Skip to content

A Will Eternal 133

บทที่ 133 เจ้าตัวน้อย ไม่ต้องลองแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปดู นอกค่ายกลของหอเรือน สุนัขใหญ่สีดำตัวนั้นกำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางลำพองใจ ใต้อุ้งเล็บของมันก็คือแมวดำตามรกตที่ระวังตัวอย่างถึงที่สุดตัวนั้น เพียงแต่ว่ายามนี้แมวตัวนี้เซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา

เจ้าสุนัขพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งคึกคะนองมากขึ้น เห่าเสียงดังขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเปิดค่ายกลออกทันที พอค่ายกลเปิดออกปุ๊บ เจ้าสุนัขก็ตรงดิ่งเข้าไปหาดอกกำเนิดสัตว์ปั๊บ

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ รู้สึกว่าโลกมายาของสุนัขใหญ่สีดำตัวนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ หรือไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแมวสีดำตามรกต เห็นว่าสัตว์รบตัวนี้แค่หมดเรี่ยวหมดแรงเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงหิ้วมันขึ้นมาเอาเดินกลับไปที่หลังหอเรือน

รออยู่เนิ่นนาน…จนกระทั่งเจ้าสุนัขกระโดดเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์เป็นครั้งที่สิบจึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับโยนออกไปข้างนอก ตอนนี้เขาเป็นกังวลอย่างมาก กลัวว่าหากสุนัขใหญ่สีดำตัวนี้มอบเลือดแห่งชีวิตบ่อยขนาดนี้ แผนการสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง สุดท้ายแล้วเมล็ดกำเนิดสัตว์จะคลอดออกมาเป็น…แค่หมาน้อยสีดำตัวหนึ่ง

พอนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เครียดขึ้นมาทันที ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ให้สุนัขใหญ่สีดำอุทิศตัวต่อไปอีกแล้ว รีบโยนแมวดำตามรกตที่อยู่ในมือเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์ทันใด

ครึ่งเดือนต่อมา คล้ายว่าเจ้าสุนัขจะเข้าใจกติกาดี ดังนั้นมันจะลากสัตว์รบตัวหนึ่งที่เซื่องซึมอย่างมากมาให้วันเว้นวัน เห่าเรียกอยู่สองสามที รอจนป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดประตูก็จะรีบบุกเข้าไปด้วยความคุ้นเคยทันที

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยากจะปฏิเสธเจ้าสุนัขใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งพอเห็นสัตว์ร้ายแต่ละตัวที่มันพามาด้วยก็ต้องใจสั่นสะท้านเสียทุกที

“เจ้าหมาดำตัวใหญ่นี้ช่างฉลาดนัก มันรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์พวกนี้ล้วนเป็นสัตว์ที่ข้าอยากได้ แต่สัตว์พวกนี้ถ้าไม่ถูกเจ้านายจับตามองอย่างเข้มงวด ก็เก็บไว้ในถุงเก็บสัตว์ หรือไม่ก็อยู่ในถ้ำของฝ่ายใน” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจปฏิเสธได้ เจ้าสุนัขใหญ่ตัวนี้ราวกับจับความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างแม่นยำ ทุกครั้งที่พาสัตว์มาล้วนเป็นสัตว์รบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยให้ความสนใจ ถึงขั้นที่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมันยังดันลากเอาสัตว์รบของผู้อาวุโสเขารั่วรื่อมาให้เขาด้วย

“สมควรตายเอ๊ย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าเจ้าหมานี่แอบตามข้ามานานแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจทันทีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นไปได้เพียงข้อนี้ข้อเดียว

ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจัง ผินหน้าไปมองสุนัขใหญ่สีดำที่นอนนิ่งอยู่ในดอกกำเนิดสัตว์ทีหนึ่ง รู้สึกว่าสัตว์รัตติกาลตัวนี้ไม่เพียงแต่ฉลาดมาก อีกทั้งพละกำลังยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงไม่สามารถเอาชนะสัตว์รบพวกนั้นแล้วลากตัวมาที่นี่ได้

“ช่างเถอะๆ เจ้านี่ก็เป็นสัตว์ที่น่าสงสารตัวหนึ่ง ยังไงซะก็เป็นข้าที่ทำให้มันเดือดร้อนก่อนหน้านี้ หากทุกครั้งล้วนสามารถพาสัตว์รบแบบนี้มาได้ก็ให้มันอุทิศตัวหลายครั้งหน่อยแล้วกัน เพียงแต่ที่ข้าไม่ให้มันทำต่อก็เพราะหวังดีกับมัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ไม่สนใจเจ้าสุนัขใหญ่สีดำอีก แต่กลอกตาหนึ่งทีมองไปยังยอดเขาทั้งสี่

“ข้าต้องการสัตว์รบที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร…สัตว์พิทักษ์ภูเขาของยอดเขาทั้งสี่น่าจะดีที่สุดแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก รีบออกไปจากหอเรือนทันที ตรงไปหลอมยาในถ้ำที่หุบเหวสัตว์โบราณ

ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนไม่น้อยก็ล้วนรู้สึกไม่ชอบมาพากล สังเกตสัตว์รบของตัวเอง แต่ละตัวล้วนทำท่าทางแปลกประหลาด ตอนกลางคืนมักจะเปล่งเสียงร้องราวกับกำลังเรียกหาใคร

โดยเฉพาะแมวดำตามรกตตัวนั้นที่ยิ่งร้องเสียงแหลม นัยน์ตาเผยแววหวนระลึกถึงบางอย่างอยู่ตลอดเวลา คล้ายว่าในโลกแห่งมายาใบนั้น มันได้กลายเป็นราชาของร้อยสัตว์ อยู่เหนือผู้ใด แม้แต่เสียงร้องก็ยังแฝงไปด้วยความฮึกเหิมเผด็จการดังไปทั่วสี่ทิศ ทำให้ทุกคนพักผ่อนกันได้ไม่เต็มที่ เจ้านายของแมวดำตัวนี้ก็ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าสัตว์รบของตัวเองเป็นอะไรไป

อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสำนัก…

ไม่นาน ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือก็เริ่มสืบหาสาเหตุ…

หลายวันต่อมาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากถ้ำหลอมยา ถือยาที่สามารถล่อลวงสัตว์จำนวนไม่น้อยเอาไว้ด้วยความพอใจ รอจนรัตติกาลมาถึงก็รีบออกไปข้างนอก อันดับแรกไปที่เขายวนเหว่ย พอไปถึงยอดเขาแล้วใจของเขาก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าควรจะเอาใจเสียก่อน ดังนั้นจึงโยนยาวิเศษระดับสามหนึ่งเม็ดเข้าไปในถ้ำของนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสี

แต่ยาเม็ดนี้เพิ่งจะโยนออกไปก็ถูกดีดกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกระแทกเข้าที่หน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยพละกำลังมหาศาลอย่างถึงขีดสุด ยังดีที่เนื้อหนังของป๋ายเสี่ยวฉุนหนาแกร่ง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ถอยหลังไปหลายก้าว ในถ้ำมืดมิดนั้น หัวของนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีค่อยๆ ยื่นออกมาช้าๆ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความยโสโอหังหนึ่งที นัยน์ตาเผยแววดูหมิ่น

ไม่ใช่ดูหมิ่นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ดูหมิ่นการกระทำที่โยนยามาของเขา

ท่าทางเช่นนี้คล้ายกำลังบอกป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างโจ่งแจ้งว่า มันไม่มีทางกินยาที่คนแปลกหน้ามอบให้เด็ดขาด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ไอแห้งๆ หนึ่งที

“ผู้อาวุโสฟ่งเหนี่ยว ยาเม็ดนี้อร่อยมากเลยนะ…ท่านไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ไปกับข้าเถอะ ข้าจะพาท่านไปที่ดีๆ ที่หนึ่ง ที่นั่นสามารถทำความฝันทุกอย่างของท่านให้เป็นจริงได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าทางน่าเอ็นดู ขณะที่กำลังอธิบายอยู่นั้น นกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นกระพือปีกขึ้นโบกหนึ่งที ลมบ้าคลั่งระลอกหนึ่งพัดผ่าน พัดเอาป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปไม่หยุดจนเกือบตกจากหน้าผา ทำเอาเขาอกสั่นขวัญหายจนต้องรีบหลบเลี่ยง

นกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวนั้นถลึงตาเย็นชาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที คล้ายกำลังกล่าวเตือน แล้วจึงค่อยๆ กลับเข้าไปในถ้ำ

“ช่างเถอะๆ นกฟ่งเหนี่ยวตัวนี้เจ้าอารมณ์เกินไป เดี๋ยวข้าลองไปดูที่เขารั่วรื่อ อีกาสามตาตัวนั้นน่าจะไม่เจ้าอารมณ์ขนาดนี้หรอกมั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ตัดสินใจได้ก็รีบรุดไปที่เขารั่วรื่อ ทดลองอยู่ที่หน้าถ้ำของอีกาสามตาตัวนั้นอีกครั้ง

แต่เวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งก้านธูป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องหนังหัวชาหนึบ รีบหนีออกมาเร็วจี๋ เบื้องหลังของเขามีแสงสีดำเปล่งประกาย อีกาสามตาตัวนั้นไล่กวดมาอย่างรวดเร็ว คล้ายต้องการขับไล่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงไปจากเขา เสร็จแล้วจึงมองด้วยสายตาลำพองใจ หมุนกายบินกลับไป

“ข้าล่ะเกลียดนกที่สุดเลย หึ พวกนกนี่เจ้าอารมณ์กันนัก นกของผู้เฒ่าโจวยังใส่ไคล้คนได้อีกด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตัวเองมอบยาให้ด้วยความหวังดี แต่นกพวกนี้กลับรังแกตนถึงเพียงนี้

ทว่าเพื่อให้กำเนิดสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นจึงย้ายสายตาไปไว้บนยอดเขาฉงติ่ง เผยสีหน้าคาดหวัง

“กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นแค่มองก็รู้ว่ามันว่านอนสอนง่าย อีกทั้งท้องก็ใหญ่ขนาดนั้นน่าจะค่อนข้างชอบกิน…ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผล” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบไปที่เขาฉงติ่ง แต่ไม่นานก็หน้าม่อยกลับมาอย่างรวดเร็ว อาภรณ์ขาดรุ่งริ่งไปหมด

กิ้งก่าตัวนั้นไม่สนใจยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนไปให้เลยสักนิด และด้วยความร้อนใจของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงโยนเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเม็ด แต่มันกลับพุ่งเข้าหาแล้วตวัดกรงเล็บใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนต้องรีบหนี อาภรณ์ถูกกรงเล็บของกิ้งก่าตัวนั้นกรีดขาด แม้จะไม่โดนร่างกาย แต่อาภรณ์กลับขาดรุ่ยไม่เหลือชิ้นดี

ส่วนสัตว์พิทักษ์ภูเขาตัวสุดท้ายนั่น ภูตภูเขาแห่งเขากุ่ยหยา ป๋ายเสี่ยวฉุนสองจิตสองใจอยู่นานก็กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที บินทะยานเข้าไปหากลางดึกของคืนวันหนึ่ง ภูตภูเขานั่นกลับเป็นตัวที่นิสัยดีที่สุด ไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน และก็เมินเฉยต่อยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนไปให้ด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนรออยู่ครึ่งคืนก็ไม่เห็นว่าจะได้ผลอะไร วันที่สองจึงไปอีกครั้ง พอไปสามวันติดกันก็ทำได้แค่หน้าม่อยคอตกยอมแพ้ไป

“สัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่ตัวนี่ช่างดูถูกคนอื่นยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นอกหอเรือน ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือ นอกจากสัตว์รบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจเข้าไปกวนใจได้ หรือไม่ก็ถูกเลี้ยงอยู่ในถุงเก็บสัตว์ เจ้าของไม่ได้เอาออกมา สัตว์รบตัวอื่นทุกตัวที่มีคุณค่าก็แทบจะมาอุทิศตัวหมดแล้ว ส่วนสัตว์ของพวกผู้อาวุโส มีเจ้าหมาใหญ่สีดำอยู่ก็ทยอยถูกมันลากเอามาให้

แต่สัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่นั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับล้มเหลวเสียทุกครั้ง ทำให้เขาเศร้าซึมอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะระยะเวลาออกดอกของดอกกำเนิดสัตว์ได้ผ่านไปเกินครึ่งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนใจขึ้นมา

“ข้าต้องการให้กำเนิดสัตว์รบแข็งแกร่งที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ ในเมื่อสัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่ไม่ยินยอม ข้าก็ต้องหาสัตว์รบที่ร้ายกาจยิ่งกว่าพวกมัน ตลอดทั้งสำนัก ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าพวกมัน…หืม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพึมพำเสียงเบา พลันร่างก็สั่นเยือก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย มองไปยังหุบเหวสัตว์โบราณ

“ร้ายกาจยิ่งกว่าสัตว์พิทักษ์ภูเขา แน่นอนว่าต้องเป็น…สัตว์เทพพิทักษ์สำนักน่ะสิ!”

“มังกรนิลเขาสวรรค์…หากข้าสามารถให้มันมาอุทิศตัวได้ ทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน ลมหายใจถี่กระชั้น เริ่มใคร่ครวญอย่างละเอียด

“จะยังไงซะข้ากับสัตว์เทพพิทักษ์สำนักก็ถือว่าสนิทสนมกันอยู่บ้าง นับตั้งแต่ที่ข้ามาอยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่ไปหลอมยาที่นั่นก็จะต้องโยนยาเข้าไปในเหว…อีกอย่างถึงแม้ข้าจะไม่เคยเจอท่านผู้อาวุโสมังกรนิลเขาสวรรค์มาก่อน แต่เขากลับยอมให้ข้าหลอมยาอยู่ที่นั่น นี่แสดงว่า…เขาเห็นด้วยกับข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็รู้สึกว่ายิ่งมีเหตุผล จึงตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม หลังจากจัดระเบียบถุงเก็บของครู่หนึ่ง เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ห้อทะยานไปยังหุบเหวสัตว์โบราณ

เพื่อสร้างสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ขอสู้สุดชีวิต ด้วยความคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดีจึงบินทะยานมาถึงอย่างรวดเร็ว ตรงปากทางร่องน้ำของหุบเหวสัตว์โบราณแห่งนี้ เขามองลงไปยังความมืดมิดด้านล่าง คล้ายว่ามีหมอกสีดำปกคลุม แม้ว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังสัมผัสได้ว่าแข้งขาเย็นเฉียบ ราวกับมีไอความเย็นลอยขึ้นมาจากหุบเหวอย่างต่อเนื่อง

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเล็กน้อย เขากังวลว่าตัวเองจะตกลงไป ดังนั้นจึงรีบถอยร่นลงมาหลายก้าว พอมองไปที่เหวลึกอยู่สองสามทีแล้วเขาก็กัดฟัน หยิบเอายาเม็ดหนึ่งโยนลงไป

“ผู้อาวุโสเขาสวรรค์ ข้าน้อยป๋ายเสี่ยวฉุนนะขอรับ ท่านจำได้ใช่ไหม หลายปีมานี้ข้ามักจะเอายามามอบให้ท่านอยู่เสมอ เอ่อ คือว่า ท่านลองชิมยานี้ดูสิขอรับว่ารสชาติเป็นอย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากด้วยความตื่นเต้น รออยู่ครู่ใหญ่ก็เห็นว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา ครุ่นคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะมังกรนิลเขาสวรรค์มีรสนิยมต่างออกไป ดังนั้นจึงโยนยาวิเศษระดับสามลงไปอีกหนึ่งเม็ด

ไม่นานเขาก็โยนยาที่ต่างกันลงไปอีกเจ็ดแปดเม็ด ในใจเริ่มรู้สึกใจเสียแล้ว สุดท้ายจึงถือโอกาสโยนยากระสันซ่านในถุงเก็บของลงไปด้วยเสียเลย แต่ก็ยังคงไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ

“หรือสวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าไม่ให้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนให้กำเนิดสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งที กำลังจะจากไปด้วยความผิดหวัง แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้นหมอกดำด้านล่างเหวพลันโหมซัดไล่ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโชกโชนดังออกมาจากด้านล่างหุบเหวแห่งนี้

“เจ้าตัวน้อย ไม่ต้องลองแล้ว…ความหวังดีของเจ้าข้ารับไว้…แต่ข้าหมดน้ำยาไปตั้งแต่เมื่อสามพันปีก่อนนู่นแล้วล่ะ…หากเจ้าสามารถทำให้ต้นกำเนิดแห่งชีวิตของข้าเปลี่ยนจากเหี่ยวเฉากลับมาคึกคักได้ ต่อให้เป็นแค่ความคึกคักเพียงชั่วพริบตาเดียว เจ้าต้องการอะไรข้าก็จะรับปากทั้งหมด!”

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ลมหายใจถี่กระชั้น หันขวับกลับมา

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version