Skip to content

A Will Eternal 1269

บทที่ 1269 กลับบ้าน

พละกำลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากเกินไป โดยเฉพาะเวลานี้ที่เขาระเบิดพลังเต็มที่ ทั้งยังใช้มือขวาที่มีปราณของผู้บงการมาออกแรงกระชาก ทันใดนั้นเยื่อบางชั้นนั้นก็พลันปริขาด ส่วนเงาปีศาจบุพกาลตนนี้ก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากแขนจนถลาหน้าทิ่มออกมาจากในประตูหิน

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนเกินจินตนาการของเงาปีศาจบุพกาล เป็นเหตุให้มันยังไม่ทันตั้งตัวได้ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว

เงาปีศาจบุพกาลตนนี้มองดูแล้วน่าจะเป็นชายวัยกลางคน ผมเผ้าของมันยุ่งเหยิง เวลานี้กำลังมองเหม่อมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็หันหน้ากลับไปมองเยื่อบางที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากจนขาดตามจิตใต้สำนึก แม้ว่ามันจะเป็นร่างวิญญาณ ไม่มีทางที่จะเหงื่อแตกได้ ทว่าบัดนี้มันกลับยังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวราวกับเหงื่อเย็นๆ แตกท่วมร่าง

มันรู้อย่างชัดเจนดีว่าเยื่อบางชั้นนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ก่อนหน้านี้มันดิ้นรนอยู่นานมากก็ยังไม่สามารถแหวกออกมาได้ ทว่าไอ้คนตรงหน้าที่หน้าตาผิวพรรณขาวนุ่มเนียนมองดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้กลับฉีกจนขาดเพียงแค่การกระชากครั้งเดียว…

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือเวลานี้ไม่มีประตูหินขัดขวาง ไม่มีเยื่อบางกางกั้น มันจึงสัมผัสได้ถึงปราณที่ทำให้มันตัวสั่นซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างชัดเจน

“คือว่า…ผู้อาวุโส นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่นอน…” เงาปีศาจบุพกาลตนนี้ตัวสั่นเยือก จำต้องรีบเอ่ยอธิบาย

“เอ๊ะ วิญญาณน้อยอย่างเจ้านี่พิเศษมากเลยนี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนอุทานแปลกใจ ก่อนจะเริ่มพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียด

“เข้าใจผิดกันแท้ๆ ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะ ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ…”

เงาปีศาจบุพกาลพูดมาถึงตรงนี้ก็รีบทำท่าจะหนีกลับเข้าไปในประตูหิน แต่ไม่ว่ามันจะรวดเร็วแค่ไหน กระนั้นพุ่งออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็จำต้องหยุดชะงัก เพราะว่ามือข้างนั้นของมันยังคงถูกกำอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมองมายังตนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ใบหน้าของเงาปีศาจบุพกาลก็พลันบูดเบี้ยว เริ่มร้องคร่ำครวญเสียงสะอื้น

“เข้าใจผิดกันจริงๆ นะ เมื่อ…เมื่อครู่นี้ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ข้า…”

“รีบร้อนไปไหนเล่า ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีวาสนาต้องกันกับข้า เวลาที่เจ้าพูดก็มีลักษณะคล้ายๆ ข้าเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่ง ก่อนจะกระตุกมือขวากระชากวิญญาณตนนี้กลับมา ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นสีหน้าของเงาปีศาจบุพกาลก็พลันฉายความดุดัน ซ้ำยังแสยะปากกางเล็บกระโจนเข้าใส่เขา

พลังอำนาจของมันก็ยิ่งระเบิดปะทุจนเทียบเคียงได้กับผู้แข็งแกร่งบุพกาล เมื่อลงมือในระยะประชิดเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นจักรพรรดิเซิ่งคงมีสภาพกระเซอะกระเซิงไม่น้อย ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว สิ่งที่เขาไม่กลัวมากที่สุดก็คือการต่อสู้ประชิดตัวนี่แหละ

“โอ๊ะโอ กล้าเอาคืนข้าด้วยรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วหยิบเอาไฟหลายสีกองหนึ่งออกมาวางไว้กลางฝ่ามือ ก่อนจะตบใส่อีกฝ่ายอย่างแรง เสียงร้องโหยหวนพลันดังออกมาจากปากของเงาปีศาจบุพกาลตนนี้ น้ำเสียงนั้นเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีด

นั่นเป็นเพราะวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนทำลายร่างวิญญาณของมันอย่างรุนแรง เพราะอย่างไรซะเดิมทีไฟหลายสีก็หลอมขึ้นมาจากวิญญาณอยู่แล้ว มันจึงเป็นพลังกำราบต่อดวงวิญญาณในระดับขั้นที่เกินคำจะบรรยาย เสียงร้องโหยหวนของมันไม่ได้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดมือ เพราะเขาโมโหขึ้นมาซะแล้ว รู้สึกว่าเงาปีศาจบุพกาลตนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป จึงรีบปรี่ขึ้นหน้าไปซ้อมอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด

ไม่นานเสียงร้องที่แฝงไว้ด้วยคำวิงวอนของเงาปีศาจบุพกาลก็ดังออกมาไม่หยุด

“ผู้อาวุโสข้าผิดไปแล้ว…โอ๊ย อย่าตีข้าอีกเลย…”

“ข้าผิดไปแล้วจริงๆ …”

“ข้าจะกลับไป ข้าจะกลับบ้าน…” มาถึงท้ายที่สุดเสียงร้องโหยหวนของเงาปีศาจบุพกาลก็เริ่มแผ่วระโหย ร่างทั้งร่างที่เป็นดวงวิญญาณพร่าเลือนเจือจางอย่างถึงที่สุด รีบฉวยโอกาสตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายมือพยายามตะเกียกตะกายคลานกลับเข้าไปยังประตูหินที่อยู่ห่างไปไกล แต่มันเพิ่งคลานมาได้แค่ครึ่งทางก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากขากลับไปอีก

“อย่าหนีสิ ข้าจะตีเจ้าล่ะนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาขึงขัง กดไฟหลายสีที่อยู่บนมือขวาลงไปบนพื้นดิน ทันใดนั้นรอบด้านก็อบอวลไปด้วยทะเลเพลิงที่แผ่ไปทั่วเขตอาคม เงาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในพากันร้องโหยหวนก่อนชีวิตจะดับสิ้น

“ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากลับบ้านเถอะ…ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ …” เงาปีศาจบุพกาลที่พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ตกใจจนตัวสั่นหนักกว่าเดิม ขณะที่มันร้องคร่ำครวญสะอึกสะอื้น เท้าขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรง

ทันใดนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนเลือนลั่น มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเขตอาคมที่อยู่รอบด้านเริ่มพังทลาย ที่พังลงมาก่อนคือพื้นที่รอบด้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยภูเขาไฟ สุดท้ายถึงจะเป็นประตูหินบานนั้น เมื่อเห็นว่าประตูหินสั่นสะเทือน เงาปีศาจบุพกาลก็พยายามดิ้นรนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันรอให้มันมุดเข้าไปในประตูหินก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากกลับออกมาอีก

“ยังจะหนีอีกหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาทำหน้าถมึงทึง

เงาปีศาจบุพกาลตกใจจนตัวสั่น ก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น กลับกลายเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต้องอึ้งค้างเสียเอง และพอพินิจมองเงาปีศาจบุพกาลนี้อย่างละเอียดเขาก็รู้สึกว่านี่คือวิญญาณตัวอย่างที่ไม่เลวมากๆ ดังนั้นจึงสะบัดปลายแขนเสื้อเก็บเอาเงาปีศาจตนนี้ไป และเมื่อทะเลเพลิงบนพื้นดินคุโชนลุกลามไม่หยุด เมื่อเขตอาคมพังทลาย ไม่นานท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากแปดทิศ ประตูหินก็ปริแตก ภูเขาไฟระเบิดกระจาย เขตอาคมพังภินท์…กลายเป็นเพียงเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อย

และเมื่อเขตอาคมที่ใหญ่ที่สุดนี้หายไป เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโดดผลุงออกมา ในอำนาจจิตของเขาที่กวาดไปตรวจสอบก็เห็นว่าเขตอาคมนับร้อยแห่งที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บัดนี้เป็นเหมือนฟองอากาศใหญ่ยักษ์ที่ปูดนูนขึ้นสูง

หากนำดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมาเปรียบเทียบเป็นคนคนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นฟองอากาศเหล่านี้ก็เป็นเหมือนก้อนเนื้อร้ายน่าขยะแขยง ซึ่งต่อให้จะสามารถตัดก้อนเนื้อร้ายทิ้งไปได้ แต่จุดที่เคยถูกรุกรานมาก่อนก็เน่าเละไปแล้วจนไม่อาจมีเนื้องอกออกมาได้อีก

สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น่ามองนัก เขาสะบัดร่างตรงดิ่งไปยังเขตพื้นที่ของราชวงศ์จักรพรรดิขุย เพราะต่อให้จะช่วยเหลือ แต่สิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็ยังคงเป็นราชวงศ์จักรพรรดิขุย และเมื่อความเร็วของเขาระเบิดออก พริบตาเดียวเขาก็ขยับเข้ามาใกล้เขตอาคมอีกแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วจึงเหยียบพรวดเข้าไป ยารวมวิญญาณระเบิดแตก ทะเลเพลิงแผ่ลุกลาม ผ่านไปไม่นานนัก เขตอาคมแห่งนี้ก็พังทลายลงไปโดยตรง

ยังไม่หยุดพัก ป๋ายเสี่ยวฉุนตรงดิ่งไปยังจุดต่อไป แล้วก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้การบุกราบกวาดตะลุยของเขา เขตอาคมเกินครึ่งของราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็ถูกเขาทำลายทิ้งไปหมด ส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ไม่มากก็ได้พวกต้าเทียนซือ กงซุนหว่านเอ๋อร์เป็นคนจัดการ

หลังจากนั้นทุกคนก็ยังไม่ได้หยุดพัก เพราะพวกเขาต้องเข้าไปในเขตพื้นที่ของราชวงศ์จักรพรรดิแสแล้วลงมือต่อเนื่องฉับไว ส่วนทางฝ่ายของจักรพรรดิเซิ่งก็ทำลายเขตอาคมได้ในเวลาไม่นานเช่นกัน เวลาเกือบครึ่งวันหมดลงกับการจัดการเรื่องนี้ ในที่สุดเมื่ออยู่ภายใต้การลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิเซิ่งและทาสบุพกาลสองคนของเขา เขตอาคมอันเป็นเนื้อร้ายที่อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ล้วนถูกลบทิ้งไปทั้งหมด

เพียงแต่ว่ายามที่ทอดสายตามองไป ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเขตที่ถูกรุกรานกลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อนับร้อยนับพัน ราวกับว่าสูญเสียพลังแห่งชีวิตไปบางส่วน ขณะเดียวกันร่างกายของผู้บงการนี่ฝานบนท้องฟ้าที่มองดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างจากก่อนหน้านี้ แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าบนผิวหนังตรงหน้าผากของเขามีพื้นที่แถบหนึ่งที่เหมือนจะส่องแสงอ่อนจางออกมา!

เนิ่นนานกว่าที่จักรพรรดิเซิ่งจะถอนสายตากลับคืน เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็กุมมือโค้งคำนับต่ำๆ

“จักรพรรดิขุย ข้าคงต้องขอตัวกลับไปปลอบใจผู้คนที่ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งเสียก่อน จากนั้นจะไปเยี่ยมหาที่ราชวงศ์จักรพรรดิขุยเพื่อปรึกษากลยุทธิ์อันดับต่อไป” น้ำเสียงของจักรพรรดิเซิ่งเต็มไปด้วยความจริงใจ แล้วก็มากด้วยความเกรงใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเช่นกัน หลังจากเอ่ยลากับจักรพรรดิเซิ่งแล้ว เขาก็ยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง เงยหน้ามองผู้บงการนี่ฝานบนท้องฟ้า ประสบการณ์ทุกอย่างที่พบเจอนับตั้งแต่กลับมาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกดดันอย่างถึงที่สุด

ราวกับว่าเหนือศีรษะมีกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งลอยอยู่ และกระบี่เล่มนี้ก็อาจตวัดฟันลงมาได้ทุกเมื่อโดยที่เขามิอาจขัดขวาง ยิ่งไม่อาจต้านทาน…

“ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเซิ่งบอกว่าการผนึกครั้งนี้มากสุดก็ประมาณสามสิบปี แต่ตอนนี้มาดูๆ แล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงสามสิบปีแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าผู้บงการนี่ฝานอาจฟื้นตื่นได้ทุกเมื่อ วิกฤตความเป็นความตายที่สัมผัสได้รุนแรงอย่างมาก ความไม่เป็นสุขเช่นนั้นทำให้เขาเกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างห้ามไม่ได้

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถแสดงความหงุดหงิดออกมาได้ กลับกันคือยังต้องไปปลอบใจชาวประชาทุกคนของราชวงศ์จักรพรรดิขุย โดยเฉพาะญาติมิตรที่อยู่ใกล้ชิดกับตนก็ยิ่งต้องทำเช่นนี้

“หากมีวันที่ต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ …ข้าก็คงได้แต่ใช้พัดวิเศษพาทุกคนหนีไปให้ได้มากที่สุดเท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ

กระนั้นเขาก็เข้าใจดีว่าอันที่จริงต่อให้พาคนเข้าไปอยู่ในพัดวิเศษก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน เพราะอย่างไรซะที่พัดวิเศษยังคงดำรงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะนี่ฝานถูกปิดผนึก และหากนี่ฝานฟื้นตื่นเมื่อไหร่ การที่เขาคิดจะตามหาพัดวิเศษในห้วงจักรวาลแล้วทำลายมันทิ้ง…ก็ง่ายดายเพียงแค่ยกฝ่ามือ

ท่ามกลางความเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งกดดันและหนักใจ เขาถอนสายตากลับคืนมาเงียบๆ แล้วจึงบินไปยังราชวงศ์จักรพรรดิขุย เมื่อเขากลับมาถึงวังหลวงของนครจักรพรรดิขุย เขาก็มองเห็นว่านอกจากพวกต้าเทียนซือแล้วยังมีเหล่าเทียนจุนของนครจักรพรรดิแสที่พากันมาที่นี่ พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนคนเหล่านั้นก็พากันก้มหน้าคารวะ การที่พวกเขามีท่าทีเช่นนี้เป็นเพราะว่าถึงแม้พวกเขาจะรู้ความจริงน้อยกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่ง แต่กลับเข้าใจเหตุการณ์ได้ดีเหนือกว่านักพรตทั่วไปมากนัก และยิ่งเข้าใจวิกฤตเป็นตายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งฝากความหวังไว้ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมากเท่านั้น การมาคำนับในวันนี้จึงถือว่าเป็นการยอมสวามิภักดิ์และขอพึ่งพา

ส่วนราชาผียักษ์ก็ยิ่งถูกพวกเขานำมาส่งกลับคืนด้วยวิธีที่เหมาะสมดีงาม และตัวราชาผียักษ์เองก็ตื่นนานแล้ว หลังจากรู้ว่าเรื่องของตนเป็นชนวนที่จุดระเบิดเรื่องผู้บงการยักษ์บนท้องฟ้า ราชาผียักษ์ก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจไม่หยุด

ในวังหลวง ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบขรึม คนอื่นๆ ก็ตึงเครียด ไม่มีใครเอ่ยอะไร เป็นเหตุให้ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด โจวจื่อโม่ ซ่งจวินหว่านรวมถึงโหวเสี่ยวเม่ยที่ท้องโตแล้วต่างก็หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่กลับคืนมาด้วยความเป็นกังวล

“ไม่เป็นไร ทุกคนไม่ต้องกังวล…” เนิ่นนานต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ อย่างผ่อนคลายพลางเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version