเอง เขาก็รู้ดีว่าเว้นเสียจากจะยอมจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย หาไม่แล้วก็ยากที่เขาจะเขย่าคลอนมันได้

และหากเขายอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลที่ว่านั้น ต่อให้ทำลายผลึกจักรพรรดิแสลงได้ เกรงว่าตัวเขาเองก็คงถูกพลังสะท้อนกลับทำให้บาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“เหตุใดจู่ๆ พวกเขาสองคน…ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่งมากมายเพียงนี้!!” ในใจของจักรพรรดิเซิ่งสัมผัสได้ถึงวิกฤตร้ายแรงขุมหนึ่ง ขณะเดียวกันจักรพรรดิแสที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็มิอาจสงบใจลงได้เช่นกัน ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง สายตาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง

เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าแสงแห่งบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนจะมากมายจนน่าโมโหขนาดนี้ นี่คือเรื่องที่จักรพรรดิแสคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทว่ามันกลับปรากฏขึ้นตรงหน้าเขานี่แล้ว

“เขาน่าจะไม่มีแสงแห่งบุพกาลอีกแล้ว!” ดวงตาของจักรพรรดิแสเป็นประกายวาบ เดิมทีเขาแค่อยากจะหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของป๋ายเสี่ยวฉุนดูเท่านั้น ทว่าตอนนี้ผลลัพธ์ของการหยั่งเชิงกลับทำให้จิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในใจของเขายิ่งปะทุดุเดือด ในสายตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่มีแสงแห่งบุพกาล คิดจะสังหารก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ!

ส่วนตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น เขาก็คิดว่ายังคงเป็นแค่เทียนจุนเท่านั้น เพราะเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนข่มตบะของตัวเองเอาไว้ บวกกับที่มีพลังของต้นกำเนิดแห่งเวลาส่วนหนึ่งช่วยเสริม ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ในเวลาสั้นๆ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจดีว่าหากเวลานานเข้า อีกฝ่ายต้องมองสายสนกลในออกแน่นอน

แต่เขาก็ไม่สนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้คิดจะอำพรางไปตลอด ที่ยังข่มระงับเอาไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้การเปิดเผยก่อนเวลาทำให้เสียโอกาสในการชิงลงมือก่อนเท่านั้น เขาวางแผนไว้ว่าเมื่อมองความคิดทุกอย่างของจักรพรรดิแสออกอย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อไหร่ก็จะระเบิดตบะออกมาจู่โจมอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วฉับไวเพื่อพลิกกลับสถานการณ์

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าผู้เป็นจักรพรรดิขอเดิมพันว่าเจ้าไม่มีแสงแห่งบุพกาลเหลืออีกแล้ว!” จักรพรรดิแสแหงนหน้าแผดเสียงคำราม แล้วพลันยกมือขวาขึ้น แม้จะไม่มีผลึกจักรพรรดิแสแล้ว ทว่าจักรพรรดิแสกลับยังมีท่าไม้ตายอีกมากมาย จะอย่างไรซะเขาก็สั่งสมพลังอยู่มานานหลายปี ซ้ำสถานที่แห่งนี้ยังเป็นนครจักรพรรดิแส รากฐานของราชวงศ์จักรพรรดิแสอยู่ที่นี่ เมื่อยกมือขวาขึ้นทำมุทรา เขาจึงชี้ลงไปยังนครจักรพรรดิแสที่อยู่ด้านล่างทันที!

ทันใดนั้นมังกรที่กระดูกขดตัวอยู่บนตรีศูลยักษ์ซึ่งคล้ายจะไม่ได้ขยับเขยื้อนมานานหลายพันหลายหมื่นปีก็พลันสั่นสะท้าน ตำแหน่งดวงตาทั้งคู่บนศีรษะอันเป็นที่ตั้งของวังหลวงมีเปลวเพลิงสีดำสองกองปรากฏพรึ่บขึ้นมา

เมื่อเปลวเพลิงปรากฏ ปราณน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารของกระดูกมังกรตัวนั้น วินาทีที่พลังอำนาจท่วมเทียมฟ้าของมันระเบิดปะทุ ท้องนภาก็พลันเปลี่ยนสี ก้อนเมฆถูกลมพัดกระโชกให้สลายตัวออกจากกัน รอบด้านก็ยิ่งมีพายุเป็นชั้นๆ หมุนคว้างส่งเสียงอื้ออึงไปแปดทิศ เพียงเรือนกายมังกรกระดูกโยกไหวก็ส่งแรงสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

มังกรกระดูกนี้ตัวใหญ่เกินไป สามารถพูดได้ว่ามันก็คือสถานที่ตั้งอันเป็นรากฐานของนครจักรพรรดิแส ตลอดทั้งนครจักรพรรดิแสล้วนสร้างไว้บนร่างของมัน และพอแรงสะเทือนแผ่ออกไป สิ่งปลูกสร้างในนครจักรพรรดิแสก็พังครืนลงมาเป็นแถบๆ นักพรตของนครจักรพรรดิแสจำนวนนับไม่ถ้วนไร้เรี่ยวแรงให้ต้านทาน พริบตาเดียวก็ถูกแรงสั่นกระเทือนจนกระดอนออกมาจากในร่างของมังกรกระดูก!

นักพรตหลายล้านคนในนครจักรพรรดิแสพากันร้องอุทานแตกตื่น แต่ละคนที่อกสั่นขวัญผวาถูกเหวี่ยงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และมังกรกระดูกนี้ก็พลันเงยหน้าขึ้นแผดเสียงร้องคำรามดังสะเทือนแก้วหู จากนั้นมันก็ขยับร่างบินพรวดจากตรีศูลทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!

เรือนกายของมันใหญ่โตเกินไป พลังอำนาจของมันแข็งแกร่งเกินไป โดยเฉพาะวังหลวงตรงหัวของมันที่ไม่ได้พังทลาย เมื่อมองไกลๆ จึงเหมือนว่ามันกำลังสวมมงกุฎจักรพรรดิ ราวกับว่ามังกรกระดูกตัวนี้ก็คือมังกรจักรพรรดิ!!

หน้าตาท่าทางดุดัน กลิ่นอายแห่งความตายท่วมเทียมฟ้า เปลวเพลิงสีดำในดวงตาฉายความเย็นชาและอำมหิต พอบินขึ้นมาอยู่กลางอากาศ ภายใต้การจับตามองด้วยความตะลึงลานของทุกคนรอบด้าน ท่ามกลางการทำมุทราควบคุมของจักรพรรดิแส มังกรกระดูกตัวนี้ก็ร้องคำรามแล้วกระโจนพรวดเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ร่างของมันผ่านที่ใด ความว่างเปล่าของที่นั้นก็พังทลายคล้ายมิอาจแบกรับพลานุภาพสยบที่มาจากร่างของมังกรกระดูกตัวนี้ได้!

“มังกรบุพกาล!” ม่านตาป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว

ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างมังกรกระดูกตัวนี้ก็คือขอบเขตบุพกาล เห็นได้ชัดว่านี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของจักรพรรดิแส ตอนนี้เพื่อสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายถึงขนาดไม่เสียดายที่ต้องทำลายนครจักรพรรดิแสทิ้ง!

หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตบุพกาล แล้วถ้าต้องเผชิญหน้ากับมังกรบุพกาลตัวนี้โดยที่ไม่เหลือแสงแห่งบุพกาลอีกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคงไม่มีทางต้านทานได้ คงได้แต่เผ่นหนีไปสุดกำลัง ทว่าเขาในเวลานี้ แม้ลมหายใจจะถี่กระชั้น แต่กลับไร้ซึ่งความคิดจะถอยหนี กลับกลายเป็นว่าดวงตาแผ่แววประหลาด และวินาทีที่มังกรบุพกาลตัวนั้นร้องคำราม มือทั้งคู่ของเขากลับยกขึ้นทำมุทราแล้วชี้ไปพร้อมกับเอ่ยเบาๆ

“คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีต!”

ชั่วขณะที่ปากของป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเอ่ยคำ ทันใดนั้นปราณขุมหนึ่งที่มหัศจรรย์ลี้ลับเกินกว่าจะบรรยายก็แผ่ซัดออกมาจากมือทั้งคู่ของเขา พอปราณที่ลี้ลับนี้ปรากฏ จักรพรรดิแสก็พลันหน้าเปลี่ยนสี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้เวทลับอันลี้ลับนี้ ทว่ามาคราวนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม

และในขณะที่จักรพรรดิแสหน้าเปลี่ยนสี มังกรกระดูกที่ร้องคำรามก็พลันตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่บนร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารของมันจะมีอักขระจำนวนมากปรากฎขึ้นมา เพียงเสี้ยววินาทีอักขระพวกนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นแน่นขนัดเต็มพรืด พริบตาเดียวก็แผ่ลามไปทั่วร่างของมัน มองไกลๆ อักขระเหล่านี้มีจำนวนมากจนมิอาจนับคำนวณได้ อีกทั้งพวกมันยังเหมือนจะก่อตัวกลายมาเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่กักมังกรบุพกาลตัวนี้ไว้ภายในอย่างแน่นหนา!

ไม่ว่าอักขระตัวใดก็ตามที่ก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายยักษ์นี้ต่างก็เหมือนจะเป็นตัวแทนของความทรงจำช่วงหนึ่ง หากจ้องมองนานสักหน่อยก็จะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่มังกรกระดูกตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้จากอักขระพวกนั้น!

นี่ก็คือ…คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีต หนึ่งในสามวิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ของบทจากโบราณกาลของป๋ายเสี่ยวฉุน ในอดีตเนื่องจากขีดจำกัดทางตบะ จึงยากที่เขาจะร่ายพลังที่แท้จริงของสามวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เหล่านี้ออกมาได้

ทว่าวันนี้อุปสรรคที่กีดขวางไม่เหลืออยู่แล้ว ดังนั้นคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตที่ถูกร่ายออกมาจากน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงระเบิดพลังการปิดผนึกที่แท้จริงของมันออกมา!!

ใช้ความทรงจำของมังกรกระดูกมาจำแลงเป็นอักขระ และระหว่างมังกรกระดูกกับอักขระทุกตัวก็มีความสัมพันธ์แน่นหนาที่มิอาจตัดขาด จึงสามารถอาศัยความสัมพันธ์เหล่านี้มาผนึกร่างของมันเอง!!

“ผนึก!” เมื่อน้ำเสียงเยียบเย็นของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ระหว่างฟ้าดินก็คล้ายจะมีลมเย็นเฉียบพัดวูบ มังกรกระดูกที่ถูกตาข่ายอักขระปกคลุมร่างแผดเสียงร้องคำรามแหบโหย ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ว่าก่อนหน้านี้มันจะมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามสะท้านฟ้าดินแค่ไหน แต่มาบัดนี้ เมื่อตาข่ายอักขระที่ปกคลุมอยู่รอบกายหดสวบเข้ามา มันก็มิอาจสลัดได้หลุด ได้แต่ถูกตาข่ายยักษ์ที่เกิดจากการก่อตัวของอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนบีบอัดผนึกร่างเข้ามาเป็นก้อนกลมๆ ขนาดยักษ์ภายใต้อาการปากอ้าตาค้างและสมองส่งเสียงดังอึงอลของนักพรตเหลือคณานับของนครจักรพรรดิแส!

เมื่อการผนึกสำเร็จเสร็จสิ้นลง เสียงกัมปนาทดังตูมก็ดังก้องกังวานไปไกลพร้อมๆ กับที่ก้อนกลมการผนึกส่งประกายแสงหลากสี ครั้นแล้วจึงร่วงลงจากกลางอากาศลงมากระแทกบนพื้นดินแล้วแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น

“สวรรค์ จักรพรรดิขุยถึงขนาดผนึกร่างมังกรกระดูกได้เลยหรือนี่!!”

“นี่…นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!!” เสียงร้องอุทานแตกตื่นของคนนับไม่ถ้วนพลันระเบิดเซ็งแซ่จากรอบด้าน ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังหายใจติดขัด หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหรี่ตาลง

“เจ้าไม่ใช่เทียนจุน!! แต่เจ้าก็ไม่มีทางเป็นบุพกาล…” และวินาทีที่ประโยคนี้หลุดจากปากของจักรพรรดิแสนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้าแล้วระเบิดปราณออกมาอย่างไม่กักเก็บ ตบะบุพกาลซัดครืนครั่นเกรียงไกรจนฟ้าดินสั่นสะเทือน ก่อนที่ปราณนั้นจะกลายมาเป็นพายุหมุนที่ทำให้เสียงของคนมากมายขาดหายไปกลางคัน ครั้นแล้วร่างทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นเหมือนลูกธนูที่ปล่อยออกจากแล่งซึ่งพุ่งฉิวลอดทะลวงความว่างเปล่าตรงเข้าหาจักรพรรดิแส!!

เสียงตูมตามสะเทือนไปยันชั้นฟ้า เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ คนทั้งสองก็ประมือกันแล้วหลายร้อยกว่ากระบวนท่า เป็นเหตุให้แปดทิศสั่นคลอน ความว่างเปล่าพังทลาย จักรพรรดิเซิ่งที่อยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งก็ยิ่งเบิกตากว้าง ในหัวใจมีคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ!

“เขาเลื่อนขั้นเป็นบุพกาลแล้วหรือนี่? นี่มันเป็นไปไม่ได้!! มารดาแห่งนิรันดร์กาลหลับสนิท ใครก็ตามที่ได้รับการยอมรับจากนางว่าเป็นบุพกาล เสียงของนางจะต้องประกาศนามของคนผู้นั้นดังก้องไปทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version