บทที่ 147 ยาประหลาดถือกำเนิด!
“รนหาที่ตาย!”
“สำนักธาราเทพมีแต่พวกอวดดี นี่น่ะคือสัตว์ร้ายระดับกลาง สัตว์ร้ายระดับต่ำทั่วไปอยู่ห่างชั้นจนมิอาจเทียบเคียงได้ คนผู้นี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยแท้!” ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตสี่คนที่อยู่รอบด้านล้วนยิ้มเหี้ยมขึ้นมา พวกเขาสามารถนึกภาพออกว่าเหตุการณ์ต่อไปก็คือลูกศิษย์สำนักธาราเทพคนนี้โดนสัตว์ร้ายตัวนั้นฉีกกระชากร่างทั้งเป็น
ทว่าชั่วขณะที่รอยยิ้มเย็นชาของคนทั้งสี่ปรากฏขึ้นมานั้นเอง ทันใดนั้นร่างของพวกเขาก็ต้องสั่นสะท้าน เบิกตากว้าง เผยสีหน้าเหลือเชื่อและตะลึงพรึงเพริด
ดวงตาของพวกเขามีภาพป๋ายเสี่ยวฉุนที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยกมือขวาขึ้นกดลงไปที่หมียักษ์ตัวนั้น หมียักษ์ตัวนี้คำรามเสียงแหบแห้งน่าหวาดหวั่น เงยหน้าพรวดคล้ายต้องการจะพุ่งกระแทกแขนของป๋ายเสี่ยวฉุน คิดจะบดแขนและร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้เละกลายเป็นดินเหลวไปพร้อมๆ กัน
แต่วินาทีที่มือของป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสโดนนั้นเอง ร่างของหมียักษ์ตัวนี้ก็คล้ายถูกภูเขาลูกหนึ่งกดทับลงมา ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้าน เสียงตูมดังหนึ่งครั้งร่างของมันก็หงายผลึ่งลงไปกองกับพื้นโดยที่มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนกดอยู่บนลำคอของมัน
ตลอดทั้งพื้นดินส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผืนดินสะเทือนทั้งยังเกิดคลื่นเคลื่อนไหว ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตที่อยู่รอบด้านสำลักลมหายใจกันไปหมด ยากที่จะเชื่อภาพทั้งหมดที่เห็นนี้
“นี่…”
“เป็นไปได้อย่างไร!!”
“พละกำลังของเขาไฉนถึงได้มากมายเพียงนี้!”
ทั้งสี่คนกลืนน้ำลายลงคอ แต่กลับไม่ยินยอมจากไปทั้งแบบนี้ ต่างกวาดสายตามองกันหนึ่งครั้ง ลังเลเล็กน้อย และขณะที่พวกเขากำลังลังเลอยู่นั้นเอง การกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เขย่าคลอนจิตใจของคนทั้งสี่ขึ้นมาอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทั้งสี่คนนี้เลยสักนิด เวลานี้เขาตกอยู่ในภวังค์ของการศึกษาอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่ยกมือซ้ายขึ้น กระบี่บินเล่มหนึ่งปรากฏออกมา กรีดลงไปบนแขนของสัตว์ร้ายตัวนี้ต่อหน้าต่อหน้าลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทั้งสี่เหมือนเวลาปกติที่ทำการศึกษา แหวกออกมาและเริ่มมองดูอย่างละเอียด
เลือดสดสาดกระเซ็นกลายมาเป็นปราณชีพจรดิน ขณะที่สัตว์ร้ายตัวนั้นร้องโหยหวนดังไปทั่ว คล้ายว่าป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหนวกหูจึงกรีดมีดลงไปบนลำคอของมัน เสียงร้องขาดหายไปกลางคัน ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทั้งสี่คนที่อยู่รอบด้านตาแข็งค้างทันที ร่างกายสั่นเทิ้ม พากันถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงกระทั่งเผยความเกรงกลัวออกมาด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป สัตว์ร้ายตัวนั้นก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชำแหละออกมาเป็นชิ้นๆ แม้ว่าจะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภาพนี้ก็ทำให้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนของสำนักธาราโลหิตหนังหัวใกล้จะระเบิดเต็มที
“เขา…เขามีความแค้นกับสัตว์ร้าย หรือว่าทุกครั้งที่เจอคู่ต่อสู้ก็ชอบทำอย่างนี้? สวรรค์ เขาน่ากลัวยิ่งกว่าสำนักธาราโลหิตของเราเสียอีก!”
“นี่ต้องเป็นความชื่นชอบพิเศษแน่นอน…”
“เขาคือ…เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน!!” หนึ่งในคนทั้งสี่รีบหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบ เมื่อยืนยันแน่ชัดแล้วหน้าก็เปลี่ยนสี เมื่อคำว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสามคำนี้หลุดออกมา คนที่เหลือล้วนสำลักลมหายใจ ถอยกรูดด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็หนีไปไกลโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววตื่นเต้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืนอย่างฮึกเหิม เดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้น ทั้งยังโบกไม้โบกมือพัลวัน
“ข้าเข้าใจแล้ว สัตว์ร้ายพวกนี้มองดูแล้วเหมือนสัตว์ร้ายทั่วไป ทว่ากลับต่างกันในด้านของเนื้อแท้ สำหรับพวกมันแล้วพลังวิญญาณก็คือสิ่งที่ช่วยในการบำรุง ก็เหมือนที่ปราณชีพจรดินสามารถช่วยให้นักพรตสร้างฐานรากได้! ดังนั้นลูกศิษย์ที่ถูกกลืนกินเข้าไปจึงหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก…”
“ฮ่าๆ ยาของข้าต้องหลอมออกมาสำเร็จแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง พอมองไปรอบด้านในใจก็รู้สึกแปลกใจ เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตรงนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีก เหตุใดยามนี้ถึงไม่เหลือใครอยู่สักคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวแล้วจึงสะบัดร่างดิ่งทะยานออกไปไกล หลังจากหาถ้ำแห่งหนึ่งได้ก็หยิบเอาหินเหล็กไฟออกมาเริ่มหลอมยา ในสมองของเขามีตำรับยาที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เวลานี้จึงเริ่มทำการหลอมยาโดยอิงตามตำรับยา อิงตามความเข้าใจที่เขามีต่อสัตว์ร้ายเหล่านั้น
นอกจากพืชหญ้าแล้ว เขายังเพิ่มเลือดของตัวเองเข้าไปส่วนหนึ่งด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ จึงเพิ่มสิ่งที่เกิดมาคู่กันและพิชิตซึ่งกันและกันลงไปด้วย สุดท้ายจึงปรับสูตรออกมาตามความเข้าใจของเขา
การหลอมยาครั้งนี้ใช้เวลาสองชั่วยาม ในเตาหลอมส่งเสียงดังครั่นครืน หลังจากที่เสียงค่อยๆ หายไป ยาเม็ดหนึ่งก็เผยโฉมออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตรงเข้าไปหยิบยาเม็ดนี้ขึ้นมาและออกไปหาสัตว์ร้ายด้านนอก ไม่นานก็เจอหนึ่งตัว เมื่อทำการทดลองพบว่ายานี้ไม่สามารถดึงดูดสัตว์ร้ายได้ เขาก็ผิดหวังขึ้นมาทันที
“ไม่ถูกสิ ปัญหาเกิดจากจุดไหนกันแน่นะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอย่างหนัก หลายวันต่อมาก็จมจ่อมอยู่กับการตามหาสัตว์ร้าย ศึกษาชีวิตของสัตว์ร้ายอีกครั้ง ไม่นาน การเปิดพื้นที่ของหุบเหวกระบี่อุกกาบาตครั้งนี้ก็ดำเนินมาได้ยี่สิบวันแล้ว
ยี่สิบวันมานี้ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของทั้งสี่สำนักล้วนมาถึงจุดลึกของโลกในตัวกระบี่ ขณะเดียวกันกับที่คอยเข่นฆ่าสัตว์ร้ายในพื้นที่ต่างๆ ก็คอยเข่นฆ่าแย่งชิงกันเองด้วย
ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตมีฝีมือมากที่สุด โหดเหี้ยมเป็นพิเศษ สำนักธาราเทพและสำนักธาราทมิฬมีความสามารถพอๆ กัน ส่วนสำนักธาราโอสถมีคนน้อยสุดจึงอ่อนแอมากที่สุด
เช่นเดียวกัน ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มีชื่อบันทึกเอาไว้ในข้อมูลของทั้งสี่สำนักก็เคยประมือกันมาแล้ว ศึกที่ขึ้นชื่อมากที่สุดก็คือศึกระหว่างกุ่ยหยาและจิ๋วต่าวแห่งสำนักธาราทมิฬ ศึกนี้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม สะเทือนเลือนลั่นไปแปดทิศ เขย่าคลอนฟ้าดิน สุดท้ายจิ๋วต่าวพ่ายแพ้หนีไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส แค่ศึกเดียวกุ่ยหยาก็ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด ถูกขนานนามให้เป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับซ่งเชวีย
เวลาเดียวกันนั้นกงซุนหว่านเอ๋อร์และจ้าวโหรวก็สู้กันมาแล้วหลายครั้ง ต่างมีแพ้มีชนะ แต่ยังไม่มีใครสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้
ส่วนซ่างกวานเทียนโย่วก็โดดเด่นขึ้นมาในการประลองของหุบเหวกระบี่อุกกาบาตครั้งนี้เช่นกัน มีครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังไล่ฆ่าสัตว์ร้าย ได้เจอกับฟางหลินศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราโอสถโดยบังเอิญ ทั้งสองคนมีฝีมือไล่เลี่ยกัน ยากที่จะแบ่งแพ้ชนะ
ซ่งเชวียแห่งสำนักธาราโลหิตทำตัวลึกลับ ไม่ได้ประมือกับใคร และก็มีน้อยคนนักที่จะพบเห็นเขา ทว่าอีกคนหนึ่งของสำนักธาราโลหิตที่มีข้อมูลอยู่ในแผ่นหยกของสำนักธาราเทพ สวีเสี่ยวซาน กลับมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุดในโลกตัวกระบี่แห่งนี้
คนที่ผู้นี้มีอาวุธวิเศษเยอะจนคนหวาดผวา ทุกครั้งที่ลงมืออาวุธก็แทบจะบินว่อนเต็มท้องฟ้า ทำให้ทุกคนที่ต่อสู้กับเขาล้วนเสียวหนังหัวไปตามๆ กัน
และผู้ที่ถูกเรียกว่าม้ามืดของลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักครั้งนี้กลับเป็น…เป่ยหันเลี่ยแห่งสำนักธาราเทพ ข้อมูลของคนผู้นี้ในแผ่นหยกของสามสำนักแทบจะไม่มีแนะนำไว้มากเท่าไหร่นัก บอกไว้แค่ว่าเขาคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาได้เผชิญหน้ากับเหลยซานแห่งสำนักธาราทมิฬ ทั้งสองคนก็เปิดศึกใหญ่ต่อกัน
ศึกครั้งนี้ฝีมือของเขาสูสีกับเหลยซาน ชื่อเสียงของเขาจึงเลื่องลือไปทั่วทันที ต้องเข้าใจว่าเหลยซานคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับสองของสำนักธาราทมิฬ นอกจากจิ๋วต่าวแล้ว ลูกศิษย์รุ่นนี้ของสำนักธาราทมิฬ คนที่จะสู้รบกับเขาได้นั้นมีน้อยจนนับตัวได้
แต่เป่ยหันเลี่ยแห่งสำนักธาราเทพที่เป็นแค่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจธรรมดาคนหนึ่งกลับทำได้ถึงขั้นนี้ นี่ทำให้คนมากมายตกตะลึง
นอกจากผู้แข็งแกร่งของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ต่างฝ่ายต่างลงมือและเกิดการปะทะกันจนโด่งดังไปทั่วแล้ว ยี่สิบกว่าวันมานี้ ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมทารุณเช่นกัน ทุกวันต้องมีคนตาย และยิ่งมีบางคนที่โชคไม่ดี เจอกับวิญญาณร้ายของสถานที่แห่งนี้เข้า ถูกดูดพลังวิญญาณทั้งเป็นจนกลายมาเป็นซาก
เช่นเดียวกัน ท่ามกลางการช่วงชิงปราณชีพจรดินและการสังหารอันดุเดือดเหล่านี้ ในมือของลูกศิษย์ทุกคนที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็สะสมปราณชีพจรดินมาได้มากน้อยต่างกันไป ถึงท้ายที่สุด เนื่องจากต้องรอเข้าใกล้ สัตว์ชีพจรดินถึงจะเผยตัวตน การค้นหาจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก นี่จึงเป็นสาเหตุให้การเข่นฆ่าที่แท้จริงค่อยๆ เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ!
ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกัน การวางกับดัก หรือแม้แต่การเข้าโจมตีอย่างรุนแรง วิธีการต่างๆ มากมายล้วนถูกเอามาใช้ทั้งหมด ตลอดทั้งโลกหุบเหวกระบี่อุกกาบาตกำลังเกิดจลาจลครั้งใหญ่
ทุกคนล้วนดวงตาแดงก่ำ ไล่ฆ่าศัตรู แย่งชิงเอาปราณชีพจรดินมาครอง พยายามสร้างตัวล่อปราณชีพจรดินออกมาให้ได้เร็วที่สุด ทุกคนต่างก็ไม่อยากเป็นคนกลุ่มสุดท้าย ล้วนอยากกลายเป็นคนกลุ่มแรก!
ท่ามกลางความดุเดือดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่อบอวลไปทั่วโลก เขาปรากฏกายออกมาด้านนอกไม่บ่อยนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับการศึกษาและหลอมยา ทว่าในจำนวนครั้งที่ออกมาไม่บ่อยนี้ เขากลับเห็นศพของลูกศิษย์สำนักธาราเทพถึงสิบเจ็ดศพ
ทุกครั้งที่เจอศพเช่นนี้ เขาจะต้องเดินไปเก็บศพนั้นขึ้นมาเงียบๆ ต้องการพาพวกเขากลับสำนัก
แม้จะเป็นการออกไปตามหาสัตว์ร้ายด้านนอก แต่ก็เร่งความเร็วทั้งหมดที่มี ทุกครั้งที่ลงมือรวดเร็วไม่ต่างจากฟ้าแลบ หลังจากคว้าหัวของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเอาไว้ได้ก็จะลากกลับไป เริ่มทำการวิจัย จากนั้นก็หลอมยาอีกครั้ง
โดยไม่รู้ตัว ของเหลวชีพจรดินสีเทาในขวดนักพรตของเขาก็สะสมมาได้ประมาณสามส่วนแล้ว แต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากกว่าคือการหลอมยาวิเศษของตัวเอง
จนถึงกระทั่งตอนนี้เขาล้มเหลวมาแล้วหลายสิบครั้ง ครั้งที่มากที่สุดก็คือล้มเหลวห้าหกครั้งต่อวัน ทว่ายิ่งล้มเหลวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ เขาเข้าใจร่างกายของสัตว์ร้ายประดุจฝ่ามือของตัวเอง สำหรับโครงสร้างของสัตว์ร้ายเขาเองก็ท่องจำได้ขึ้นใจ ถึงขั้นที่ว่ามีครั้งหนึ่ง เขาที่ตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งยังได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าสัตว์ร้ายโจมตีและเข่นฆ่านักพรตเช่นไร
เมื่อเขาได้รู้ว่านั่นไม่ใช่การโจมตีผ่านทางเลือดเนื้อ แต่เป็นการกลืนกินพลังชีวิตเข้าไป ประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมาตลอดหลายวันก็ระเบิดออกมาอย่างเต็มรูปแบบ เขาเลือกถ้ำที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หลอมยาด้วยดวงตาแดงฉาน
ครั้งนี้เขาใช้เวลาหลอมนานถึงห้าวัน ตลอดทั้งห้าวันนี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว ห้าวันล้มเหลวหลายสิบครั้ง ในที่สุดช่วงสายัณห์ของวันที่ห้า ขณะที่ท้องฟ้ามืดสลัว หลายพื้นที่ในโลกกำลังเข่นฆ่ากันอยู่นั้นเอง เตาหลอมยาเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่งเสียงดังกัมปนาทราวฟ้าผ่า เสียงนี้ดังก้องไปทั่วครึ่งหนึ่งของโลกกระบี่อุกกาบาต
ตูมๆๆๆ!
เสียงนี้ดังสะท้อนอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากเสียงอัสนีบาตแหวกฟ้าผ่าผืนดิน กลางอากาศนอกถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บังเกิดชั้นเมฆมืดทะมึนกลิ้งตลบซัดไล่หลังกันอย่างรุนแรง ในเมฆสีดำนั้นยังสามารถมองเห็นไอสีขาวลอยวนได้รำไร!
ครึ่งหนึ่งของโลกกระบี่อุกกาบาต บัดนี้ลูกศิษย์ทุกคนของสี่สำนักตะลึงลานกันไปหมด หันไปมองยังสถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน
กุ่ยหยากำลังห้อทะยาน พอได้ยินเสียงนี้ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งแสงวาบ
อีกตำแหน่งหนึ่ง ซ่งเชวียกำลังสังเกตผนังหินลับตาคนแห่งหนึ่งอย่างละเอียด ได้ยินเสียงนี้เข้าก็อึ้งไปเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
“สมบัติล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!!” เวลานี้สวีเสี่ยวซานแห่งสำนักธาราโลหิตตาเหลือก หายใจถี่กระชั้น เพิ่มความเร็วในการห้อตะบึง
ยังมีเหลยซานแห่งสำนักธาราทมิฬที่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกลมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับสวีเสี่ยวซาน นัยน์ตายามนี้จึงเผยทั้งความตื่นเต้นและใคร่รู้ เพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น
เสียงฟ้าผ่าและปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดเหล่านักพรตเท่านั้น ยังดึงดูด…สัตว์ร้าย!
ที่มากกว่านั้นยังดึงดูด…สิ่งที่ลึกลับเกินคาดเดา น่าพิศวงอย่างถึงที่สุดในโลกกระบี่อุกกาบาตอย่าง…วิญญาณร้าย!!
————